Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
MarketThink
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
26 พ.ค. เวลา 03:04 • การตลาด
“จ้างอินฟลูเอนเซอร์ โปรโมตแบรนด์” จะรู้ได้อย่างไรว่า คุ้มไหม ? สรุป 6 ตัวชี้วัด พร้อมตัวอย่างคำนวณ
แบรนด์ นักการตลาด หรือเอเจนซี หลายคนน่าจะเคยจ้างอินฟลูเอนเซอร์ มาช่วยโปรโมตสินค้าและบริการให้กับตัวเอง แต่ไม่แน่ใจว่า ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาจากการจ้างงานครั้งนี้คุ้มค่าหรือไม่ ?
ที่จริงแล้ว ตัวชี้วัดความสำเร็จจากการทำ Influencer Marketing มีด้วยกันหลากหลายตัวชี้วัด ขึ้นอยู่กับผู้วัดผลว่า ต้องการวัดผลแคมเปญในด้านไหน
เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจมากขึ้น บทความนี้จะแสดงตัวอย่างตัวชี้วัดสำหรับ Influencer Marketing ตามทฤษฎี Marketing Funnel หรือโมเดลรูปกรวยที่หลาย ๆ คนคุ้นเคยกัน
โดย Marketing Funnel จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
1. TOFU (Top of the Funnel) หรือขั้นตอนการรับรู้ - Awareness
คือช่วงที่ลูกค้าหรือผู้ชมที่ไม่รู้จักแบรนด์มาก่อน เริ่มเข้ามาทำความรู้จักกับแบรนด์ และเกิดเป็นการรับรู้ต่อแบรนด์ (Brand Awareness) นั่นเอง
ซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลาย ๆ คนในขั้นตอนนี้ อาจจะกำลังมีปัญหาอยู่ แบรนด์ก็ต้องหาวิธีทำให้พวกเขาหันมาสนใจแบรนด์ให้ได้
ซึ่งวิธีหนึ่งก็คือการใช้อินฟลูเอนเซอร์มาสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายให้พวกเขาเกิดการรับรู้
ตัวชี้วัดที่น่าสนใจในขั้นตอนนี้ก็เช่น
- Impression และ Reach
Impression คือ จำนวนครั้งที่ผู้ชมเห็นคอนเทนต์
เช่น นาย A เห็นโฆษณา 3 ครั้ง ก็จะได้ Impression = 3
ส่วน Reach คือ จำนวนผู้ชมที่เห็นคอนเทนต์ (แบบไม่นับซ้ำคน)
เช่น นาย A เห็นโฆษณา 3 ครั้ง แบบนี้จะได้ Reach = 1
และไม่ว่านาย A จะเห็นอีกกี่ครั้ง Reach ก็จะยังเท่ากับ 1 เหมือนเดิม
ทั้งนี้ ยิ่งอินฟลูเอนเซอร์ที่แบรนด์เลือกใช้ สร้าง Impression และ Reach ได้มากแค่ไหน
ก็หมายความว่า แบรนด์ของเราสามารถเข้าถึงผู้คน หรือสร้าง Awareness ให้แบรนด์ได้มากขึ้นเท่านั้น
2. MOFU (Middle of the Funnel) หรือขั้นตอนการพิจารณา - Consideration
คือช่วงที่ลูกค้าหรือผู้ชมรู้จักแบรนด์ของเราและเกิดความสนใจแล้ว แต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ เพราะกำลังหาข้อมูลเพิ่มเติมว่า สินค้าของแบรนด์ช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขาได้จริงหรือไม่ คุ้มค่าที่จะซื้อหรือไม่ มีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้างเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น ๆ
ตัวชี้วัดที่น่าสนใจในขั้นตอนนี้ก็เช่น
- Engagement Rate
Engagement คือ การที่ลูกค้าหรือผู้ชมเข้ามามีปฏิสัมพันธ์ในคอนเทนต์ของแบรนด์ หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่แบรนด์จ้าง เช่น เข้ามากด Like, Reaction, Save, Share, Comment และอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับแต่ละแพลตฟอร์ม
โดยสูตรการหา
Engagement Rate = (จำนวน Engagement ที่ต้องการวัด เช่น Like / จำนวนผู้ติดตาม) x 100
ตัวอย่างการคำนวณ เช่น
แบรนด์จ้างอินฟลูเอนเซอร์คนหนึ่งทำคอนเทนต์ให้ ได้ Like = 1,000 ซึ่งอินฟลูเอนเซอร์คนนั้นมีผู้ติดตามบน Facebook อยู่ 20,000 บัญชี
เท่ากับว่า Engagement Rate จะอยู่ที่ (1,000 / 20,000) x 100 = 5%
สำหรับตัวเลขนี้ ถ้ายิ่งอินฟลูเอนเซอร์มี Engagement Rate สูง แสดงว่าผู้ติดตามมีส่วนร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์สูง และอาจจะสะท้อนได้ว่า ผู้ติดตามมีความสนใจในสินค้าของแบรนด์ที่อินฟลูเอนเซอร์โปรโมตให้นั่นเอง
- Click-Through Rate หรือ CTR
ในหลาย ๆ คอนเทนต์ที่แบรนด์ใช้อินฟลูเอนเซอร์โปรโมตสินค้า มักจะมีการแนบลิงก์ไปที่แค็ตตาล็อกหรือเว็บไซต์ทางการของแบรนด์ ซึ่งจำนวนคนคลิกลิงก์นี้เอง ที่สามารถบอกได้ว่า มีคนสนใจมากเท่าไรนั่นเอง
หนึ่งในตัวชี้วัดที่บอกได้ว่า มีคนคลิกมากเท่าไรเมื่อเห็นคอนเทนต์นั้น ๆ ก็คือ CTR
โดยมีสูตรการคำนวณง่าย ๆ คือ CTR = (จำนวนการคลิก / จำนวน Impression) x 100
เช่น คอนเทนต์หนึ่งมีคนเห็นทั้งหมด 10,000 ครั้ง และมีคนคลิกลิงก์ที่ลงไว้ทั้งหมด 200 ครั้ง
หมายความว่า CTR จะเท่ากับ (200 / 10,000) x 100 = 2%
สำหรับตัวเลขนี้ ก็เช่นเดียวกับ Impression, Reach และ Engagement Rate
ที่ยิ่งมีอัตราการกดลิงก์สูง ก็หมายถึงว่า อินฟลูเอนเซอร์สามารถดึงดูดให้ลูกค้าสนใจสินค้าของแบรนด์ได้มากนั่นเอง
- Brand Mention และ Brand Sentiment
Brand Mention เป็นตัวชี้วัดที่บอกว่า แบรนด์ได้รับความสนใจ และการกล่าวถึงมากน้อยแค่ไหนผ่านเครื่องมืออย่าง @ (Mention) และ # (Hashtag)
ส่วน Brand Sentiment คือ ความรู้สึกของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ ซึ่งก็จะมีทั้งเชิงบวกและเชิงลบ
โดยทั้งสองตัวชี้วัดจำเป็นต้องใช้เครื่องมือ Social Listening Tool ในการรวบรวมข้อมูลจำนวนมหาศาลบนโซเชียลมีเดียมาวิเคราะห์ ซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ก็คุ้มค่าสำหรับการวิเคราะห์ตลาดระยะยาว
3. BOFU (Bottom of the Funnel) หรือขั้นตอนการตัดสินใจ - Decision
คือช่วงที่ลูกค้าหรือผู้ชมศึกษาข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับสินค้าและแบรนด์มาเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อ ในขั้นตอนนี้แบรนด์จึงอาจต้องสร้างแรงจูงใจกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้ามากขึ้น เช่น มอบส่วนลดเพิ่มเติม
ตัวชี้วัดที่น่าสนใจในขั้นตอนนี้ก็เช่น
- Sales Conversion หรือยอดขายที่ได้รับจากแคมเปญ
สิ่งสำคัญที่สุดที่แบรนด์ต้องการอาจจะไม่ใช่แค่กระแส แต่ต้องการรายได้ที่เกิดจากยอดขายจริง ๆ
ดังนั้น ตัวชี้วัดหนึ่งที่จะมองข้ามไปไม่ได้เมื่อจ้างอินฟลูเอนเซอร์คือ ยอดขายที่เกิดขึ้นจากการจ้างอินฟลูเอนเซอร์
ซึ่งต้องหมายเหตุว่า การวัดยอดขายจากอินฟลูเอนเซอร์โดยตรงอาจทำได้ยาก แบรนด์จำเป็นต้องมีการวางระบบที่ดีตั้งแต่เริ่ม เช่น มีรหัส Promo Code เฉพาะตัวสำหรับอินฟลูเอนเซอร์, มีการใช้แทร็กกิงลิงก์โดยเฉพาะ หรือมีการใช้โปรแกรม Affiliate เข้ามาช่วย
- ROI หรือ Return on Investment คือ ผลตอบแทนจากการลงทุน สามารถใช้วัดในแง่ของความคุ้มค่าของแคมเปญที่จ้างอินฟลูเอนเซอร์ได้ดี
โดยสูตรการหา ROI = (กำไรสุทธิ / ต้นทุนที่จ่ายไปทั้งหมด) x 100
ซึ่งกำไรสุทธิ มาจาก รายได้ทั้งหมด - ต้นทุนที่จ่ายไปทั้งหมด
ส่วนต้นทุนที่จ่ายไป นอกจากจะเป็นค่าจ้างอินฟลูเอนเซอร์แล้ว ก็ยังรวมถึง ค่าจัดทำคอนเทนต์, ค่าขนส่งของไปให้อินฟลูเอนเซอร์, ค่า Boost Ads และค่าอื่น ๆ ด้วย
ตัวอย่างการคำนวณ เช่น แคมเปญจ้างอินฟลูเอนเซอร์โปรโมตสินค้าใหม่ ได้รายได้กลับมา 100,000 บาท โดยมีต้นทุนรวมทั้งหมด 40,000 บาท
จะได้ว่า [(100,000 - 40,000) / 40,000] x 100 = 150%
หรือพูดอีกอย่างว่า เงินลงทุนทุก 100 บาท จะได้กำไรกลับมา 150 บาทนั่นเอง
โดยตัวเลขนี้ ถ้าเปอร์เซ็นต์ยิ่งมาก ยิ่งแสดงว่า การจ้างอินฟลูเอนเซอร์โปรโมตนั้น ได้ผลตอบแทนกลับมาสูง
ในทางตรงกันข้าม ถ้าตัวเลขเปอร์เซ็นต์ต่ำ การจ้างอินฟลูเอนเซอร์โปรโมตนั้นได้ผลตอบแทนกลับมาต่ำ ก็แปลว่าแคมเปญอาจยังไม่คุ้มค่าแก่การลงทุนเท่าที่ควร
ทั้งหมดนี้ก็คือ KPI หรือตัวเลขที่ใช้ชี้วัดความสำเร็จของการจ้างงานอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งจริง ๆ แล้ว ก็ขึ้นอยู่กับแบรนด์และนักการตลาดด้วยว่า อยากจะวัดความสำเร็จของแคมเปญในด้านไหน
ถ้าแบรนด์เพิ่งเปิดตัวใหม่ อาจจะอยากวัดกระแสและความดังของตัวเอง ก็อาจจะเลือกใช้ตัวชี้วัดในแง่ของขั้นตอนการรับรู้หรือขั้นตอนการพิจารณา
แต่ถ้าแบรนด์มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว ก็อาจจะเลือกมองไปที่ยอดขายหรือผลลัพธ์ปลายทาง อย่างความคุ้มค่าในการลงทุนเลยก็ได้
1.
https://digitalmarketinginstitute.com/blog/5essential-kpi-for-your-influencer-marketing
2.
https://www.venuee-performance.com/blog/10-kpi-wat-phol-influencer-marketing
3.
https://www.marketingoops.com/exclusive/how-to/tofu-bofu-mofu-in-content-marketing/
การตลาด
7 บันทึก
13
2
7
13
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย