29 พ.ค. เวลา 08:55 • ดนตรี เพลง

Hiroshima (1979): บทเพลงอันกล้าหาญแห่งการหลอมรวมวัฒนธรรม "เอเชีย-อเมริกัน"

อัลบั้มเปิดตัวของวง Hiroshima ในปี 1979 เป็นผลงานที่ไม่เพียงแต่โดดเด่นในแง่ดนตรี แต่ยังเป็นหมุดหมายสำคัญทางวัฒนธรรมของคนอเมริกันเชื้อสายเอเชียที่สะท้อนการต่อสู้เพื่อการยอมรับ ความภาคภูมิใจในรากเหง้า และการสร้างพื้นที่เสียงของตนเองในแวดวงดนตรีที่ยังคงถูกครอบงำโดยมาตรฐานของคนผิวขาวในสมัยนั้น
นี่คืออัลบั้มที่ถูกสร้างขึ้นจากจิตวิญญาณแห่งการต่อต้าน การต่อสู้ และการเยียวยา มันไม่ได้เป็นเพียงแค่ดนตรี หากแต่เป็นคำประกาศถึงการดำรงอยู่ของชนกลุ่มน้อยในอเมริกา ซึ่งถูกกลบเสียงมานานเกินไปตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
ชื่อวง "Hiroshima" นั้นไม่ใช่เพียงการอ้างอิงทางภูมิศาสตร์ แต่คือการยืนยันถึงประวัติศาสตร์ที่โลกไม่อาจลืม การทำลายล้างจากระเบิดปรมาณูลูกแรกในปี 1945 คร่าชีวิตผู้คนกว่าแสนราย ทว่าที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือความกล้าหาญของวงดนตรีนี้ในการนำชื่อที่สะเทือนอารมณ์นี้มาใช้ เพื่อท้าทายสังคมอเมริกันที่เคยเป็นผู้ก่อเหตุและปฏิเสธความทรงจำนี้มาช้านาน
ดนตรีในอัลบั้มนี้คือส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง Jazz Fusion, R&B, Salsa, Easy Listening และเครื่องดนตรีญี่ปุ่นดั้งเดิม เช่น พิณโคโตะ (Koto), ขลุ่ยไม้ไผ่ชาคุฮาจิ (Shakuhachi), และกลองไทโกะ (
Taiko) อย่างแนบเนียนจนยากจะแยกแยะว่าจุดเชื่อมต่อระหว่างโลกตะวันออกและตะวันตกเกิดขึ้นที่ใด เป็นการผสานเสียงที่ทั้งร้อนแรง อ่อนโยน และลุ่มลึกไว้ในคราวเดียวกัน
เพลงเปิดอัลบั้ม อย่าง “Lion Dance” เปรียบเสมือนการเปิดม่านงานเทศกาล เสียงกลองไทโกะดังกระหึ่ม ผสานกับเสียงโคโตะและจังหวะฟิวชั่นที่ลื่นไหลจนผู้ฟังไม่อาจนั่งนิ่ง ๆ ได้ มันคือคำประกาศจากวงว่า “เราอยู่ที่นี่ และเราจะไม่เงียบต่อไปแล้ว”
ก่อนที่ “Roomful of Mirrors” จะพาผู้ฟังเข้าสู่โลกของความใคร่ครวญและการมองตนเองผ่านเสียงร้องหญิงที่อ่อนหวานปนเศร้า โครงสร้างเพลงนี้ทำให้นึกถึงเพลงโซลแบบ Motown และโลกของเพลงป๊อปญี่ปุ่นในยุคโชวะ (Kayōkyoku) ได้ในเวลาเดียวกัน มันคือการส่องกระจกหลายบานพร้อมกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นทั้งอดีต ปัจจุบัน และความฝันในการค้นหาตนเองผ่านบทเพลง
“Kokoro” ซึ่งแปลว่า “หัวใจ” ในภาษาญี่ปุ่น เป็นบทเพลงที่เปี่ยมด้วยความอ่อนโยนที่สุดในอัลบั้ม และยังเป็นเหมือนหัวใจของอารมณ์ทั้งหมดที่งานดนตรีชุดนี้ต้องการจะถ่ายทอด เพลงเริ่มต้นด้วยทำนองที่เรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความลึกซึ้งของแนว Easy Listening ซึ่งค่อย ๆ เคลื่อนตัวอย่างสงบนิ่ง คล้ายสายลมอ่อนที่พัดพาความรู้สึกไปในบรรยากาศอันเงียบสงบ
ความอ่อนโยนของเสียงเปียโนเบา ๆ ที่ประคองแนวเมโลดี้หลัก สอดรับกับเครื่องสายและเบสที่เล่นอย่างประณีต คล้อยด้วยชาคุฮาจิที่เติมเต็มความรู้สึกหวนระลึกถึงเข้ามา ทำให้ผู้ฟังสามารถปล่อยวางและซึมซับความรู้สึกละเอียดอ่อนที่แทรกอยู่ในทุกโน้ตของบทเพลง
ความโดดเด่นของ “Kokoro” ปรากฏชัดเจนที่สุดเมื่อเสียงโคโตะของ June Kuramoto ค่อย ๆ แทรกเข้ามาอย่างแนบเนียน ราวกับสายน้ำที่ไหลเอื่อยผ่านแม่น้ำในฤดูใบไม้ผลิ เสียงโคโตะไม่เพียงแต่เติมกลิ่นอายของดนตรีพื้นบ้านญี่ปุ่นลงไปเท่านั้น แต่ยังสร้างมิติใหม่ให้กับความเรียบง่ายของแนว Smooth Jazz โดยไม่ได้ทำลายสมดุลของเพลง หากแต่ยกระดับความลุ่มลึกทางอารมณ์ให้สูงขึ้น ความพริ้วไหวของสายโคโตะนั้นดูเหมือนจะไม่ใช่เพียงการเล่นโน้ตตามจังหวะ หากแต่เป็นการถ่ายทอดความรู้สึกออกมาจากใจ โดยไม่มีคำพูดใด ๆ มาขวางกั้น
“Long Time Love” ถ่ายทอดอารมณ์โหยหาและความเปลี่ยวเหงาผ่านเสียงร้องชายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก ท่อนที่ร้องว่า “I sleep with the light on, 'cause it's just my lonely way” เปรียบเสมือนคำสารภาพอันเปลือยเปล่าของคน ๆ หนึ่งที่พยายามประคองตัวเองท่ามกลางความโดดเดี่ยวในชีวิตประจำวัน เสียงร้องที่เต็มไปด้วยความจริงใจ ทำให้ความเศร้าในเพลงนี้เข้าถึงใจผู้ฟังได้อย่างลึกซึ้งและเป็นธรรมชาติ
ด้วยการเรียบเรียงดนตรีที่อ่อนโยน ไม่ว่าจะเป็นเสียงเปียโน เบส หรือซินธิไซเซอร์ที่คลอเคลียกันอย่างนุ่มนวล สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในภาษาทางอารมณ์ของวง Hiroshima ที่สะท้อนออกมาผ่านบทเพลงนี้ได้อย่างชัดเจน
ถ้า "Kokoro" คือช่วงเวลาพักผ่อนอันอ่อนโยนและนุ่มลึก “Da-Da” ก็คือสนามและพื้นที่แห่งอิสรภาพที่เปิดกว้างให้ June Kuramoto ปลดปล่อยจินตนาการผ่านเสียงโคโตะของเธอได้อย่างไร้ข้อจำกัด
ท่ามกลางเสียงซินธิไซเซอร์ที่ลื่นไหลและกีตาร์บลูส์อันลุ่มลึก เสียงโคโตะของเธอไม่ได้เป็นแค่ส่วนประกอบ แต่เป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนโครงสร้างทั้งหมดของเพลง ความพลิ้วไหวของสายโคโตะไม่เพียงนำความเป็นญี่ปุ่นดั้งเดิมมาสู่บริบทของดนตรีร่วมสมัย แต่ยังเป็นการประกาศอย่างมั่นใจว่าเสียงดนตรีพื้นบ้านสามารถอยู่ร่วมกับโลกยุคใหม่ได้อย่างสง่างามและเท่าเทียม
ขณะเดียวกัน เสียงร้องของ Teri Kusumoto ก็เติมเต็มเพลงนี้ด้วยสัมผัสแห่งความอ่อนโยนที่มีชั้นเชิง เธอร้องด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ละมุนละไม แต่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่ง Soul และ Jazz ที่คลี่คลายอารมณ์ออกมาอย่างแยบยล เสียงของเธอไม่ได้ตะโกนหรือเร่งเร้า แต่แทรกซึมเข้าไปในใจผู้ฟังอย่างเงียบงัน และงดงามเป็นพิเศษ เมื่อเคลื่อนไปพร้อมกับโคโตะของ June ราวกับบทสนทนาอันนุ่มนวลระหว่างหญิงสาวทั้งสองกับสายลม
“Da-Da” จึงไม่ใช่แค่การทดลองทางดนตรี แต่เป็นการรวมพลังของเสียงที่ต่างกัน — เก่ากับใหม่ อดีตกับปัจจุบัน เพื่อสร้างโลกแห่งเสียงดนตรีใหม่ที่ทั้งกล้าหาญ ลึกซึ้ง และล้ำยุค
เพลงที่เหลืออย่าง “Never, Ever” และ “Holidays” ซึ่งเป็นเพลงร้องแนว Easy Listening และ R&B ก็ช่วยสร้างบรรยากาศโดยรวมของอัลบั้มนี้ให้อบอุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะ “Holidays” ที่มีจังหวะ Salsa เบา ๆ คล้อยด้วยเสียง Steel Drum ที่แทรกเข้ามาอย่างเหนือความคาดหมาย ก็ช่วยสะท้อนถึงจิตวิญญาณแห่งเสรีของวงนี้ได้เป็นอย่างดี
อัลบั้มปิดฉากอย่างสง่างามด้วย “Taiko Song” บทเพลงที่พาผู้ฟังย้อนกลับสู่รากเหง้าทางวัฒนธรรมผ่านเสียงกลองไทโกะที่หนักแน่นและทรงพลัง ราวกับเสียงหัวใจของแผ่นดินที่เต้นด้วยความภาคภูมิ เพลงนี้ไม่เพียงสะท้อนความเป็นญี่ปุ่นอย่างชัดเจน หากยังทำหน้าที่เป็นเหมือน “อัตลักษณ์และจิตวิญญาณ” ของวงอีกด้วย
แม้จะขับเคลื่อนด้วยพลังดิบของกลองไทโกะ แต่เพลงนี้ก็ยังผสมผสานองค์ประกอบร่วมสมัยอย่างซินธิไซเซอร์และเบสได้อย่างลงตัว ถือเป็นบทสรุปที่แข็งแรงและกลมกล่อมระหว่างอดีตกับอนาคต เสียงกลองสุดท้ายจึงไม่ใช่แค่การจบบทเพลง แต่เป็นการปลุกเร้าบางสิ่งในใจ เตือนให้นึกถึงรากเหง้า และเปิดรับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกัน
สิ่งที่น่าทึ่งคือ ความสำเร็จของอัลบั้มนี้ไม่ได้มาจากการผลักดันของค่ายเพลง Arista หากแต่เกิดจากการสนับสนุนของชุมชนกลุ่มผู้ฟังผิวดำที่เปิดรับดนตรีของ Hiroshima อย่างกว้างขวาง
Dan Kuramoto ผู้ก่อตั้งวงเคยกล่าวไว้ว่า “Black radio did NOT discriminate against us” (วิทยุคนผิวสีไม่ได้เลือกปฏิบัติต่อเรา) นี่ไม่ใช่เพียงคำชมเชย แต่มันยังสะท้อนให้เห็นถึงพันธมิตรทางประวัติศาสตร์ระหว่างชุมชนผิวดำกับชุมชนเอเชียในอเมริกา ในช่วงเวลาที่ทั้งสองกลุ่มต่อสู้เพื่อให้ได้การยอมรับจากคนในสังคมเดียวกัน
เสียงของ Hiroshima คือเสียงของการต่อต้านการมองข้าม การเหยียดเชื้อชาติ และการจำกัดความฝัน พวกเขาเกิดมาจากกระแสการประท้วงของนักศึกษาใน University of California, Berkeley และ San Francisco State ที่ก่อตั้งหลักสูตร Asian American Studies และอัลบั้มนี้คือผลลัพธ์ของขบวนการเหล่านั้นในรูปแบบของเสียงดนตรี
การบันทึกและมิกซ์เสียง ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของอัลบั้มนี้ เสียงเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นชัดเจนและมีมิติในแบบที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนฟังอยู่ในห้องเดียวกัน มันมีคุณภาพเสียงเทียบเคียงได้กับความพิถีพิถันในอัลบั้ม “Aja” ของ Steely Dan หรืออัลบั้มเปิดตัวของ Casiopea อย่างไม่ต้องสงสัย
ตลอดทั้งอัลบั้ม Hiroshima ไม่ได้พยายาม “อธิบาย” ตัวเองให้กับโลกตะวันตก หากแต่พูดในภาษาของตนเอง และปล่อยให้ดนตรีเป็นผู้แปลความรู้สึกเหล่านั้น ด้วยความกล้าหาญและซื่อสัตย์ พวกเขาไม่ “จำลอง” ความเป็นญี่ปุ่น หรือ “เลียนแบบ” ความเป็นอเมริกัน แต่เลือกที่จะสร้างเสียงของตนเองขึ้นมาใหม่
สมาชิกวงปัจจุบัน โดยมี June (ผู้หญิง) กับ Dan Kuramoto (ขวาสุด) เป็นแกนหลักในฐานะผู้ก่อตั้งวงมาตลอด ตั้งแต่ปี 1974
จุดแข็งอีกประการหนึ่งของอัลบั้มนี้คือความสมดุลระหว่างจังหวะที่เร้าใจและท่วงทำนองที่อ่อนโยน มันไม่เคยเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งอย่างสุดขั้ว แต่เลือกเดินอยู่บนเส้นแบ่งของความเข้มข้นและความละเอียดอ่อนได้อย่างสง่างาม
เพลงอย่าง “Da-Da” หรือ “Kokoro” ไม่ใช่เพียงการทดลองดนตรี แต่เป็นการแสดงออกถึงความสามารถของเครื่องดนตรีเอเชียที่สามารถอยู่ร่วมกับเสียงสมัยใหม่ได้อย่างไม่ขัดเขิน ในแง่นี้ Hiroshima คือผู้บุกเบิกที่กล้าหาญและชาญฉลาด
อัลบั้มนี้จึงไม่ใช่เพียงความสำเร็จของศิลปินกลุ่มหนึ่ง แต่มันคือชัยชนะของการมีตัวตนในโลกที่พยายามลบเลือนตัวตนเหล่านั้น มันคือตัวอย่างของการ “ฟัง” อย่างแท้จริง — ไม่ใช่เพียงเสียงดนตรี แต่รวมถึงเสียงของประวัติศาสตร์ เสียงของชุมชน และเสียงของหัวใจตัวเอง
เมื่อมองย้อนไปในปี 1979 — ช่วงเวลาที่โลกยังไม่เปิดรับความหลากหลายเช่นปัจจุบัน การที่วง Hiroshima สามารถขายแผ่นเสียงได้กว่า 100,000 แผ่นภายในสามเดือนแรก โดยไม่มีการผลักดันจากค่ายใหญ่ นับเป็นสิ่งที่อัศจรรย์ในตัวเอง และสะท้อนความรักของผู้ฟังที่มองข้ามสีผิวและเชื้อชาติไปอย่างแท้จริง
การฟังอัลบั้มนี้จึงไม่ใช่แค่การฟังเพลง แต่คือการรับรู้ถึงความเจ็บปวด ความหวัง ความรัก และความกล้าหาญของกลุ่มคนที่ถูกมองข้าม พวกเขาใช้เสียงเพื่อบอกว่า “เราอยู่ที่นี่ และเราจะไม่เงียบต่อไปแล้ว”
แม้เวลาจะผ่านมากว่า 40 ปี แต่เสียงของ Hiroshima ในอัลบั้มแรกยังคงสดใหม่ และแฝงพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงในทุกท่วงทำนอง มันคือเครื่องเตือนใจว่า ศิลปะสามารถเยียวยา สร้างสรรค์ และเป็นกระบอกเสียงของการต่อต้านได้อย่างทรงพลังเพียงใด
ในที่สุด การที่อัลบั้มนี้ยังคงได้รับความสนใจจนถึงทุกวันนี้ เป็นการยืนยันว่า พลังแห่งความจริง ความซื่อสัตย์ในเสียง และความกล้าหาญในการเป็นตัวเอง ยังคงเป็นสิ่งที่โลกต้องการเสมอ และ Hiroshima ได้สลักเสียงนั้นไว้ในแผ่นเสียง แผ่นนี้ตลอดกาลแล้ว
Cr. HiroshimaMusic / Allmusic / Discogs / RateYourMusic
---
โฆษณา