3 มิ.ย. เวลา 13:30 • สุขภาพ

ระวัง "ปรสิตในแมว" อาจกำลังบั่นทอนความเป็นชายของคุณอย่างเงียบๆ

บทความนี้ผมอยากชวนคุยเรื่องใกล้ตัวที่หลายคนอาจมองข้าม แต่กลับส่งผลกระทบต่อ "ความเป็นชาย" ของคุณผู้ชายหลายๆ ท่านได้อย่างไม่น่าเชื่อ นั่นก็คือเรื่องของปรสิตตัวจิ๋วที่ชื่อว่า "ท็อกโซพลาสมา กอนดิไอ" (Toxoplasma gondii) หลายคนอาจจะคุ้นๆชื่อนี้ในฐานะปรสิตที่มาจากน้องแมว แต่เชื่อไหมครับว่างานวิจัยใหม่ๆ ชี้ว่ามันอาจเป็นหนึ่งในตัวการสำคัญที่ทำให้ภาวะมีบุตรยากในผู้ชายเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
1
ถ้าอยากรู้ว่าเจ้าปรสิตตัวนี้มันร้ายกาจยังไง และเราจะป้องกันตัวเองได้อย่างไร ตามผมมาเลยครับ รับรองว่าข้อมูลแน่นปึ้ก แต่ย่อยง่ายแน่นอน
สถานการณ์น่าเป็นห่วง ภาวะเจริญพันธุ์ของผู้ชายทั่วโลกกำลังถดถอย
ก่อนจะไปเจาะลึกเรื่องเจ้าปรสิตตัวร้าย ผมอยากให้ทุกท่านเห็นภาพรวมกันก่อนครับว่า ปัจจุบันนี้ภาวะเจริญพันธุ์ของผู้ชายทั่วโลกกำลังลดลงอย่างต่อเนื่องมานานกว่าครึ่งศตวรรษแล้วนะครับ มีการวิเคราะห์ตั้งแต่ปี 1992 ที่พบว่าจำนวนและคุณภาพของสเปิร์มลดลงเรื่อยๆ มาตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1940 และงานวิจัยล่าสุดก็ยิ่งตอกย้ำว่าอัตราภาวะมีบุตรยากในผู้ชายเพิ่มขึ้นเกือบ 80% ในช่วงปี 1990 ถึง 2019 เลยทีเดียว
สาเหตุหลักๆ ที่เรามักจะได้ยินกันก็มีทั้งเรื่องโรคอ้วน อาหารการกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และสารพิษจากสิ่งแวดล้อม แต่ดูเหมือนว่าจะมีอีกปัจจัยหนึ่งที่เรามักจะมองข้ามไป นั่นก็คือ "โรคติดเชื้อ" ต่างๆ ครับ
เจ้าท็อกโซพลาสมา กอนดิไอ (Toxoplasma gondii) นี่แหละครับ คือปรสิตเซลล์เดียวที่กำลังเป็นที่จับตามองว่าอาจเป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญของปัญหาภาวะเจริญพันธุ์ของผู้ชาย โดยมีงานวิจัยสดๆ ร้อนๆ เมื่อเดือนเมษายน ปี 2025 ที่ผ่านมานี้เอง ที่ค้นพบเป็นครั้งแรกว่า "สเปิร์มของมนุษย์สามารถสูญเสียส่วนหัวไปได้เมื่อสัมผัสโดยตรงกับปรสิตชนิดนี้" ตายละๆสเปิร์มหัวขาด 😲
1
แล้วเราจะติดเจ้าปรสิตนี้ได้อย่างไร?
แหล่งแพร่เชื้อหลักๆ ของท็อกโซพลาสมาก็คือ แมวที่ติดเชื้อครับ โดยไข่ของปรสิตจะปนออกมากับมูลของแมวในกระบะทราย ในสวน หรือตามสิ่งแวดล้อมต่างๆ ซึ่งมนุษย์หรือสัตว์อื่นอาจไปสัมผัสได้ นอกจากนี้ น้ำดื่ม อาหารทะเลดิบ ผักผลไม้ที่ล้างไม่สะอาด ก็อาจมีไข่ปรสิตปนเปื้อนได้เช่นกัน ยังไม่หมดนะครับ เนื้อสัตว์จากสัตว์เลือดอุ่นที่เราบริโภค หากปรุงไม่สุกดีพอ ก็อาจมีซีสต์ (ถุงตัวอ่อน) ของปรสิตแฝงอยู่ ทำให้เราติดเชื้อได้เช่นกัน
ที่น่ากังวลคือ คนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อท็อกโซพลาสมามักจะไม่แสดงอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่ปรสิตจะยังคงอยู่ในร่างกายไปตลอดชีวิตในรูปของซีสต์ที่หลบซ่อนอยู่ตามสมอง หัวใจ และเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ และสามารถกลับมามีฤทธิ์ก่อโรคได้อีกเมื่อร่างกายอ่อนแอ ประมาณกันว่า ประชากรโลกราว 30% ถึง 50% ติดเชื้อปรสิตชนิดนี้อย่างถาวร ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากเลยทีเดียวครับ
สถานการณ์ในประเทศไทย จากข้อมูลที่มีการศึกษาพบว่าอัตราการติดเชื้อท็อกโซพลาสมาในประชากรไทยก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกันครับ อย่างเช่น การศึกษาในกลุ่มสตรีตั้งครรภ์ในบางพื้นที่ หรือการตรวจในกลุ่มผู้บริจาคโลหิต ก็พบอัตราการติดเชื้อที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคและกลุ่มประชากร แต่โดยรวมแล้วถือว่าคนไทยก็มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อนี้ได้เช่นกันครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมการบริโภคอาหารสุกๆ ดิบๆ หรือการสัมผัสกับแมวจรจัด อาจเพิ่มความเสี่ยงได้ครับ
เมื่อติดเชื้อแล้ว เจ้าท็อกโซพลาสมาสามารถแพร่กระจายไปยังแทบทุกอวัยวะและกล้ามเนื้อในร่างกาย รวมถึงอวัยวะสืบพันธุ์ของผู้ชายด้วยครับ หลักฐานแรกๆ ที่ชี้ว่ามันสามารถโจมตีระบบสืบพันธุ์ผู้ชายได้นั้น ปรากฏขึ้นในช่วงการระบาดใหญ่ของโรคเอดส์ในทศวรรษที่ 1980 เมื่อผู้ป่วยบางรายมีอาการติดเชื้อปรสิตนี้ที่อัณฑะ แม้ว่าผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจะมีความเสี่ยงสูงสุด แต่คนที่มีสุขภาพแข็งแรงก็สามารถเกิดภาวะนี้ได้เช่นกัน
การศึกษาในหนูทดลองยืนยันว่าปรสิตท็อกโซพลาสมาสามารถเดินทางไปยังอัณฑะ สมอง และตา ได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วันหลังการติดเชื้อ ทีมนักวิจัยรวมถึงตัวผู้เขียนบทความ (Bill Sullivan) เอง ก็เคยพบในปี 2017 ว่าท็อกโซพลาสมาสามารถสร้างซีสต์ในต่อมลูกหมากของหนูได้ นอกจากนี้ ยังมีรายงานการตรวจพบปรสิตนี้ในน้ำอสุจิของสัตว์หลายชนิด รวมถึงในน้ำอสุจิของมนุษย์ด้วย ซึ่งเพิ่มความเป็นไปได้ในการติดต่อทางเพศสัมพันธ์
เมื่อทราบว่าท็อกโซพลาสมาสามารถอาศัยอยู่ในอวัยวะสืบพันธุ์ผู้ชายได้ จึงมีการศึกษาเกี่ยวกับภาวะเจริญพันธุ์ในผู้ชายที่ติดเชื้อตามมา เช่น
- การศึกษาขนาดเล็กในปี 2021 ที่กรุงปราก พบว่าในกลุ่มผู้ชาย 163 คนที่ติดเชื้อท็อกโซพลาสมา กว่า 86% มีความผิดปกติของน้ำอสุจิ
