Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
มุมคิดมุสลิม: ศาสนา ประวัติศาสตร์ สังคม
•
ติดตาม
28 พ.ค. เวลา 08:11 • ประวัติศาสตร์
อักษรโบราณใน "ภาษามลายู"
ก่อนที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะรู้จักคำว่า “ภาษาเขียน” ผู้คนในภูมิภาคนี้สื่อสารกันด้วยคำพูดเพียงอย่งเดียว ไม่มีอักษร ไม่มีการบันทึก ไม่มีร่องรอยทางภาษาให้สืบค้นย้อนหลังได้เหมือนปัจจุบัน ภาษามลายูโบราณก็เป็นเช่นนั้น เป็นเพียง “เสียง” ที่หายไปกับลม
จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อภูมิภาคนี้เริ่มเปิดรับอิทธิพลจากโลกภายนอก โดยเฉพาะจากอินเดียผ่านการค้าขาย การเผยแผ่ศาสนา และการเดินทางของนักบวช พ่อค้า และนักปราชญ์ สิ่งที่เดินทางมาพร้อมกับพระสูตรและสินค้าคือ “ระบบอักษร” เครื่องมือที่เปลี่ยนเสียงพูดให้กลายเป็นภาพ สลักไว้บนหิน แผ่นไม้ หรือโลหะ และคงอยู่ข้ามศตวรรษ
ภาษามลายูโบราณกลายเป็นหนึ่งในภาษาท้องถิ่นแรก ๆ ของภูมิภาคที่ได้รับ “รูปร่าง” ด้วยตัวอักษร ไม่ใช่อักษรที่คิดค้นขึ้นเอง แต่เป็นอักษรจากภายนอก โดยเฉพาะอักษรปัลลวะจากอินเดียใต้ ซึ่งไม่เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการสื่อสาร แต่ยังเปลี่ยนวิธีคิด ความเชื่อ และการปกครอง
อักษรจึงไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือทางเทคนิค แต่เป็นสะพานที่เชื่อมโลกความคิดของชุมชนหนึ่ง เข้ากับอารยธรรมที่กว้างใหญ่กว่า และในกรณีของภาษามลายูโบราณ มันกลายเป็นกุญแจที่ไขประตูสู่ยุคแห่งการเขียน การบันทึก และอัตลักษณ์วัฒนธรรมที่เริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ
นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด เรื่องราวของภาษา ที่ครั้งหนึ่งเคยไร้รูปร่าง แต่แล้วกลับกลายมาเป็นหลักฐานทางอารยธรรมอันทรงพลัง ที่ยัง “พูด” ได้จนถึงทุกวันนี้
#การถ่ายทอดอักษรจากอินเดีย
ในยุคที่ผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังไม่มีระบบการเขียนของตนเอง อินเดียคือศูนย์กลางของอารยธรรมที่ส่งอิทธิพลลึกซึ้งเข้ามาทางศาสนา ภาษาศักดิ์สิทธิ์ และที่สำคัญคือ "อักษร" อินเดียไม่เคยยกทัพมาตั้งอาณานิคมในภูมิภาคนี้ แต่สิ่งที่เข้ามานั้นทรงพลังกว่าดาบหรือปืน นั่นคือแนวคิดและความรู้ ซึ่งเดินทางมากับพ่อค้า นักบวช และนักปราชญ์ที่ถือคัมภีร์แทนอาวุธ
ศาสนาฮินดูและพุทธเป็นหัวหอกของการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ เมื่อศาสนาเดินทางมาถึง ก็ต้องการภาษาและอักษรเพื่อถ่ายทอดหลักธรรม พระสูตร และพิธีกรรม อักษรพราหมีซึ่งเป็นรากของอักษรอินเดียหลายรูปแบบ กลายเป็นต้นแบบของระบบอักษรที่ใช้ในศาสนจักรและราชสำนักอินเดียตอนใต้ และจากตรงนั้น “อักษรปัลลวะ” ก็ถือกำเนิดขึ้น
อักษรปัลลวะไม่ใช่แค่ตัวหนังสือ มันเป็นระบบความคิดที่แฝงอยู่ในโครงสร้างของศาสนา การเมือง และวัฒนธรรม มันทำหน้าที่มากกว่าเครื่องมือบันทึก มันคือสัญลักษณ์ของอำนาจและศรัทธา ผู้ใดควบคุมการเขียน ก็ย่อมควบคุมการตีความความจริงในยุคนั้น
เมื่ออักษรปัลลวะข้ามทะเลมาสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มันไม่ได้มาเพียงลำพัง มันมาพร้อมกับความรู้ทางไวยากรณ์ การคิดแบบตรรกะของอินเดีย และคำศัพท์จากภาษาสันสกฤตที่ฝังลึกอยู่ในภาษามลายูโบราณ เช่น คำเกี่ยวกับรัฐ ศาสนา เวลา และอำนาจ ล้วนมีรากจากอินเดีย
ในจุดนี้ เราจึงเห็นภาพชัดว่า การถ่ายทอดอักษรไม่ใช่เรื่องของการคัดลอกเท่านั้น แต่เป็นการถ่ายโอน “โลกทัศน์” ทั้งชุดมาสู่พื้นที่ใหม่ โลกทัศน์ที่หล่อหลอมภาษามลายูโบราณให้กลายเป็นหนึ่งในภาษาที่มีระบบเขียนเป็นของตนเองเป็นครั้งแรก
และนี่คือจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ในประวัติศาสตร์ภูมิภาค ยุคที่ “เสียง” เริ่มกลายเป็น “ร่องรอย” ที่จารึกอยู่บนหิน ใบตาล และจิตวิญญาณของวัฒนธรรมที่ยังไม่เลือนหาย
#ระบบอักษรโบราณในภาษามลายูโบราณ
เมื่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มเข้าสู่ยุคการเขียน ระบบอักษรที่ใช้ไม่ได้เกิดขึ้นเองในพื้นที่ แต่เป็นผลผลิตของการเชื่อมต่อกับโลกภายนอก โดยเฉพาะอินเดีย ความหลากหลายของระบบตัวเขียนที่ใช้บันทึกภาษามลายูโบราณจึงสะท้อนทั้งเส้นทางการค้า ความเชื่อ และการเปลี่ยนผ่านของอำนาจทางวัฒนธรรมในภูมิภาคนี้
๑. อักษรปัลลวะ (Pallava)
อักษรปัลลวะเป็นระบบตัวเขียนแบบ อับูกิดา (abugida) ซึ่งพัฒนามาจากอักษรพราหมีในอินเดียใต้ และได้รับชื่อจากราชวงศ์ปัลลวะซึ่งปกครองบริเวณเมืองมัทราส (เจนไนในปัจจุบัน) ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 3–10
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อักษรปัลลวะถูกนำมาใช้ครั้งแรกในอาณาจักรศรีวิชัย (ศตวรรษที่ 7–13) เพื่อเขียนภาษามลายูโบราณ ตัวอย่างจารึกที่ใช้ ได้ ก่จารึกเกดูกันบูกิต (ค.ศ. 683) ,ตาลางตูโว (ค.ศ. 684), โกตากาปูร์ (ค.ศ. 686)
ต่อมา มีพัฒนาการของรูปแบบตัวอักษรที่เรียกว่า “อักษรหลังปัลลวะ” (Post-Pallava หรือ Pasca-Pallava) ซึ่งลายเส้นมีความสูงเท่ากัน เรียบง่ายขึ้น และเชื่อกันว่าอาจเป็นรูปแบบที่ใช้แพร่หลายในคาบสมุทรมลายูมากกว่าอักษรกวีหรือเร็นจง แม้ว่ายังอยู่ในระดับข้อเสนอทางวิชาการ
๒. อักษรกวี (Kawi)
อักษรกวีปรากฏขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่ 8–14 ในหมู่เกาะอินโดนีเซีย โดยเฉพาะในเกาะชวา เป็นผลสืบเนื่องจากการแพร่กระจายของอักษรปัลลวะ บางแนวคิดเสนอว่าอักษรกวีอาจได้รับอิทธิพลจากอักษรปาลีแบบเหลี่ยม (Pali Kyoktsa) ที่ใช้ในคัมภีร์พุทธมากกว่าโดยตรง
ตัวอย่างจารึกสำคัญเช่น เปงกาลันเกิมปัซ (ค.ศ. 1463/1468)
อักษรกวีถูกใช้ในภาษากวี (Old Javanese) และเป็นรากฐานของอักษรพื้นเมืองในอินโดนีเซียหลายรูปแบบก่อนจะเลิกใช้อย่างแพร่หลายในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 14
๓. อักษรเร็นจง (Rencong)
อักษรเร็นจงมีลักษณะเรียบง่าย เส้นเฉียงและโค้ง พบในพื้นที่ต่าง ๆ เช่น สุมาตรา ฟิลิปปินส์ สุลาเวสี และกาลีมันตัน มีข้อเสนอว่าอาจเก่าแก่กว่าอักษรปัลลวะในบางพื้นที่ แต่ยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันชัดเจน
เร็นจงมีการใช้งานในระดับชุมชน กลุ่มชาติพันธุ์ และการส่งผ่านวัฒนธรรมที่ไม่ได้อยู่ในศูนย์กลางอำนาจใหญ่
ระบบอักษรเหล่านี้จึงไม่ใช่แค่สื่อกลางของภาษา แต่คือพยานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่ใช่ผู้รับอย่างเงียบ ๆ หากแต่เป็นผู้เลือก ผู้ปรับ และผู้ผสมผสาน เพื่อสร้างสิ่งใหม่ในบริบทของตนเอง
#บทบาทของศาสนาและอักษร
ศาสนาไม่ได้เพียงเปลี่ยนความเชื่อของผู้คน แต่ยังเปลี่ยน “วิธีคิด” และ “วิธีเขียน” ของทั้งภูมิภาค ในกรณีของภาษามลายูโบราณ ระบบอักษรที่ถูกนำเข้ามาไม่ใช่เพียงผลพวงของการค้าขายหรือการลอกเลียนวัฒนธรรมอินเดีย หากแต่เป็นเครื่องมือสำคัญของการเผยแผ่ศาสนาและการจัดระเบียบสังคม
๑. ศาสนาฮินดู–พุทธ: อักษรจากพิธีกรรมและพระสูตร
ในยุคแรกของภาษามลายูโบราณ (คริสต์ศตวรรษที่ 7–13) ศาสนาฮินดูและพุทธคือกระแสหลักของแนวคิดทางจิตวิญญาณในภูมิภาค การเผยแผ่ศาสนาเหล่านี้มาพร้อมกับภาษาสันสกฤตและบาลี ซึ่งมีระบบอักษรเป็นของตนเอง โดยเฉพาะอักษรปัลลวะจากอินเดียใต้ ที่ถูกใช้ในการจารึกคำสอนทางศาสนา คำสาป พิธีกรรม และแม้แต่กฎหมายท้องถิ่น
การเลือกใช้อักษรอินเดียจึงไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มาจากความจำเป็นที่จะต้อง “ถ่ายทอดคำศักดิ์สิทธิ์” อย่างถูกต้อง ความแม่นยำของอักขระจึงมีความสำคัญทางศาสนาเท่ากับความสวยงามทางศิลปะ
อักษรกลายเป็น “สื่อกลางศักดิ์สิทธิ์” ที่ใช้สร้างและรักษาอำนาจของศาสนาในพื้นที่ซึ่งยังไม่มีการเขียนเป็นของตนเอง
๒. การเข้ามาของอิสลาม: อักษรใหม่ในบริบทใหม่
จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่เกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 เมื่อศาสนาอิสลามเริ่มแพร่กระจายเข้าสู่โลกมลายู การมาถึงของอิสลามไม่เพียงเปลี่ยนเนื้อหาทางศาสนา แต่ยังเปลี่ยนระบบการเขียนที่ใช้ในพื้นที่อย่างสิ้นเชิง
