26 พ.ค. เวลา 21:56 • ครอบครัว & เด็ก

ชายสะมาเรียคือพระเยซูและชายที่ถูกปล้นนั้นคือเรา

ลูกา 10:30-35 TH1971
[30] พระเยซูตรัสตอบว่า <<มีชายคนหนึ่งลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มจะไปยังเมืองเยรีโค และเขาถูกพวกโจรปล้น โจรนั้นได้แย่งชิงเสื้อผ้าของเขาและทุบตี แล้วก็ละทิ้งเขาไว้เกือบจะตายแล้ว
[31] เผอิญปุโรหิตคนหนึ่งเดินลงไปทางนั้น เมื่อเห็นคนนั้นก็เดินเลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง [32] คนหนึ่งในพวกเลวีก็ทำเหมือนกัน เมื่อมาถึงที่นั่นและเห็นแล้วก็เลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง [33] แต่ชาวสะมาเรียคนหนึ่ง เมื่อเดินทางมาถึงคนนั้น ครั้นเห็นแล้วก็มีใจเมตตา [34] เข้าไปหาเขาเอาผ้าพันบาดแผลให้พลางเอาน้ำมันกับเหล้าองุ่นเทใส่บาดแผลนั้น แล้วให้เขาขึ้นขี่สัตว์ของตนเอง พามาถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง และรักษาพยาบาลเขาไว้
[35] วันรุ่งขึ้นเมื่อจะไป เขาก็เอาเงินสองเดนาริอันมอบให้เจ้าของโรงแรม บอกว่า <จงรักษาเขาไว้เถิด และเงินที่จะเสียเกินนี้ เมื่อกลับมาฉันจะใช้ให้>
ผมเริ่มรู้จักกับพระเจ้าตอนอายุ30 แต่เริ่มจะสนใจแบบจริงจังกับพระคำปีนี้คือย่างเข้า60แล้ว ตอบกับตัวเองเพราะมันไม่มาถึงจุดที่เห็นว่าพระคำสำคัญจำเป็นจริงๆน่ะครับ ประมาณว่ามันสนใจกับอย่างอื่นในสังคมคนเชื่อพระเจ้ามากกว่า สนใจแต่กับความต้องการตัวเองมากกว่า ไม่ได้สนใจเพียงจิตใจพระเจ้า จะบอกว่าไม่ได้เชื่อว่าพระเจ้าเป็นคำตอบเป็นทางรอดเดียวของชีวิตก็ใช่ครับ
คิดแล้วมันคล้ายกับเปโตรก่อนพบกับพระเยซูครับ เขาก็สนใจแต่หาปลาเพื่อเลี้ยงดูปากท้องและดูหมิ่นกับพวกประชาชนที่มาติดตามฟังพระคำจากพระเยซูด้วยครับ
จนผมเริ่มมาถึงจุดหนึ่งของชีวิตครับ คือจุดที่รู้สึกตัวว่าตัวผมกำลังเล่นๆ กับเรื่องของพระเจ้า หลังจากได้มาพบกับอาจารย์คิมฮักเชิล อาจารย์ได้ช่วยให้ผมได้รู้สึกตัวและเริ่มคิดจริงจังกับชีวิตและเริ่มที่จะหันมาสนใจกับพระคำของพระเจ้าจริงจัง เพราะมันไม่มีหนทางอื่นของโลกนี้ที่จะทำให้ผมคาดหวังว่ามันจะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ น่ะครับ
แล้วผมก็ได้ค้นพบว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเป็นเหมือนความจริงที่พระเจ้าต้องการจะบอกแก่มนุษย์ทุกคนครับ เป็นคำตอบเป็นทางรอดเป็นทางออกของทุกปัญหามนุษย์ครับ เหมือนเปโตรตอนที่เขาได้ทำตามกับสิ่งที่พระเยซูบอกก็จับปลาได้เยอะมากๆครับ กับตอนที่เปโตรเขาอุทานออกมาขอให้พระเยซูถอยห่างอกไปจากเขาเพราะเขาเป็นคนบาป เพราะตอนนั้นเขาพึ่งได้รู้สึกสำนึกจริงๆ กับความสกปรกชั่วร้ายของตัวเองที่มองข้ามพระเยซูมาโดยตลอด เหมือนที่ผมมองข้ามกับพระคำมาโดยตลอดเหมือนกัน
ตอนที่เราไม่เชื่อไม่ติดตามพระเจ้าหรือพระคำและคริสตจักรนี้ก็เท่ากับเลือกอยู่กับเรื่องโกหก แล้วมันจะไปคาดหวังอะไรนอกจากจบลงที่ว่างเปล่าและความตายเท่านั้นครับ เช่น คนที่เชื่อว่าความร่ำรวยวัตถุคือดี ก็จะเรียกโจรและความเกียจชังเข้ามาครับ กับทุกสิ่งที่ไม่ใช่พระเจ้าเมื่อไปฝากความหวังไว้กับมัน นั่นคือวิบัติครับ
มันเหมือนกับชายที่ถูกโจรปล้นในพระธรรมลูกา10 ครับ เขาถูกปล้นตอนที่ออกจากเยรูซาเล็มจะไปยังเมืองเยรีโคแล้วถูกปล้นระหว่างทาง โจรเอาทรัพย์สมบัติไปและตีเกือบตายด้วยครับ เขาผิดตั้งแต่ออกจากเยรูซาเล็มแล้ว และที่กล้าออกมาเพราะมีความมั่นใจมาก เพราะมีทรัพย์สมบัติครับ ถ้าไม่มีอะไรเลยโจรที่ไหนมันจะมาปล้นครับ
เหมือนกับมนุษย์ที่กล้าออกจากพระเจ้ามาตั้งแต่สมัยยุคอาดัมบรรพบุรุษครับ เพราะใจมันติดตามความโลภไม่พอกับสถานภาพที่พระเจ้าให้ อยากจะเป็นพระเจ้าเสียเอง มารซาตานก็เลยล่อลวงและปล้นทำร้ายได้แบบนี้ ผลร้ายก็ตกมายังลูกหลานมนุษย์ทุกคนบนโลกจนถึงทุกวันนี้ครับ
ความจริงจิตวิญญาณก็ใกล้จะตายแล้วครับ ไม่มีใครอะไรจะสามารถมาช่วยมนุษย์ให้ได้หลุดพ้นออกจากนรกหรือความบาปได้ แต่เพราะความรักของพระเจ้าจึงได้ส่งพระเยซูพระบุตรองค์เดียวลงมาช่วย ก็ได้มาตายไถ่ความผิดบาปทั้งหมดให้และฟื้นคืนมาประกาศความจริงนี้ให้กับมนุษย์ทุกคน และให้ประกาศกับญาติพี่น้องทุกคนให้ได้รับรู้ก่อนจะถึงวันสุดท้ายที่พระองค์จะเสด็จกลับมารับทุกคนที่เชื่อกลับคืนสู่สวรรค์บ้านแท้ และเผาโลกนี้ทิ้งครับ
พระเยซูเหมือนชายสะมาเรียคนนี้ที่เข้ามาช่วยและพามาฝากไว้ที่โรงแรม น้ำมันกับเหล้าองุ่นกำลังหมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือพระคำที่เข้ามาในใจแล้วมาทำให้เกิดความชื่นชมยินดีครับ และลาที่ให้ขี่มากำลังหมายถึงผู้รับใช้ของพระเจ้าที่จะช่วยพามาส่งถึงคริสตจักรที่ๆ พระองค์จะกลับมารับกลับสู่สวรรค์บ้านแท้ในวันสุดท้ายแบบนี้ครับ
โฆษณา