- การศึกษาในปี 2002 ในประเทศจีน พบว่าคู่สมรสที่มีบุตรยากมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อท็อกโซพลาสมาสูงกว่าคู่สมรสที่เจริญพันธุ์ดี (34.83% เทียบกับ 12.11%)
- การศึกษาในปี 2005 ในจีนอีกเช่นกัน พบว่าผู้ชายที่เป็นหมันมีแนวโน้มที่จะมีผลตรวจท็อกโซพลาสมาเป็นบวกมากกว่าผู้ชายที่เจริญพันธุ์ปกติ
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกการศึกษาจะพบความเชื่อมโยงระหว่างการติดเชื้อท็อกโซพลาสมากับคุณภาพของสเปิร์มนะครับ
กลไกการทำลายสเปิร์ม "ตัดหัว" และ "สร้างการอักเสบ"
การศึกษาในสัตว์ทดลอง เช่น หนูขาว หนูถีบจักร และแกะตัวผู้ ที่ติดเชื้อท็อกโซพลาสมา พบว่าการทำงานของอัณฑะและการผลิตสเปิร์มลดลงอย่างชัดเจน หนูที่ติดเชื้อจะมีจำนวนสเปิร์มต่ำกว่าปกติอย่างมีนัยสำคัญ และมีสเปิร์มที่มีรูปร่างผิดปกติในสัดส่วนที่สูงกว่า
ไฮไลท์สำคัญมาจากงานวิจัยเดือนเมษายน 2025 ที่นักวิจัยจากเยอรมนี อุรุกวัย และชิลี สังเกตพบว่าท็อกโซพลาสมาสามารถไปถึงอัณฑะและท่อพักอสุจิ (epididymis) ซึ่งเป็นที่ที่สเปิร์มเจริญเต็มที่และถูกเก็บไว้ ภายในเวลาเพียง สองวันหลังการติดเชื้อในหนู
การค้นพบนี้ทำให้ทีมวิจัยทดลองต่อว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อปรสิตสัมผัสโดยตรงกับสเปิร์มของมนุษย์ในหลอดทดลอง ผลปรากฏว่า
เพียง 5 นาที ที่สเปิร์มสัมผัสกับปรสิต พบว่า 22.4% ของเซลล์สเปิร์มถูก "ตัดหัว" (beheaded) จำนวนสเปิร์มที่ถูกตัดหัวจะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาที่สัมผัสกับปรสิต
เซลล์สเปิร์มที่ยังคงมีส่วนหัวอยู่ ก็มักจะมีลักษณะ บิดเบี้ยวผิดรูป (twisted and misshapen) สเปิร์มบางตัวมีรูที่ส่วนหัว ซึ่งบ่งชี้ว่าปรสิตพยายามจะบุกรุกเข้าไปในเซลล์สเปิร์ม เหมือนกับที่มันทำกับเซลล์อื่นๆ ในร่างกาย
นอกจากการทำลายโดยตรงแล้ว ท็อกโซพลาสมายังอาจสร้างความเสียหายให้กับสเปิร์มทางอ้อมได้ด้วยการกระตุ้นให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง (chronic inflammation) ในระบบสืบพันธุ์ผู้ชาย ซึ่งภาวะอักเสบนี้เป็นอันตรายต่อการผลิตและการทำงานของสเปิร์ม
นักวิจัยสันนิษฐานว่าผลกระทบที่เป็นอันตรายของท็อกโซพลาสมาต่อสเปิร์ม อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ภาวะเจริญพันธุ์ของผู้ชายทั่วโลกลดลงอย่างมากในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
ข้อควรพิจารณา ยังไม่ใช่ข้อสรุปสุดท้าย
แม้ว่าหลักฐานที่ว่าท็อกโซพลาสมาสามารถแทรกซึมเข้าไปในอวัยวะสืบพันธุ์ชายในสัตว์จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจ แต่ผลกระทบต่อสุขภาพในมนุษย์นั้นยังไม่ชัดเจนนักครับ การติดเชื้อท็อกโซพลาสมาที่อัณฑะและแสดงอาการนั้นพบได้น้อยมาก และการศึกษาที่แสดงความบกพร่องของสเปิร์มในผู้ชายที่ติดเชื้อก็ยังมีขนาดเล็กเกินไปที่จะสรุปผลได้อย่างชัดเจนในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าอัตราการติดเชื้อท็อกโซพลาสมาในประเทศที่มีรายได้สูงไม่ได้เพิ่มขึ้นในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ในขณะที่ภาวะมีบุตรยากในผู้ชายกลับเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าปรสิตนี้เป็นเพียง ส่วนหนึ่งของปริศนาทั้งหมด เท่านั้น
ไม่ว่าปรสิตนี้จะมีผลต่อภาวะเจริญพันธุ์มากน้อยเพียงใด การป้องกันการติดเชื้อท็อกโซพลาสมาก็ยังเป็นสิ่งสำคัญครับ เพราะการติดเชื้อครั้งแรกในระหว่างตั้งครรภ์อาจทำให้เกิดการแท้งบุตรหรือความพิการแต่กำเนิดของทารกได้ และยังเป็นอันตรายถึงชีวิตสำหรับผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอีกด้วย ที่น่าสนใจคือ ในสหรัฐอเมริกา ท็อกโซพลาสมาถือเป็น สาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ จากโรคที่เกิดจากอาหารเป็นพิษ
เราสามารถลดความเสี่ยงในการสัมผัสกับท็อกโซพลาสมาได้โดย
1. ดูแลสุขอนามัยของแมว ทำความสะอาดกระบะทรายของแมวเป็นประจำ (ควรให้คนที่ไม่ใช่หญิงตั้งครรภ์หรือผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องเป็นผู้ทำ) และล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังทำความสะอาด
2. ล้างมือให้สะอาด หลังสัมผัสแมว ดิน หรือเนื้อดิบ
3. สุขอนามัยอาหาร ล้างผักและผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทาน ปรุงเนื้อสัตว์ให้สุกทั่วถึงตามอุณหภูมิที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารทะเลดิบหรือปรุงไม่สุก (เช่น หอย)
บทสรุปส่งท้าย ตระหนักแต่ไม่ตระหนก
มาถึงตรงนี้ ผมหวังว่าทุกท่านจะพอเห็นภาพแล้วนะครับว่าเจ้าปรสิตตัวเล็กๆ อย่างท็อกโซพลาสมา กอนดิไอ อาจไม่ได้เป็นแค่เรื่องของคนรักแมวเท่านั้น แต่มันอาจมีผลกระทบที่ลึกซึ้งกว่านั้นต่อสุขภาพการเจริญพันธุ์ของผู้ชาย แม้ว่างานวิจัยยังต้องดำเนินต่อไปเพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจนถึงบทบาทของมันต่อภาวะมีบุตรยากในภาพรวม แต่ข้อมูลที่มีในปัจจุบันก็เพียงพอที่จะทำให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันการติดเชื้อนี้ครับ
สำหรับคุณผู้ชายที่กำลังประสบปัญหาภาวะมีบุตรยาก หรือมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจหาสาเหตุและรับคำแนะนำที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดครับ และสำหรับทุกๆ คน การดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคลและสุขอนามัยในการประกอบอาหารก็เป็นเกราะป้องกันพื้นฐานที่สำคัญที่จะช่วยให้เราห่างไกลจากภัยเงียบต่างๆ รวมถึงเจ้าปรสิตท็อกโซพลาสมาตัวนี้ด้วยครับ
ท่านผู้อ่านล่ะครับ คิดว่าพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของเรามีจุดไหนบ้างที่อาจเสี่ยงต่อการรับเชื้อปรสิตโดยไม่รู้ตัว? ลองสำรวจตัวเองกันดูนะครับ เพราะการป้องกันที่ดีที่สุดเริ่มต้นที่ความรู้และความใส่ใจของเราเองครับ
แหล่งอ้างอิง:
Sullivan, B. (2025, May 28). A common parasite can decapitate human sperm, with implications for male fertility. Medical Xpress. Retrieved May 29, 2025
โฆษณา