Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
“วันละเรื่องสองเรื่อง”
•
ติดตาม
22 พ.ค. เวลา 01:49 • ธุรกิจ
🚫 หมดยุค 'ครูไหวใจร้าย'! เมื่อ 'Attitude' ความเป็นผู้นำ สำคัญกว่า 'ไม้เรียว'
(ถ้าไม่อยากได้องค์กร 'ภาพสวยแต่กลวงใน') 🤔💬🔥
“ลูกน้องทำผิดแล้วต้องโดนฟาด” — ประโยคคุ้นหูในยุคอุตสาหกรรม กำลังกลายเป็นกับดักทางวัฒนธรรมในยุคที่คนทำงานมีทางเลือกมากกว่าเดิมหลายเท่า
องค์กรที่ “ผู้นำถือไม้เรียว” อาจดูเข้มแข็งจากภายนอก แต่ข้างในเต็มไปด้วยความเงียบ, ความกลัว, และการแกล้งพยักหน้าเห็นด้วย…แม้ใจจะไม่เอาด้วยเลยก็ตาม
หากคุณเป็นหัวหน้า แล้วทีมคุณ “ไม่เคยค้าน”, “ไม่เคยเสนอทางเลือกอื่น”, “ไม่มีความผิดพลาดใดปรากฏบนโต๊ะ”…ขอแนะนำให้คุณหยุดคิดสัก 10 วินาที!!
“คุณกำลัง “เก่งมาก” หรือคุณกำลังถูกซ้อมบทในละครเรื่อง Yes Boss: ทำเงียบๆ ไม่อยากมีปัญหา อยู่กันแน่?”
บทความนี้จะพาไปสำรวจว่า ทำไม Attitude ของผู้นำ ถึงกลายเป็นรากฐานที่สำคัญกว่า Hard Skill หรือ KPIs ใดๆ ในยุคนี้ และถ้าคุณอยากสร้างองค์กรที่ “เก่งจากข้างใน ไม่ใช่แค่เก่งหน้าฉาก”...ต้องเริ่มจากตรงไหน
====
❤️ Attitude สำคัญกว่าไม้เรียว: ผู้นำแบบไหนพาทีมชนะในโลกยุคใหม่
🧠 โมเดลผู้นำ 2S: Scolding vs Supportive
* ในโลกยุคใหม่ที่การบริหารไม่ใช่แค่เรื่องการ "สั่งงาน" หรือ "ควบคุม" อีกต่อไป เราพบความต่างที่ชัดเจนระหว่าง "ผู้นำแบบไม้เรียว" กับ "ผู้นำที่สร้างพื้นที่ปลอดภัยทางจิตใจให้ทีมได้เติบโต"
* ผู้นำแบบ Scolding มักบริหารด้วยคำสั่งและการตำหนิ เมื่อทีมทำผิดพลาด เขาจะเลือกลงโทษหรือแสดงความไม่พอใจมากกว่าจะเปิดพื้นที่ให้เรียนรู้ ภาพที่เห็นได้ชัดคือในห้องประชุมจะเต็มไปด้วยความเงียบ ทุกคนพยักหน้าตามโดยไม่กล้าแสดงความเห็น เพราะกลัวการถูกมองว่า "ขัดใจ" หรือ "ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง"
* ในทางกลับกัน ผู้นำแบบ Supportive จะเริ่มต้นด้วยการฟัง ไม่ใช่แค่เพื่อ "รอฟังจบแล้วค่อยสอน" แต่ฟังเพื่อเข้าใจ ถ้าทีมพลาด เขาจะไม่ซ่อนความผิดพลาดหรือปัดไปให้คนอื่นรับผิด แต่จะเปิดให้พูดถึงปัญหา แล้วโค้ชให้เรียนรู้ร่วมกัน
* ความต่างที่ชัดที่สุดคือในห้องประชุม — ที่หนึ่งเงียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น อีกที่หนึ่งเสียงดังจากการถกเถียงอย่างสร้างสรรค์ ความคิดหลายแง่มุมถูกนำเสนอ เพื่อให้ "ไอเดียที่ดีที่สุดชนะ" ไม่ใช่เพราะใครตำแหน่งใหญ่ที่สุด
* ผลลัพธ์? ทีมแบบแรกจะพยักหน้าแต่หมดไฟ เพราะรู้ว่าความเห็นของเขา "ไม่มีผลต่อการตัดสินใจจริง" ขณะที่ทีมแบบหลังจะกล้าแสดงออก เต็มศักยภาพ เพราะรู้ว่าผู้นำอยู่ตรงนั้นไม่ใช่เพื่อควบคุม — แต่เพื่อสนับสนุนให้พวกเขาเติบโต
❝Culture of Fear = Culture of Fake Progress❞
====
🌱 ทำไม Attitude ของผู้นำถึงเป็นจุดคานงัดวัฒนธรรม?
1. สร้าง Safety = สร้างนวัตกรรม
* Psychological Safety ไม่ได้มาจากงบสวัสดิการ แต่มาจาก “สายตาผู้นำ” ที่ฟังโดยไม่ตัดสิน
2. Talent อยู่กับคน ไม่ใช่ระบบ
* คนเก่งไม่กลัวงานหนัก แต่กลัวหัวหน้าที่ไม่เปิดใจ ความโปร่งใสและการยอมรับผิดของผู้นำคือแม่เหล็กดูดคน
3. Feedback ตรง = วัฒนธรรมโต
* ทีมที่เติบโตได้เร็วที่สุดในโลก เช่น Pixar, Adobe หรือ Microsoft ภายใต้ Satya Nadella ล้วนมีระบบ Feedback ที่ไม่ใช่แค่ "ให้คะแนน" แต่คือ "เปิดใจคุยกันได้ทุกวัน"
====
🎯 Call to Action: กลับไปเช็ก Attitude ตัวเองด่วน
ลองทำ Self-Assessment 3 ข้อนี้
* เวลาลูกน้องพูดต่างจากเรา เราฟัง…เพื่อเข้าใจ หรือฟัง…เพื่อสวนกลับ?
* ในห้องประชุม 3 เดือนที่ผ่านมา มีใครกล้าค้านคุณกี่ครั้ง?
* คุณรู้สึก “ไม่สบายใจ” หรือ “ขอบคุณ” เวลามีคน Feedback ตรงๆ กับคุณ?
ถ้าตอบคำถามพวกนี้แล้วรู้สึกสะอึก — ยินดีด้วยครับ คุณเริ่มต้นในจุดที่ถูกต้องแล้ว
====
🔍 กรณีศึกษาที่ผู้นำที่ Attitude เปลี่ยนองค์กร
* Satya Nadella – Microsoft พิสูจน์จากการปรับวัฒนธรรมองค์กรหลังเข้ารับตำแหน่ง CEO ปี 2014 โดยย้ำแนวคิด “Empathy” และ “Growth Mindset” ผ่านการส่งเสริมให้พนักงานเรียนรู้ตลอดชีวิต ไม่ใช่แข่งขันกันว่าใครแน่กว่าใคร Nadella สนับสนุนการให้ feedback แบบเปิดเผยและโค้ชผู้บริหารระดับสูงใหม่ๆ ให้เน้นฟังมากกว่าสั่ง จน Microsoft กลับมาเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีอิทธิพลสูงสุดของโลกอีกครั้ง (แหล่งอ้างอิง: หนังสือ Hit Refreshและ Harvard Business Review)
* Ed Catmull – Pixar สร้างระบบ “Braintrust” ที่เปิดให้ผู้กำกับเสนอผลงานให้กลุ่มเพื่อนร่วมงานระดับ Senior คอมเมนต์ได้อย่างเสรี โดยไม่มีใครมีอำนาจ veto หรือบังคับให้เปลี่ยน โดยวัตถุประสงค์คือ “ให้ไอเดียดีที่สุดชนะ” ไม่ใช่คนที่ตำแหน่งใหญ่ที่สุดชนะ (แหล่งอ้างอิง: หนังสือ Creativity, Inc.)
* Netflix ระบบ 360-Degree Feedback ที่เปิดให้พนักงานทุกระดับให้ฟีดแบ็คซึ่งกันและกันได้โดยไม่มีผลกระทบต่อ Performance Review และเป็นหนึ่งใน Core Practice ที่ Reed Hastings (ผู้ร่วมก่อตั้ง) ยืนยันว่าเป็น “กลไกสร้างวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งที่สุด” ในองค์กร (แหล่งอ้างอิง: หนังสือ No Rules Rules และบทสัมภาษณ์ใน Wall Street Journal)
====
💥 อย่าปล่อยให้ “ความเงียบ” ฆ่าองค์กรอย่างช้าๆ
เพราะความเงียบในห้องประชุมวันนี้ อาจคือเสียงระเบิดของปัญหาในอีก 6 เดือนข้างหน้า
องค์กรที่ไม่มีใครกล้าขัดผู้นำ ไม่ใช่องค์กรที่ Strong แต่มักเป็นองค์กรที่ Safe…สำหรับ “ความล้มเหลวเงียบๆ” เท่านั้น
🧭 สัญญาณอันตราย ว่าคุณอาจเป็นผู้นำแบบไม้เรียวโดยไม่รู้ตัว
* คนเห็นด้วยกับคุณทุกเรื่อง...เร็วเกินไป
* ไม่มีใครเคยฟีดแบ็คตรงๆ มาเกิน 90 วันแล้ว
* คุณไม่เคยขอโทษทีมใน 1 ปีที่ผ่านมาเลย
* คุณคิดว่า “จะให้เขาฟีดแบ็คเราทำไม ในเมื่อเราเป็นหัวหน้า”
ถ้าเจอ 2 ใน 4 ข้อนี้ ขอแนะนำให้เปิดบทสนทนากับทีมแบบไม่ต้องมี KPI – เริ่มต้นที่คำว่า “เราพร้อมจะฟัง และไม่ได้จะสวน”
====
📌 ดังนั้น Attitude ของผู้นำ คือจุดตั้งต้นของวัฒนธรรม ไม่ใช่แค่บุคลิกส่วนตัว
สุดท้ายแล้ว “องค์กรแบบไหน” จะเกิดขึ้น…ไม่ได้อยู่ที่งบประมาณ ไม่ได้อยู่ที่ค่านิยมที่แปะไว้บนฝา แต่มันอยู่ที่พฤติกรรมของ “หัวหน้า” ในแต่ละวัน
💡 อยากให้ทีมพูดตรง ก็ต้องเริ่มจากเรากล้าฟังตรง 💡 อยากให้คนกล้าทำ ก็ต้องเริ่มจากเรากล้ายอมรับความพลาดของเขา…โดยไม่เอาไม้เรียวออกมา
🛠 ถ้าไม่อยากได้องค์กรที่ “ภาพสวยแต่กลวงใน” — จงเริ่มจากการเปลี่ยน Attitude ของผู้นำ ให้ “จริงใจ ฟังจริง และกล้าถามสิ่งที่ไม่อยากฟัง” เสียก่อน
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#Attitudeผู้นำยุคใหม่
#CultureStartsWithLeaders
#FromFearToTrust
#LeadershipMindset
#FeedbackIsFuel
วัฒนธรรมองค์กร
ผู้นำ
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย