Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Vate's Pharma Scope
•
ติดตาม
2 มิ.ย. เวลา 13:30 • สุขภาพ
เรื่องจริงจากเภสัชกร "โรคจากยา" ภัยเงียบใกล้ตัวคนไทย
หลายท่านอาจจะคุ้นเคยกับคำว่า "ผลข้างเคียงจากยา" แต่ "โรคจากยา" หรือ Drug-Induced Diseases นั้นมีความหมายที่ลึกซึ้งและอาจส่งผลกระทบรุนแรงกว่าที่เราคิดครับ
ยาที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นยาที่แพทย์สั่งหรือยาที่เราซื้อเองจากร้านขายยา ล้วนแล้วแต่มีคุณอนันต์ในการรักษาและบรรเทาอาการเจ็บป่วย แต่ในขณะเดียวกัน ยาก็เปรียบเสมือนดาบสองคมที่อาจก่อให้เกิดปัญหาใหม่ขึ้นได้หากเราใช้ไม่ถูกต้อง หรือแม้แต่ในบางกรณีที่ใช้ถูกต้องแล้วก็ยังอาจเกิดปัญหาขึ้นได้เช่นกันครับ
บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ทุกท่านได้รู้จักและเข้าใจ "โรคจากยา" มากขึ้น ตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ยาอย่างปลอดภัย และทราบถึงบทบาทของเภสัชกรในการช่วยดูแลทุกท่านให้ปลอดภัยจากการใช้ยาครับ
โรคจากยาคืออะไรกันแน่?
ตามคำนิยามทางการแพทย์ โรคจากยา (Drug-Induced Diseases) หมายถึง ผลกระทบอันไม่พึงประสงค์จากยาที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น และส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วยหรือการตายในที่สุด อาการเหล่านี้มักจะรุนแรงจนทำให้ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉิน หรือจำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลครับ จะเห็นได้ว่ามันไม่ใช่แค่เพียงอาการเล็กๆ น้อยๆ เช่น ง่วงนอน ปากแห้ง คอแห้ง แต่เป็นภาวะที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างชัดเจน
การที่จะทราบได้ว่ายาตัวใดอาจก่อให้เกิดโรคอะไรบ้างนั้น ต้องอาศัยกระบวนการที่เรียกว่า "การเฝ้าระวังความปลอดภัยของยาหลังออกสู่ตลาด" (Postmarketing Surveillance) ครับ กระบวนการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะในการศึกษาก่อนที่ยาจะได้รับการอนุมัติให้ใช้จริงนั้น อาจมีผู้เข้าร่วมการทดลองจำนวนจำกัดและระยะเวลาไม่นานพอที่จะตรวจพบผลกระทบที่หายากหรือเกิดขึ้นในระยะยาวได้
การเก็บข้อมูลหลังจากที่ยาถูกใช้ในประชากรกลุ่มใหญ่และหลากหลายขึ้น จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของความปลอดภัยของยาได้ชัดเจนยิ่งขึ้นครับ และตรงนี้เองที่บทบาทของเภสัชกรและบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงตัวผู้ป่วยเองในการรายงานอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้น มีความสำคัญอย่างมากครับ
สำหรับในประเทศไทย ข้อมูลจากระบบการติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และงานวิจัยต่างๆ ชี้ให้เห็นว่า ปัญหาโรคจากยาเป็นเรื่องที่พบได้ไม่น้อยเลยครับ
มีรายงานอุบัติการณ์ของอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาในประเทศไทยอยู่ระหว่างร้อยละ 1.7 ถึง 22.6 ซึ่งแตกต่างกันไปขึ้นกับวิธีการศึกษาและกลุ่มตัวอย่าง สิ่งที่น่ากังวลคือ อาการไม่พึงประสงค์เหล่านี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยต้องกลับมารักษาตัวในโรงพยาบาลซ้ำ หรือทำให้ระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลนานขึ้น และแน่นอนว่าส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงขึ้นด้วย
หนึ่งในโรคจากยาที่พบบ่อยและเป็นปัญหาสำคัญในบ้านเราคือ "การแพ้ยา" (Drug Allergy) จากข้อมูลพบว่า ยาปฏิชีวนะเป็นกลุ่มยาที่ถูกรายงานว่าทำให้เกิดการแพ้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะยาในกลุ่มเบตาแลคแตม (Beta-lactams) เช่น เพนิซิลลิน (Penicillins) และเซฟาโลสปอริน (Cephalosporins) รวมถึงยากลุ่มซัลฟา (Sulfonamides)
อาการแพ้ยาทางผิวหนังชนิดรุนแรง เช่น สตีเวนส์-จอห์นสัน ซินโดรม (Stevens-Johnson Syndrome หรือ SJS) และท็อกซิก อีพิเดอร์มัล เนโครไลซิส (Toxic Epidermal Necrolysis หรือ TEN) ซึ่งมีการหลุดลอกของผิวหนังและเยื่อบุต่างๆ เป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิต และน่าตกใจว่าประเทศไทยเคยมีรายงานปัญหาผื่นแพ้ยารุนแรงสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
ยาที่มักเป็นสาเหตุของการแพ้ทางผิวหนังอย่างรุนแรงในประเทศไทย ได้แก่
- ยารักษาโรคเกาต์ เช่น อัลโลพูรินอล (Allopurinol)
- ยากันชัก เช่น คาร์บามาซีปีน (Carbamazepine), ฟีโนบาร์บิทัล (Phenobarbital), เฟนิโทอิน (Phenytoin)
- ยาแก้ปวด/ต้านการอักเสบกลุ่ม NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen), ไพรอกซิแคม (Piroxicam)
- ยาต้านไวรัสเอชไอวีบางชนิด
- ยากลุ่มซัลฟา เช่น โคไตรมอกซาโซล (Co-trimoxazole)
ข้อมูลจากฐานข้อมูล Thai Vigibase ของศูนย์เฝ้าระวังความปลอดภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพ (HPVC) ระหว่างปี 2012-2021 พบว่ามีรายงานอาการไม่พึงประสงค์จากยาต้านจุลชีพถึง 82,333 ราย โดยเป็นกรณีรุนแรงถึง 25.13% ผู้ที่มีประวัติแพ้ยามาก่อน และผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง
ปัจจุบัน ประเทศไทยมีความก้าวหน้าในการตรวจยีนแพ้ยา (Pharmacogenomics) เพื่อทำนายความเสี่ยงของการเกิดผื่นแพ้ยารุนแรงจากยาบางชนิด เช่น ยาอัลโลพูรินอล และยากันชักคาร์บามาซีปีน ซึ่งช่วยลดอัตราการเกิดการแพ้ยารุนแรงและลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างมาก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มดิจิทัล "ผูกพันธุ์" เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลพันธุกรรมสู่การรักษาที่แม่นยำยิ่งขึ้น
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ผมขอยกตัวอย่างกลุ่มยาที่จำเป็นต้องใช้อย่างระมัดระวังเป็นพิเศษกลุ่มแรกคือ ยาปฏิชีวนะกลุ่มฟลูออโรควิโนโลน (Fluoroquinolones) เช่น ซิโพรฟลอกซาซิน (Ciprofloxacin) และ ลีโวฟลอกซาซิน (Levofloxacin) ยาในกลุ่มนี้มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด แต่ก็มีรายงานผลกระทบที่น่ากังวลเช่นกันครับ
ย้อนกลับไปในปี 2008 องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ได้มีคำเตือนสำคัญ (Boxed Warning ซึ่งเป็นคำเตือนที่รุนแรงที่สุด) เกี่ยวกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการเกิดเอ็นอักเสบและเอ็นฉีกขาด (Tendinitis and Tendon Rupture) โดยเฉพาะเอ็นร้อยหวาย นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มคำเตือนเกี่ยวกับการทำให้อาการของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia Gravis) แย่ลงอีกด้วย
ต่อมาในปี 2018 FDA ได้ออกประกาศความปลอดภัยด้านยาเพิ่มเติม โดยเน้นย้ำถึงความเสี่ยงในการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) และผลกระทบต่อสุขภาพจิต เช่น อาการกระสับกระส่าย วิตกกังวล ความจำเสื่อม และภาวะสับสน (Delirium) จากการใช้ยาในกลุ่มนี้
ด้วยความเสี่ยงที่หลากหลายเหล่านี้ ยาในกลุ่มฟลูออโรควิโนโลนจึงควรสงวนไว้ใช้สำหรับการติดเชื้อแบคทีเรียที่รุนแรง เช่น ปอดอักเสบ หรือในกรณีที่ยาตัวเลือกแรก (First-line agents) ไม่สามารถรักษาการติดเชื้อไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบเรื้อรัง หรือการติดเชื้อแบคทีเรียที่ไม่ซับซ้อนได้ผลครับ
ในฐานะเภสัชกร ผมและเพื่อนร่วมวิชาชีพมีบทบาทสำคัญในการป้องกันและเฝ้าระวังโรคจากยาฟลูออโรควิโนโลนครับ เช่น การแนะนำยาปฏิชีวนะทางเลือกที่เหมาะสมกว่า การให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วยถึงอาการที่ควรสังเกต และการรายงานอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น โครงการ MedWatch ของ FDA หรือศูนย์เฝ้าระวังความปลอดภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพ (HPVC) ของ อย.ในประเทศไทย เพื่อช่วยในกระบวนการเฝ้าระวังความปลอดภัยของยาต่อไปครับ
กลุ่มยาลดกรด "PPIs" (Proton Pump Inhibitors) ใช้พร่ำเพรื่อ เสี่ยงสารพัดโรค
อีกกลุ่มยาหนึ่งที่ผมอยากจะพูดถึงและมีการใช้กันอย่างแพร่หลายมาก คือ กลุ่มยาลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารที่เรียกว่า Proton Pump Inhibitors หรือ PPIs ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ที่หลายท่านอาจคุ้นเคยคือ โอเมพราโซล (Omeprazole) ยาในกลุ่มนี้มีประโยชน์มากในการรักษาโรคกระเพาะอาหารอักเสบ กรดไหลย้อน และแผลในทางเดินอาหาร แต่การใช้ในระยะยาวหรือใช้โดยไม่มีข้อบ่งชี้ที่เหมาะสมก็อาจนำไปสู่ปัญหาได้เช่นกันครับ
ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ ปฏิกิริยาระหว่างยา (Drug Interactions) ครับ ตัวอย่างเช่น การใช้ยา PPIs ร่วมกับยาต้านเกล็ดเลือดคลอพิโดเกรล (Clopidogrel) ซึ่งใช้เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด แม้ว่า PPIs จะช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหารจากคลอพิโดเกรลได้
แต่ PPIs บางตัว โดยเฉพาะโอเมพราโซล อาจลดประสิทธิภาพของคลอพิโดเกรล ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจและหลอดเลือด เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial Infarction) และโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ได้
นอกจากนี้ การใช้ PPIs ในระยะยาว ยังสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการเกิดโรคกระดูกพรุน (Osteoporosis) ข้อมูลที่น่าตกใจคือ ประมาณ 25% ถึง 70% ของการสั่งใช้ยา PPIs นั้น ไม่มีข้อบ่งชี้ที่เหมาะสมตามแนวทางการรักษา นั่นหมายความว่ามีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่อาจได้รับยาเกินความจำเป็น และเสี่ยงต่อผลกระทบระยะยาวโดยไม่รู้ตัว
โรคอื่นๆ ที่อาจมีสาเหตุมาจากการใช้ PPIs เป็นเวลานาน ได้แก่ การติดเชื้อ Clostridioides difficile (C. difficile) ซึ่งทำให้เกิดอาการท้องเสียรุนแรง, ภาวะสมองเสื่อม (Dementia), ปอดอักเสบ (Pneumonia) และการขาดสารอาหารบางชนิด มีการศึกษาพบว่าปอดอักเสบอาจเกิดขึ้นได้ภายในเดือนแรกของการเริ่มใช้ PPIs ในขณะที่ภาวะแมกนีเซียมในเลือดต่ำ (Hypomagnesemia) ซึ่ง FDA ได้ออกประกาศเตือนความปลอดภัยในปี 2011 นั้น อาจเกิดขึ้นได้ภายใน 3 เดือนแรก แต่ส่วนใหญ่มักจะปรากฏหลังจากใช้ยาไปแล้ว 1 ปี
บทบาทของเภสัชกรในเรื่องนี้ก็มีความสำคัญไม่แพ้กันครับ เราสามารถให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างการใช้ PPIs ระยะยาวกับโรคจากยาต่างๆ ในระหว่างการให้คำปรึกษาด้านยา (Medication Therapy Management) นอกจากนี้ เภสัชกรยังสามารถช่วยในการประเมินความเหมาะสมและพิจารณาลดการใช้ (Deprescribing)
ยา PPIs ที่ผู้ป่วยอาจไม่จำเป็นต้องใช้อีกต่อไป หรือใช้อย่างไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงหรือเริ่มมีอาการไม่พึงประสงค์ สิ่งสำคัญอีกประการคือ การให้ความรู้แก่ประชาชนว่ายา PPIs ที่หาซื้อได้เองจากร้านขายยา (OTC) ไม่ควรใช้ติดต่อกันนานเกิน 14 วัน ในทุกๆ 4 เดือน หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรครับ
จากตัวอย่างทั้งสองกลุ่มยา และสถานการณ์ในประเทศไทย จะเห็นได้ว่าเภสัชกรมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้ผู้ป่วยใช้ยาได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุดครับ หน้าที่ของเราไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การจ่ายยาตามใบสั่งแพทย์ แต่ยังรวมถึง
1. การให้คำปรึกษาแก่ผู้ป่วย อธิบายถึงประโยชน์ ความเสี่ยง วิธีการใช้ยาที่ถูกต้อง รวมถึงอาการไม่พึงประสงค์ที่ควรสังเกต โดยเฉพาะอาการแพ้ยาที่พบบ่อยในคนไทย
2. การให้ความรู้แก่ทีมสหวิชาชีพ ทำงานร่วมกับแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ เพื่อให้มั่นใจว่าการรักษาด้วยยาเป็นไปอย่างเหมาะสม
3. การค้นหาและจัดการกับโรคจากยา ช่วยประเมินว่าอาการเจ็บป่วยใหม่ที่เกิดขึ้น อาจมีสาเหตุมาจากยาที่ใช้อยู่หรือไม่ และให้คำแนะนำในการจัดการที่เหมาะสม
4. การแนะนำยาทางเลือก ในกรณีที่ผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคจากยาบางชนิด เภสัชกรอาจเสนอทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยกว่า
5. การรายงานอาการไม่พึงประสงค์ ส่งข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ศูนย์เฝ้าระวังความปลอดภัยผลิตภัณฑ์สุขภาพ (HPVC) ของ อย. เพื่อช่วยในระบบการเฝ้าระวังความปลอดภัยของยา
6. การช่วยลดการใช้ยาที่ไม่จำเป็น (Deprescribing) ประเมินและให้คำแนะนำในการหยุดหรือลดขนาดยาที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือผู้ที่ใช้ยาหลายชนิด
7. การส่งเสริมการตรวจยีนแพ้ยา ในกรณีที่เหมาะสม อาจให้ข้อมูลและสนับสนุนให้ผู้ป่วยพิจารณาการตรวจยีนแพ้ยาเพื่อลดความเสี่ยง โดยเฉพาะยากลุ่มเสี่ยงที่พบบ่อยในประเทศไทย
ผมหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านเข้าใจเรื่อง "โรคจากยา" และตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ยาอย่างรอบคอบมากขึ้นนะครับ ยาเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มหาศาล แต่ก็จำเป็นต้องใช้อย่างถูกวิธีและอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ การเป็นผู้ป่วยที่มีความรู้และใส่ใจในสุขภาพของตนเองเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งครับ
หากท่านมีประวัติการแพ้ยา ควรจดจำชื่อยาและอาการที่แพ้ พกบัตรแพ้ยาติดตัว และแจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบทุกครั้งก่อนรับยาหรือการรักษาใดๆ
แหล่งอ้างอิง:
Gershman, J. (2025, May 27). Pharmacists Can Identify and Manage Drug-Induced Diseases. Pharmacy Times, 91(5).
สุขภาพ
ข่าวรอบโลก
การแพทย์
5 บันทึก
21
6
5
21
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย