6 มิ.ย. เวลา 14:08 • สิ่งแวดล้อม

‘แอฟริกา’ แผ่นดินสูงขึ้น จากภัยแล้ง-สูญเสียน้ำใต้ติน หวั่นทำลายโครงสร้างอาคาร ขาดน้ำบาดาลใช้ในอนาคต

“ภาวะโลกร้อน” ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหลายด้าน ทั้งภัยแล้งและการสูญเสียแหล่งน้ำใต้ดิน ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกในหลายด้าน รวมไปถึงการสูญเสียแหล่งที่อยู่อาศัย การศึกษาล่าสุดพบว่า บางพื้นที่ของแอฟริกาใต้กลับสูงขึ้น
ข้อมูลจากเครือข่ายสถานี GPS และข้อมูลดาวเทียม ทำให้นักวิจัยทราบมาหลายปีแล้วว่า ภูมิภาคแอฟริกาใต้กำลังสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดย ดร.มากัน คาเรการ์ นักธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยบอนน์ กล่าวว่าในช่วง ระหว่างปี 2012-2020 ภูมิภาคนี้สูงขึ้นโดยเฉลี่ย 6 มิลลิเมตร
จนกระทั่งปัจจุบัน นักวิจัยหลายคนเชื่อว่าการยกตัวขึ้นนี้เกิดจากกระบวนการธรณีพลวัต โดยตั้งทฤษฎีว่าใต้บริเวณนั้นมีกลุ่มควันที่เป็นโครงสร้างขนาดใหญ่คล้ายท่อบรรจุสารความร้อนจากส่วนลึกของโลก และแรงดันเหล่านี้อาจทำให้เปลือกโลกขยายตัว จนเกิดการยกตัวขึ้นดังกล่าว
แต่การศึกษาของดร.คาเรการ์อธิบายตั้งทฤษฎีใหม่ว่า การสูญเสียน้ำใต้ดินและน้ำผิวดินจากภัยแล้งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้แผ่นดินยกตัวขึ้นด้วย
ทีมงานได้ตรวจสอบรูปแบบการตกตะกอนในภูมิภาคต่าง ๆ ของแอฟริกาใต้ และพบความคล้ายคลึงที่ชัดเจนในข้อมูล ได้แก่ พื้นที่ที่ประสบภัยแล้งรุนแรงมีแผ่นดินยกตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พร้อม เปรียบเทียบผลลัพธ์เหล่านี้กับข้อมูลจากภารกิจดาวเทียม GRACE ที่วัดการเปลี่ยนแปลงของแรงโน้มถ่วงในพื้นที่ที่เพิ่งบินผ่านจากวงโคจรเป็นประจำ
น้ำใต้ดินทำให้แผ่นดินมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น ฝนตกหนักและน้ำท่วมทำให้เปลือกโลกและพื้นผิวมีน้ำหนักมากขึ้น และน้ำหนักดังกล่าวทำให้เปลือกโลกทรุดตัวลง แต่ในช่วงภัยแล้ง เมื่อดินสูญเสียน้ำ แผ่นดินก็จะเบาลงและสามารถยกตัวขึ้นได้
ระดับพื้นดินที่สูงขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อประชากรทั่วทั้งภูมิภาค เนื่องจากมีสูบน้ำบาดาลออกมาโดยใช้ เพื่อบริโภค ทำการเกษตร และอุตสาหกรรมมาโดยตลอด และถ้าหากน้ำลดลงอย่างต่อเนื่องอาจจะทำให้เกิดวิกฤติขาดแคลนน้ำ
1
แม้ในตอนนี้การเคลื่อนตัวของพื้นดินอาจไม่มากพอที่จะมองเห็นได้ แต่สามารถสร้างผลกระทบต่อท่อส่งน้ำ โครงสร้างพื้นฐาน และการวางแผนในท้องถิ่นได้ หากปล่อยให้ดำเนินต่อไปโดยไม่ได้ติดตามอย่างเหมาะสม
#กรุงเทพธุรกิจ #InsightForOpportunities #กรุงเทพธุรกิจSustain #กรุงเทพธุรกิจClimate
โฆษณา