อักษรยาวี (Jawi) ซึ่งพัฒนาจากอักษรอาหรับ ถูกนำมาใช้เพื่อจารึกคัมภีร์อัลกุรอาน หะดีษ และตำราทางศาสนาอื่น ๆ แต่เนื่องจากภาษาอาหรับไม่มีเสียงบางอย่างในภาษามาเลย์ จึงมีการเพิ่มอักขระใหม่อีก 6 ตัว เพื่อให้สามารถเขียนคำมาเลย์ได้อย่างถูกต้อง
อักษรยาวีไม่ใช่แค่เครื่องมือของศาสนา แต่กลายเป็น “ระบบอักษรหลัก” ของภาษาในช่วงหลัง โดยมีบทบาทในเอกสารราชการ กฎหมาย วรรณกรรม และการศึกษาในสังคมอิสลาม
๓. การเปลี่ยนผ่านไม่ใช่การลบล้าง แต่คือการต่อรอง
น่าสังเกตว่า การเปลี่ยนผ่านจากอักษรอินเดียสู่อักษรอาหรับไม่ได้เกิดจากการบังคับของอำนาจรัฐ แต่มาจากแรงขับทางศาสนาและวัฒนธรรมอย่างเป็นธรรมชาติ ตัวอย่างจารึกในยุคเปลี่ยนผ่าน เช่น Batu Bersurat Pengkalan Kempas (ค.ศ. 1467–1468) แสดงให้เห็นการใช้อักษรกวีควบคู่กับอักษรยาวีอย่างน่าสนใจ
นั่นหมายความว่า สังคมในภูมิภาคนี้ไม่ได้รับอักษรใหม่ด้วยความจำยอมหรือการล้างความเชื่อเก่า แต่คือการต่อรองทางวัฒนธรรม การเลือกและปรับใช้สิ่งใหม่โดยไม่ละทิ้งรากเดิมโดยสิ้นเชิง
ศาสนาและอักษรจึงเป็นสองเส้นทางที่เดินควบคู่กันมาในประวัติศาสตร์มลายูโบราณ ศาสนาให้ความหมาย แต่อักษรทำให้ความหมายนั้น “คงอยู่” และถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น
#อักษรกับอำนาจในโลกโบราณ
ในยุคโบราณที่ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังไม่มีแนวเขตประเทศชัดเจน ไม่มีชาติหรือรัฐในความหมายสมัยใหม่ การครอบงำทางการทหารอาจยังจำกัด แต่ “อิทธิพล” ไม่เคยขาดหาย มันเดินทางมาทางศาสนา ภาษา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง... อักษร
อักษรไม่ใช่เพียงตัวหนังสือ หากเป็นเครื่องมือทรงพลังในการกำหนด “วิธีมองโลก” และ “วิธีปกครอง” โดยไม่ต้องยิงปืนแม้แต่นัดเดียว
๑. อักษรอินเดียพลังแข็งแกร่ง
อินเดียโบราณไม่เคยยกกองทัพเข้ามายึดครองคาบสมุทรมลายูหรือหมู่เกาะอินโดนีเซีย แต่ผลกระทบทางวัฒนธรรมของมันลึกซึ้งอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ อักษรพราหมีและอักษรลูกหลานอย่างปัลลวะ กวี และเร็นจง กลายเป็นระบบตัวเขียนหลักในหลายพื้นที่โดยไม่ต้องมีการบังคับใช้ใด ๆ
สิ่งนี้คือภาพสะท้อนของ “soft power” ในความหมายแท้จริง คือการที่แนวคิดจากภายนอกได้รับการยอมรับโดยสมัครใจ เพราะมันตอบโจทย์ของพื้นที่ท้องถิ่น ทั้งในเรื่องศาสนา อำนาจ และระบบความคิดที่ต้องการบันทึกหรือถ่ายทอด
๒. ท้องถิ่นไม่ใช่ผู้ตามแต่คือผู้เลือก
การที่อาณาจักรศรีวิชัยเลือกใช้อักษรปัลลวะในการสลักจารึกภาษามลายูโบราณ ไม่ใช่แค่การยืมรูปแบบจากภายนอก แต่คือการประกาศความเชื่อมโยงกับอารยธรรมใหญ่ ขณะเดียวกันก็ยังยืนยันอัตลักษณ์ของตนด้วยภาษาท้องถิ่น
นั่นคือการ “เจรจาทางอำนาจ” ผ่านอักษร รับของต่างถิ่นโดยไม่ละทิ้งความเป็นตน การที่ผู้ปกครองท้องถิ่นเลือกใช้อักษรต่างแดนเพื่อเขียนภาษาของตนเอง แสดงให้เห็นถึงไหวพริบทางวัฒนธรรมที่ไม่ได้หยุดอยู่แค่การเลียนแบบ แต่คือการประดิษฐ์สิ่งใหม่จากของเดิม
๓. อักษรยาวี: การทวนกระแสสู่โลกใหม่
เมื่ออิสลามเข้ามา อักษรยาวีก็เข้ามาแทนที่ระบบเดิมในหลายพื้นที่ ไม่ใช่เพราะมันถูกบังคับใช้ แต่เพราะมันให้เสียงกับแนวคิดใหม่ของสังคมได้ดีกว่า มันสามารถจารึกคำศัพท์ทางศาสนาอิสลามได้ครบถ้วน ชัดเจน และสอดคล้องกับเสียงภาษามาเลย์มากกว่าอักษรที่มีรากจากสันสกฤต
อักษรยาวีจึงไม่ได้มา “ลบ” อักษรเดิม แต่คือผลลัพธ์ของพลังวัฒนธรรมใหม่ที่ค่อย ๆ ขยายอิทธิพลด้วยความเข้าใจในรากภาษาท้องถิ่น
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า “อักษร” ไม่เคยเป็นเพียงสื่อกลางของภาษาเท่านั้น แต่มันคือเวทีของการต่อรองอำนาจ การเลือกวัฒนธรรม และการกำหนดทิศทางของอารยธรรมในแต่ละช่วงเวลา
#เหตุใด “อักษร” จึงสำคัญ
เมื่อเรามองย้อนกลับไปยังจารึกเก่าแก่ที่สลักด้วยอักษรปัลลวะ กวี หรือเร็นจง บางคนอาจเห็นเพียงรอยบนหินหรือร่องรอยจากอดีตที่ไม่มีความหมายต่อชีวิตประจำวันอีกแล้ว แต่สำหรับผู้ที่มองลึกกว่านั้น อักษรเหล่านี้คือเสียงจากอดีตที่ยังไม่เงียบลง
อักษรไม่ได้เป็นเพียงชุดสัญลักษณ์สำหรับถ่ายทอดภาษา แต่เป็นผลลัพธ์ของการเดินทางทางความคิด วัฒนธรรม และอำนาจ มันเผยให้เห็นว่าใครมีอิทธิพลต่อใคร ใครเรียนรู้จากใคร และใครเลือกจะเชื่อมโยงกับโลกภายนอกอย่างไร
ในยุคที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังไม่มีการรวมศูนย์แบบรัฐชาติ การเลือกใช้อักษรหนึ่งอักษรใดสะท้อนวิธีที่ชุมชนต่าง ๆ รับมือกับการเปลี่ยนแปลง บางกลุ่มรับอักษรปัลลวะเพื่อเชื่อมตนเองเข้ากับศาสนาและอำนาจ บางกลุ่มพัฒนาอักษรกวีของตนเพื่อใช้ในภาษาท้องถิ่น และบางกลุ่มยึดถือเร็นจงไว้เป็นมรดกเฉพาะถิ่นของตน
เมื่ออิสลามมาถึง อักษรยาวีก็เข้ามาแทนที่ระบบเดิมอย่างสง่างาม ไม่ใช่ด้วยการลบล้าง แต่ด้วยพลังของการตอบโจทย์ทางเสียง ศรัทธา และความรู้ใหม่ ระบบอักษรในภูมิภาคนี้จึงไม่เคย “ตาย” เพียงแค่ปรับเปลี่ยนตามทิศทางของศรัทธาและอำนาจในแต่ละยุค
อักษรโบราณอาจไม่ได้กลับมาเป็นระบบเขียนหลักอีกครั้ง แต่ในฐานะเครื่องมือของความเข้าใจตนเอง วัฒนธรรม และความหลากหลาย มันกำลังกลับมาอย่างทรงพลัง บนเวทีใหม่ ที่ชื่อว่า “อนาคต”
ประวัติศาสตร์
ข่าวรอบโลก
หนังสือ
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย