23 พ.ค. เวลา 10:51 • ดนตรี เพลง

Abraxas: การเดินทางสู่จิตวิญญาณแห่งเสียงดนตรี ผ่านเพอร์คัชชัน กีตาร์ และศิลปะ

"Abraxas" อัลบั้มที่สองของวง Santana ที่เปิดตัวในปี 1970 ถือเป็นหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้วงนี้กลายเป็นตำนานแห่งวงการดนตรี ด้วยการผสมผสานแนวดนตรีละติน ร็อก แจ๊ส และบลูส์เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างกลมกลืน และทรงพลังเกินกว่าที่ใครจะคาดคิดในยุคนั้น
ผลลัพธ์ที่ได้จึงไม่ใช่แค่อัลบั้ม แต่คือการเดินทางผ่านเสียงดนตรีที่พาเราไหลลื่นไปกับจังหวะที่แปลกใหม่ และเต็มไปด้วยความรู้สึกจากภายใน เป็นเสียงดนตรีที่พูดแทนคำพูด และเป็นพลังที่กระตุ้นทั้งอารมณ์และจิตวิญญาณของผู้ฟังให้ดื่มด่ำไปกับประสบการณ์ทางดนตรีใหม่นี้
อัลบั้มเริ่มต้นด้วย "Singing Winds, Crying Beasts" เพลงเปิดที่ไม่มีเนื้อร้อง ใช้เพียงเสียงออร์แกนและเพอร์คัชชันที่วางชั้นเสียงอย่างชาญฉลาด สร้างบรรยากาศอันลึกลับและน่าค้นหา เหมือนบทนำสู่โลกใหม่ที่ยังไม่มีใครเคยเดินผ่าน
จากนั้นเราจึงได้พบกับ “Black Magic Woman / Gypsy Queen” ซึ่งเป็นการนำเพลงของ Fleetwood Mac มาตีความใหม่ โดยผสานเข้ากับท่อนบรรเลงจาก "Gypsy Queen" ของ Gábor Szabó ได้อย่างลงตัว เสียงกีตาร์ของ Carlos Santana พริ้วไหว ลื่นไหล และแฝงไว้ด้วยเสน่ห์ลึกลับที่ไม่อาจต้านทาน เสียงเพอร์คัชชันแบบละตินที่เสริมเข้ามายิ่งทำให้เพลงนี้เปล่งประกายอย่างมีเอกลักษณ์ เป็นเพลงที่ไม่เพียงแค่โดดเด่นในอัลบั้ม แต่ยังกลายเป็นบทเพลงอมตะของวงไปตลอดกาล
"Oye Como Va" ของ Tito Puente คืออีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า Santana สามารถทำให้ดนตรีละตินกลายเป็นกระแสหลักของโลกตะวันตกได้ เพลงนี้เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยพลัง เสียงออร์แกนของ Gregg Rolie เสริมเข้ากับกีตาร์ที่หวานแต่เฉียบคมของ Santana อย่างพอดิบพอดี เป็นจังหวะที่ทำให้ร่างกายขยับตามได้โดยไม่ต้องรู้ความหมายของคำใด ๆ เลย นี่คือพลังของดนตรีที่เข้าถึงคนทุกชนชาติ ภาษา ได้อย่างแท้จริง
อีกหนึ่งเพลงที่หลายคนจดจำได้ดีคือ “Samba Pa Ti” ซึ่งไม่มีเนื้อร้อง แต่กลับถ่ายทอดอารมณ์ได้ลึกซึ้งราวกับบทกวี เพลงนี้ Carlos Santana เขียนขึ้นหลังจากเห็นนักแซ็กโซโฟนข้างถนนที่กำลังดื่มด่ำกับสุราแล้วก็เล่นแซ็กของเขาไปเรื่อย ๆ มันเป็นเพลงที่เกิดจากการสังเกตชีวิตจริงอย่างเรียบง่าย แต่แฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่ละเอียดอ่อน เสียงกีตาร์ในเพลงนี้คล้ายการบรรยายภาวะจิตใจอันอ่อนโยน แต่ไม่ได้ไร้ซึ่งพลัง
ในเพลง “Incident at Neshabur” Santana ก้าวข้ามขอบเขตของร็อกละตินด้วยการสร้างสรรค์บทเพลงบรรเลงที่เปลี่ยนจังหวะอย่างฉับพลันและคาดไม่ถึง เพลงนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากการปฏิวัติในเฮติ — อ้างอิงถึงเหตุการณ์ Haitian Massacre ปี 1804 และ เหตุการณ์ล่มสลายของเมืองนีชอบูร์ อิหร่าน วันเดียวกัน ปี 1221
เพลงนี้มีท่วงทำนองที่ผันผวน เปรียบเหมือนสัญลักษณ์แห่งการเปลี่ยนแปลง ทั้งในระดับดนตรีและความหมาย โดยถือเป็นอีกหนึ่งบทเพลงที่ลึกและหนักแน่นที่สุดของอัลบั้มนี้และของวงอีกด้วย
เพลงอื่น ๆ อย่าง “Se a Cabo,” “Mother’s Daughter,” และ “Hope You’re Feeling Better” แสดงให้เห็นถึงด้านที่แข็งแรง ดิบ และดุดันยิ่งขึ้นของวง เสียงออร์แกนแบบหนักแน่นและจังหวะเพอร์คัชชันที่ไม่หยุดนิ่งสร้างอารมณ์คึกคักและเร้าใจตามแบบฉบับร็อกคลาสสิค ยุค 70s ในขณะที่ “El Nicoya” ปิดท้ายอัลบั้มด้วยจังหวะที่สดใสและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของดนตรีละตินอย่างแท้จริง
ไม่เพียงแค่เนื้อหาเพลงเท่านั้นที่น่าจดจำ ปกอัลบั้ม “Abraxas” ซึ่งออกแบบโดยศิลปินชาวเยอรมัน Mati Klarwein (ผู้ออกแบบปกอัลบั้ม "Bitches Brew" ของ Miles Davis) ก็กลายเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของอัลบั้มนี้ ภาพศิลป์ที่อัดแน่นไปด้วยสัญลักษณ์จากหลากวัฒนธรรม ทั้งทางศาสนาและปรัชญา ชวนให้ตีความและเชื่อมโยงกับโลกดนตรีในอัลบั้มได้อย่างน่าทึ่ง มันไม่ใช่แค่ภาพปก แต่มันคือส่วนหนึ่งของประสบการณ์ทางศิลปะที่ผู้ฟังต้องสัมผัสด้วยตัวเอง
David Brown (ซ้าย) และ Carlos Santana (ขวา) ช่วงต้นทศวรรษ 70s
อัลบั้มนี้ไม่ได้เพียงแค่ได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์อย่างล้นหลามเท่านั้น แต่ยังประสบความสำเร็จทางพาณิชย์อย่างมหาศาล ด้วยการขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต "Billboard 200" และกลายเป็นอัลบั้ม Platinum หลายระดับในสหรัฐอเมริกา รวมถึงการถูกบรรจุไว้ในคลังเก็บผลงานดนตรีและเสียงแห่งชาติ (National Recording Registry) ของสหรัฐฯ ในปี 2015 ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของผลงานชิ้นนี้
เบื้องหลังอัลบั้มคือเหล่าสมาชิกวงยุคแรกที่มากด้วยฝีมือ ไม่ว่าจะเป็น Gregg Rolie ในตำแหน่งคีย์บอร์ดและร้องนำ, Michael Shrieve มือกลองวัยเพียง 20 ปี ที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์, David Brown มือเบสจังหวะนิ่งชั้นครู, José “Chepito” Areas และ Michael Carabello ที่เติมชีวิตให้เพอร์คัชชันทุกจังหวะ และแน่นอน Carlos Santana ที่เป็นแกนหลักทั้งทางวิสัยทัศน์และอารมณ์ในทุก ๆ เพลง
“Abraxas” ถูกนำกลับมาเผยแพร่ในรูปแบบ Remaster หลายครั้ง รวมถึงบนแผ่นเสียงไวนิลคุณภาพสูงและแผ่น SACD (Super Audio CD) เพื่อตอบสนองต่อแฟนเพลงยุคใหม่ที่ต้องการคุณภาพเสียงที่ดีที่สุด ทุกครั้งที่อัลบั้มนี้กลับมา มันก็ยังคงความร่วมสมัยและเข้าถึงกลุ่มผู้ฟังรุ่นใหม่ได้อย่างเสมอมา
อิทธิพลของอัลบั้มนี้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า มันได้จุดประกายให้ศิลปินละตินร็อกจำนวนมาก กล้าที่จะรวมรากทางวัฒนธรรมของตนเข้ากับดนตรีตะวันตก และกลายเป็นหนึ่งในบรรทัดฐานของการทดลองแนวดนตรีผสมข้ามวัฒนธรรม แม้จะผ่านมานานแล้วกว่าครึ่งศตวรรษ แต่เสียงที่เปล่งออกมาจากอัลบั้มนี้ ยังฟังดูสดใหม่และเร้าใจไม่เปลี่ยนแปลง
ท้ายที่สุด “Abraxas” คือผลงานที่ไม่เพียงแต่เป็นอัลบั้มร็อกชั้นเยี่ยม แต่ยังเป็นบทเรียนทางศิลปะ ดนตรี และจิตวิญญาณในยุคหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าเสียงดนตรีนั้นไม่มีพรมแดน
Cr. Allmusic / Wikipedia
---
โฆษณา