20 พ.ค. เวลา 05:08 • หนังสือ

ตามรอยโทลคีน: ผลงานของโทลคีน

เดอะฮ็อบบิท (The Hobbit)
โทลคีนไม่เคยคาดว่านิยายของท่านจะเป็นที่นิยมในหมู่นักอ่านได้ แต่โดยเหตุบังเอิญในปี ค.ศ. 1936 นิยายเรื่อง "เดอะฮ็อบบิท" ที่ท่านเขียนเป็นนิทานก่อนนอนกล่อมลูกๆ ไว้เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ ไปเข้าหู ซูซาน แด็กนัล (Susan Dagnall) เจ้าหน้าที่ประจำกองบรรณาธิการของสำนักพิมพ์ "จอร์ช อัลเลนแอนด์อันวิน" (George Allen & Unwin)
แด็กนัลเกลี้ยกล่อมโทลคีนเสนอหนังสือให้สำนักพิมพ์ เมื่อ "เดอะฮ็อบบิท" ถูกวางจำหน่ายในปีต่อมา นิยายเรื่องนี้ก็เป็นที่ชื่นชอบของนักอ่านทั้งผู้ใหญ่และเด็กอย่างกว้างขวางกระทั่งสำนักพิมพ์ต้องขอร้องให้โทลคีน เขียนนิยายภาคต่อของเดอะฮ็อบบิท และนั่นคือ "อภินิหารแหวนครองพิภพ" (The Lord of the Rings)
...
"อภินิหารแหวนครองพิภพ" (The Lord of the Rings)
โทลคีนตอบสนองต่อคำขอของสำนักพิมพ์ซึ่งเกิดเป็นไตรภาคของนิยายแฟนตาซีแห่งศตวรรษที่ 20 และเป็นผลงานนิยายแฟนตาซีที่โด่งดังที่สุด—นวนิยายมหากาพย์ "อภินิหารแหวนครองพิภพ" (The Lord of the Rings) ในการตีพิมพ์ครั้งแรกระหว่างปี ค.ศ. 1954-55 นิยายเรื่องนี้ถูกแบ่งพิมพ์ออกเป็นสามเล่มอันเนื่องมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจ ซึ่งกลายมาเป็นกรอบการสร้างภาพยนตร์แบบไตรภาคในอีก 50 ปีต่อมา
โทลคีนใช้เวลาเขียนเรื่องเล่าเบื้องต้นและภาคผนวกของ "อภินิหารแหวนครองพิภพ" นานกว่า 10 ปี โดยตลอดช่วงเวลานั้น ท่านได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากเพื่อนพ้องในกลุ่ม "หยดหมึก" (Inklings) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนสนิทอย่าง ซี.เอส. ลูอิส (C.S. Lewis) ผู้เขียน "อภินิหารตำนานแห่งนาร์เนีย" (The Chronicles of Narnia) เรื่องราวใน "เดอะฮ็อบบิท" และ "อภินิหารแหวนครองพิภพ" ต่างเป็นเรื่องราวที่มี "ซิลมาริลเลียน" (The Silmarillion) เป็นปูมหลังหากเกิดขึ้นในช่วงเวลาหลังจากนั้นนานมาก
หะแรกนั้น โทลคีนตั้งใจจะเขียนให้ "อภินิหารแหวนครองพิภพ" เป็นนิยายสำหรับเด็กในทำนองเดียวกันกับ "เดอะฮ็อบบิท" หากเมื่อท่านเริ่มลงมือเขียน เรื่องราวในนิยายกลับมืดหม่นลงแต่จริงจังยิ่งขึ้นเป็นลำดับ
แม้เรื่องราวของ "อภินิหารแหวนครองพิภพ" จะสืบเนื่องมาจาก "เดอะฮ็อบบิท" แต่ความมืดหม่นของเรื่องจึงมีผลให้นิยายเรื่องนี้มุ่งไปที่กลุ่มนักอ่านผู้ใหญ่เป็นสำคัญ โดยอาศัยปูมหลังอันอลังการ์จาก "เบเลอเรียนด์" (Beleriand) ที่โทลคีนสร้างขึ้นมาในหลายปีก่อนหน้านั้นและถูกนำมาตีพิมพ์เป็นนิยาย "ซิลมาริลเลียน" (The Silmarillion) รวมทั้งเรื่องอื่นๆ ที่ถูกตีพิมพ์หลังจากที่ท่านถึงแก่กรรมไปแล้ว
ยิ่งผลงานของโทลคีนประสบความสำเร็จหลังออกวางจำหน่ายมากขึ้น อิทธิพลของโทลคีนก็ยิ่งครอบคลุมแวดวงวรรณกรรมกลุ่มประเภทนิยายแฟนตาซีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
"อภินิหารแหวนครองพิภพ" มีชื่อเสียงเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในช่วงทศวรรษ 1960 และยังคงเป็นเช่นนั้นมาโดยตลอดโดยได้รับการจัดอันดับให้เป็นผลงานวรรณกรรมที่ได้รับความนิยมสูงสุดในศตวรรษที่ 20 ทั้งจากยอดจำหน่ายและจากผลการสำรวจความนิยมของนักอ่าน
ในปี ค.ศ. 1999 ผลจากการสำรวจความนิยมของ "แอมะซอนด็อทคอม" (Amazon.com) ระบุว่า ลูกค้าของแอมะซอนด็อทคอม ชื่นชอบและโหวตให้ "อภินิหารแหวนครองพิภพ" เป็น "หนังสือแห่งสหัสวรรษ" (book of the millennium)
ในปี ค.ศ. 2003 ผลการสำรวจ "อ่านกันยกใหญ่" (Big Read) ของสถานีโทรทัศน์ บีบีซี (BBC) พบว่า "อภินิหารแหวนครองพิภพ" เป็น "นิยายอันเป็นที่รักยิ่ง" (Best-loved Novel) ของสหราชอาณาจักร ในปี ค.ศ. 2004 ชาวออสเตรเลียร่วมกันโหวตให้ "อภินิหารแหวนครองพิภพ" เป็น "หนังสือยอดนิยมของเรา" (My Favourite Book) จากการสำรวจโดยสถานีโทรทัศน์ "เอบีซี" ของออสเตรเลีย
ในปี ค.ศ. 2002 โทลคีนได้รับเสียงโหวตให้อยู่ในอันดับ 92 ของ "ชาวบริเตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด" (greatest Briton) จากการสำรวจของสถานีโทรทัศน์ บีบีซี (BBC) และต่อมาในปี ค.ศ. 2004 ท่านก็ได้รับเสียงโหวตให้อยู่ในอันดับ 35 ของ "ชาวแอฟริกาใต้ผู้ยิ่งใหญ่" (Great South Africans) จากการสำรวจของสถานีโทรทัศน์ "เอสเอบีซี" ของแอฟริกาใต้ ซึ่งท่านเป็นผู้มีชื่อเสียงเพียงคนเดียวที่มีชื่อปรากฏอยู่ในทั้งสองรายการ
ชื่อเสียงความนิยมของท่านไม่ได้ถูกจำกัดไว้แต่ในกลุ่มผู้พูดภาษาอังกฤษเท่านั้น หากยังพบว่า ชาวเยอรมันกว่า 250,000 คนระบุว่า "อภินิหารแหวนครองพิภพ" เป็นงานวรรณกรรมที่ตนโปรดปรานมากที่สุดจากการสำรวจในปี ค.ศ. 2004
...
"ซิลมาริลเลียน" (The Silmarillion)
โทลคีนเขียน "ร่างเทวปกรณ์" อย่างสั้นๆ โดยรวมตำนานของเบเรนและลูธีเอน (Beren and Lúthien) และตำนานแห่งทูริน (Túrin) เอาไว้ด้วย โทลคีนพัฒนาร่างนี้ไปเป็นมหากาพย์แห่งประวัติศาสตร์ "เควนต้า ซิลมาริลเลียน" (Quenta Silmarillion) ที่ท่านพยายามเขียนใหม่ถึงสามครั้งแต่ "เควนต้า ซิลมาริลเลียน" ก็ไม่เคยถูกนำไปตีพิมพ์แม้โทลคีนตั้งใจที่จะตีพิมพ์เรื่องนี้พร้อมๆ กับ "อภินิหารแหวนครองพิภพ" ด้วยเหตุว่าสำนักพิมพ์ทั้ง "อัลเลนแอนด์อันวิน" กับ "คอลลินส์" ต่างพร้อมใจกันปฏิเสธ
ปัญหาอีกประการหนึ่งที่ "เควนต้า ซิลมาริลเลียน" ไม่เคยถูกนำไปตีพิมพ์ มาจากการที่ต้นทุนในการจัดพิมพ์หนังสือในสหราชอาณาจักรพุ่งขึ้นสูงมากในช่วงทศวรรษ 1950 กระทั่งว่า "อภินิหารแหวนครองพิภพ" ยังต้องถูกแบ่งตีพิมพ์เป็นสามเล่ม
คริสโตเฟอร์ ลูกชายคนที่ 3 ของโทลคีน บรรจุเรื่องราวการแก้ไขงานเขียนใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่านี้ ไว้ในหนังสือชุด "ประวัติศาสตร์แห่งมัชฌิมโลก" (The History of Middle-earth) ที่ถูกตีพิมพ์หลังจากที่โทลคีนถึงแก่กรรมไปแล้ว นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1936 เป็นต้นมา โทลคีนเริ่มขยายเรื่องราวของ "ประวัติศาสตร์แห่งมัชฌิมโลก" ออกไปให้ครอบคลุมถึงตำนาน "การล่มสลายของนูเมนอร์" (The Fall of Númenor) โดยได้แรงบันดาลใจมาจากตำนานของแอตแลนติส
โทลคีนแต่งตั้งให้คริสโตเฟอร์ ลูกชายคนที่ 3 ให้ทำหน้าที่ผู้จัดการวรรณกรรม (literary executor) ของท่าน จากนั้น คริสโตเฟอร์จัดการปรับปรุงเรื่องราวที่กล่าวมาข้างต้นนี้จนกลายเป็นหนังสือเล่มหนึ่งด้วยความช่วยเหลือจาก กาย แกเฟรียล เคย์ (Guy Gavriel Kay ต่อมากลายเป็นนักเขียนนิยายแฟนตาซีผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง) และนำไปตีพิมพ์ในชื่อ "ซิลมาริลเลียน" ในปี ค.ศ. 1977 ซึ่งได้รับรางวัลโลคัสอวอร์ด (Locus Award) ในฐานะนิยายแฟนตาซีที่ยอดเยี่ยมที่สุดประจำปี ค.ศ. 1978
...
"ตำนานที่ย้งไม่จบ และ ประวัติศาสตร์แห่งมัชฌิมโลก" (Unfinished Tales and The History of Middle-earth)
ในปี ค.ศ. 1980 คริสโตเฟอร์ โทลคีน ตีพิมพ์หนังสือรวบรวมเรื่องราวที่กระจัดกระจายแยกกันเข้ามาเป็นชุดเดียวกันในชื่อ "ตำนานที่ยังไม่จบแห่งนูเมนอร์และมัชฌิมโลก" (Unfinished Tales of Númenor and Middle-earth)
ปีต่อจากนั้น (ค.ศ. 1983-96) ท่านยังนำเรื่องราวเนื้อหาตลอดจนโน้ตและบันทึกความเห็นที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์เผยแพร่จำนวนมาก มารวมเล่มตีพิมพ์เป็น "ประวัติศาสตร์แห่งมัชฌิมโลก" 2 เล่ม ซึ่งครอบคลุมเรื่องราวที่ยังไม่จบ หรือ ถูกเลิกใช้ หรือ เป็นทางเลือก รวมทั้งเนื้อหาที่ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับหนังสือที่ตีพิมพ์ไปแล้ว
เนื้อหาที่ปรากฎใน "ประวัติศาสตร์แห่งมัชฌิมโลก" ล้วนเป็นเรื่องราวที่โทลคีนกำลังเขียนอยู่ [ในเวลาที่ท่านยังมีชีวิต] และเป็นเรื่องที่ท่านยังไม่ได้เลือกแน่นอนว่า จะใช้เนื้อหาของเวอร์ชั่นใดดี
ตัวอย่างในเรื่องนี้ ปรากฎชัดเจนในเนื้อหาของ "อภินิหารแหวนครองพิภพ" และ "เดอะฮ็อบบิท" ที่ไม่ได้ลงรอยกันอย่างสมบูรณ์เท่าใดนัก แม้นิยายทั้งสองเรื่องจะเกี่ยวข้องกันมาที่สุดแล้วก็ตาม ทั้งนี้ เป็นเพราะโทลคีนไม่เคยผสานเนื้อหาของนิยายทั้งสองเรื่องให้เข้าด้วยกัน และเห็นได้จากการที่ท่านเคยออกปากไว้ในปี ค.ศ. 1965 ระหว่างการปรับปรุงแก้ไข "เดอะฮ็อบบิท" สำหรับฉบับตีพิมพ์ครั้งที่ 3 ว่า หากเป็นไปได้ ท่านอยากจะเขียนขึ้นมาใหม่ทั้งเรื่องเพราะรูปแบบร้อยแก้วของนิยายเรื่องนี้
...
เบโอวูลฟ์: อสุรกายและบทวิจารณ์ (Beowulf: The Monsters and the Critics)
นอกเหนือไปจากการเป็นนักเขียนนวนิยายแล้ว โทลคีน เป็นนักวิชาการด้านวิจารณ์วรรณกรรมอีกด้วย บทบรรยายในงานสัมนาปี ค.ศ. 1936 ที่ต่อมาได้รับการตีพิมพ์เป็นบทความ ก่อให้เกิดการปฏิวัติมุมมองการวิจารณ์วรรณกรรมมหากาพย์แองโกล-แซ็กซั่นอย่าง เบโอวูลฟ์ บทความนี้ยังคงมีอิทธิพลอย่างสูงในการศึกษาวรรณกรรมภาษาอังกฤษโบราณมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เบโอวูลฟ์ เป็นหนึ่งในวรรณกรรมที่มีอิทธิพลต่องานเขียนนวนิยายของท่านในภายหลังโดยปรับบทกวีเอามาใช้สร้างรายละเอียดของเนื้อหาทั้ง "อภินิหารแหวนครองพิภพ" และ "เดอะฮ็อบบิท"
...
"เกี่ยวกับเทพนิยาย" (On Fairy-Stories)
บทความนี้ อภิปรายเกี่ยวกับเทพนิยายที่อยู่ในรูปแบบวรรณกรรม โดยเขียนเป็นบทสำหรับ "การบรรยาย แอนดรูว์ แลงก์" ที่มหาวิทยาลัยเซนต์แอนดรูว์ ประเทศสก็อตแลนด์
โทลคีนมุ่งไปที่งานของ แอนดรูว์ แลงก์ ผู้เป็นนักวิชาการนิทานพื้นบ้านและผู้รวบรวมเทพนิยาย ท่านไม่เห็นด้วยกับแลงก์ที่รวบรวมทั้งเรื่องราวของนักเดินทาง เรื่องราวของสัตว์ร้าย และอื่นๆ เข้ามาไว้ในบันทึกรวมเทพนิยาย โทลคีนมีมุมมองว่า เทพนิยาย เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในดินแดนต้องคำสาป หรือ "แฟรี" (Faerie) ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเทพธิดาก็ตาม และเห็นว่า เทพนิยายเป็นพัฒนาการโดยธรรมชาติของปฏิสัมพันธ์ระหว่างจินตนาการและภาษาของมนุษย์
"หนังสือสำหรับเด็กและเรื่องสั้นอื่นๆ" (Children's books and other short works)
นอกจากการสร้างเทวปกรณ์แนวบทกวีแล้ว โทลคีนยังสนุกกับการสร้างนิยายแฟนตาซีเพื่อเล่าให้ลูกๆ ฟัง รวมทั้งเขียนจดหมายคริสต์มาสจากซานตาคลอสถึงลูกๆ จนกลายมาเป็นชุดรวมเรื่องสั้นและได้รับการตีพิมพ์เป็นหนังสือ "จดหมายจากซานตาคลอส" (The Father Christmas Letters)
นอกจากนี้แล้ว ยังมีผลงานอื่นๆ อย่าง "คุณบลิสส์" (Mr. Bliss) และ "โรเวอร์รันดัม" (สำหรับเด็ก, Roverandom) และ "ใบไม้ขี้บ่น" (Leaf by Niggle—part of Tree and Leaf) การผจญภัยของทอม บอมบาดิล (The Adventures of Tom Bombadil) สมิธแห่งวูตตัน เมเจอร์ (Smith of Wootton Major) และ ชาวนาไจลส์แห่งแฮม (Farmer Giles of Ham) นิยายเรื่อง โรเวอร์รันดัม และ สมิธแห่งวูตตัน เมเจอร์ เหมือนกับเดอะฮ็อบบิทในแง่ที่หยิบยืมแนวคิดมาจาก "กรุตำนาน" (legendarium) ของโทลคีนเอง
...
ผลงานที่ คริสโตเฟอร์ โทลคีน รวบรวมขึ้นเป็นเล่ม
ปี ค.ศ. 2007 "บุตรธิดาแห่งฮูริน" (The Children of Húrin) บอกเล่าเรื่องราวบุตรและธิดาของ "ฮูริน ธาเลียน" (Húrin Thalion) นั่นคือ ทูริน ทูรัมบาร์ (Túrin Turambar) และนีเอนอร์ (Nienor) ผู้เป็นน้องสาว
ปี ค.ศ. 2009 "ตำนานแห่งซิกูร์ดและกูดรุน" (The Legend of Sigurd and Gudrún) "ตำนานของซิกูร์ด" (The Legend of Sigurd) และการล่มสลายของนิฟลุงก์ส (The fall of the Niflungs) จากเทวปกรณ์เยอรมัน เขียนในรูปบทกวีเล่าเรื่องที่มีคำสัมผัสคล้องจองตามแบบของบทกวีโบราณของชาวนอร์สชื่อ "เอลเดอร์ เอ็ดดา" (Elder Edda)
ปี ค.ศ. 2013 "ความพินาศของอาร์เธอร์" (The Fall of Arthur) บทกวีเล่าเรื่องที่โทลคีนเขียนขึ้นระหว่างทศวรรษ 1930 ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากนิยายแบบอาร์เธอร์สมัยกลางแต่มีฉากหลังเป็นสมัยหลังการอพยพของชาวโรมันที่แสดงภาพของอาร์เธอร์ในฐานะกษัตริย์นักรบชาวบริเตนที่ต่อต้านการรุกรานของชาวแซ็กซั่น
ปี ค.ศ. 2014 "เบโอวูลฟ์: ฉบับแปลและความเห็นประกอบ" (Beowulf: A Translation and Commentary) เป็นหนังสือเกี่ยวกับเบโอวูลฟ์ฉบับร้อยแก้วที่โทลคีนแปลไว้ในระหว่างทศวรรษ 1920 พร้อมกับความเห็นประกอบจากสรุปย่อของการบรรยายของโทลคีน
ปี ค.ศ. 2015 "เรื่องของคุลเลอร์โว" (The Story of Kullervo) เล่าเรื่องราวจากบทกวีภาษาฟินนิชสมัยศตวรรษที่ 19 ที่โทลคีนเขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1915 ระหว่างที่ศึกษาอยู่ที่อ็อกซ์ฟอร์ด
ปี ค.ศ. 2017 "เบเรนและลูธีเอน" (Beren and Lúthien) เป็นหนึ่งในรวมตำนานที่เก่าแก่ที่สุดที่โทลคีนเขียนขึ้นมา และเป็นเวอร์ชั่นที่ปรากฎเป็นส่วนหนึ่งใน "ซิลมาริลเลียน" ชื่อของหนังสือเล่มนี้ ถูกจารึกไว้บนป้ายหน้าหลุมฝังศพของโทลคีนและอีดิธที่สุสานวูล์ฟเฟอร์โคท ทางตอนเหนือของเมืองอ็อกซ์ฟอร์ด
ปี ค.ศ. 2018 "ความพินาศของกอนโดลิน" (The Fall of Gondolin) เล่าถึงนครอันลึกลับแต่สวยงามที่ถูกทำลายโดยพลังแห่งอำนาจมืด โทลคีนเรียกหนังสือเล่มนี้ว่า เป็น "เรื่องจริงเรื่องแรกของมัชฌิมโลก"
.....

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา