29 พ.ค. เวลา 15:04 • ดนตรี เพลง

"Live at the Quick" การแสดงสดอันล้ำลึกผ่านจักรวาลดนตรีไร้พรมแดนของ Béla Fleck

"Live at the Quick" คือหนึ่งในบันทึกการแสดงสดที่เปรียบเสมือนแคปซูลเวลาแห่งความอัศจรรย์ทางดนตรี ซึ่งไม่เพียงรวบรวมช่วงเวลาที่หายากของวงดนตรีที่กล้าทลายกรอบแนวดนตรีแบบดั้งเดิม แต่ยังเสนอให้ผู้ฟังได้สัมผัสกับความสดใหม่ของการบรรเลงที่ไม่ซ้ำใครในแต่ละรอบ ผ่านมือของนักดนตรีที่ไม่ใช่แค่ชำนาญ แต่คืออัจฉริยะในสายงานของตัวเอง
อัลบั้มนี้ถูกบันทึกไว้ ณ Quick Center for the Arts เมืองแฟร์ฟิลด์ (Fairfield) รัฐคอนเนตทิคัต สหรัฐอเมริกา ในปี 2000 โดยเป็นทั้งอัลบั้มและ DVD ที่กลายเป็นเครื่องยืนยันถึงพลังแห่งการแสดงสดของวง Flecktones ในแบบที่คำว่า "การแสดงสด" แทบจะไม่เพียงพอสำหรับคำอธิบายนี้
Béla Fleck and the Flecktones ไม่ได้เป็นเพียงวงดนตรีธรรมดาทั่วไป แต่คือการรวมตัวกันของนักดนตรีผู้มองโลกดนตรีเป็นดั่งสนามทดลอง ทั้ง Béla Fleck ผู้เปลี่ยนแปลงภาพจำของแบนโจ (Banjo) จากเครื่องดนตรีโฟล์คให้กลายเป็นเครื่องมือแห่งจินตนาการ, Victor Wooten มือเบสระดับเทพผู้สามารถสร้างท่วงทำนองที่ลึกล้ำทั้งทางเทคนิคและอารมณ์, Futureman ที่เล่น Synth-Axe "Drumitar" อันเป็นนวัตกรรมของตนเอง ซึ่งมอบเสียงกลองที่ไร้ขอบเขตผ่านปลายนิ้วของเขา
และสุดท้าย Jeff Coffin นักเป่าแซกโซโฟนและฟลูตผู้เติมสีสันทางเสียงให้กับ Flecktones ด้วยทักษะที่ลื่นไหลระหว่างแจ๊ส ละติน ฟิวชัน และเวิลด์มิวสิก เสียงเป่าของเขาทำหน้าที่เสมือนเป็นทั้งผู้เล่าเรื่องและผู้ท้าทาย เสริมสร้างมิติทางดนตรีให้กลมกลืนระหว่างจิตวิญญาณแห่งการด้นสดและโครงสร้างที่ซับซ้อนของวงอย่างกลมกล่อม
อัลบั้มนี้ไม่ได้เป็นเพียงการบันทึกเสียงเท่านั้น แต่มันคือการแปรรูปประสบการณ์สดให้กลายเป็นรูปธรรมของเสียงที่เราสัมผัสได้ การเริ่มต้นของอัลบั้มก็เหมือนการเข้าสู่ประตูแห่งห้วงเวลา เสียงแต่ละชั้นที่ถูกซ้อนเรียงไว้อย่างบรรจงไม่ใช่แค่เพื่อความสวยงาม แต่คือการออกแบบทางดนตรีที่ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด
ส่วนผสมทางเสียงอันแปลกใหม่ของอัลบั้มนี้ มีทั้งแจ๊ส ฟังก์ บลูส์ ดนตรีคลาสสิก โฟล์ค และแม้กระทั่งอิทธิพลจากดนตรีตะวันออกที่ถูกถ่ายทอดผ่านแขกรับเชิญ อย่าง Sandip Burman ผู้เล่นกลองทับบลาของอินเดีย (Tabla) และ Kongar-ol Ondar นักร้อง Throat Singer (การร้องเพลงด้วยลำคอของชนเผ่ามองโกล) จากสาธารณรัฐตูวา ประเทศรัสเซีย
Béla Fleck มือแบนโจและผู้นำวง the Flecktones
ความหลากหลายทางแนวดนตรีของ "Live at the Quick" เปรียบได้กับแผนที่ของจักรวาลดนตรี ที่ไม่จำกัดตนเองไว้ที่ระบบเสียงแบบใดแบบหนึ่ง การเรียบเรียงของแต่ละเพลงเปรียบเสมือนการวาดเส้นกราฟทางดนตรีที่พริ้วไหว ผสมผสานการแต่งเพลงอย่างซับซ้อนกับทักษะการเล่นที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังงาน ไม่มีช่วงใดในอัลบั้มเลย ที่ทำให้รู้สึกว่าเป็นเพียง "การแสดง" เพราะทุกเสียง ทุกโน้ตคือการแสดงออกถึงจิตวิญญาณแห่งดนตรีที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากภายในอย่างแท้จริง
เสียงแบนโจของ Fleck ไม่ได้เพียงบรรเลงเป็นเมโลดี้ แต่กลายเป็นภาษาที่สองของเขา ซึ่งสามารถเล่าความรู้สึกทั้งสุขและเศร้าในเวลาเดียวกันได้ ความละเอียดอ่อนของเสียงที่เขาสร้างนั้นมีมิติของความเป็นมนุษย์อย่างน่าประหลาด แฝงไว้ด้วยทั้งความขบขัน ความจริงจัง และความใฝ่รู้เชิงดนตรีอันลึกซึ้งและแยบยล
Victor Wooten คืออีกหนึ่งแกนหลักของอัลบั้มนี้ที่ไม่มีใครสามารถมองข้ามได้ การบรรเลงเบสของเขาไม่ใช่แค่เทคนิคแต่เป็นบทกวีทางดนตรี การแสดงโซโล่ของเขาในเพลง "Amazing Grace" (เพลง "พระคุณพระเจ้า" ของศาสนาคริสต์) ในเวอร์ชัน Live นั้น นำเสนอด้วยความสง่างามและเรียบง่าย แต่สามารถสะกดคนฟังได้ตั้งแต่โน้ตแรก มันคือการตีความบทเพลงศาสนาให้อยู่ในบริบทของอารมณ์และความศรัทธาที่ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดใด ๆ เลย
Futureman กับ "Drumitar" ของเขาก็เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถจำกัดความได้ เสียงที่เขาสร้างขึ้นเป็นมากกว่ากลองธรรมดา แต่มันคือจังหวะของอารมณ์และการเต้นของหัวใจในระดับจิตใต้สำนึก ความแม่นยำและการด้นสด (Improvise) ที่แทรกอยู่ในทุกชั้นจังหวะ ทำให้เขาไม่ใช่แค่นักดนตรีธรรมดา แต่คือผู้ปลุกชีพจังหวะให้กลายเป็นสิ่งที่มีชีวิตได้อย่างเป็นธรรมชาติ
และในท่ามกลางแรงโน้มถ่วงทางดนตรีอันเข้มข้นนี้ Jeff Coffin ก็ทำหน้าที่ของเขาได้อย่างไร้ที่ติในฐานะนักเป่าแซกโซโฟนและฟลูตผู้เติมความลื่นไหล เสน่ห์ และมิติของเสียงให้กับทุกแทร็ก การบรรเลงของเขาแทรกตัวเข้าและออกจากโครงสร้างของวงดนตรีได้อย่างเป็นธรรมชาติ และเข้าถึงอารมณ์อย่างลึกซึ้ง
สมาชิกหลักของวง (ซ้ายไปขวา): Future Man, Jeff Coffin, Béla Fleck และ Victor Wooten
การมีแขกรับเชิญอย่าง Paul McCandless และ Andy Narell ช่วยเติมสีสันให้กับอัลบั้มด้วยเสียงเครื่องเป่าที่แปลกใหม่และกลองสตีลแพน (Steel Pan Drum) ที่เปล่งประกายราวกับแสงแดด ทำให้ "Live at the Quick" กลายเป็นงานคอนเสิร์ตที่ผู้ชมไม่ใช่แค่รับฟัง แต่ "กลายเป็น" ส่วนหนึ่งของการแสดงดนตรีครั้งนี้อย่างแท้จริง
Paul Hanson กับบาสซูน (Bassoon: ปี่ขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง) ของเขา ช่วยเพิ่มความลึกให้กับเสียงดนตรีโดยรวม ด้วยท่วงทำนองที่ราวกับบรรเลงจากห้วงทะเลลึก Sandip Burman กับทับบลาทำให้เกิดความรู้สึกเชิงภาพของโลกตะวันออก แทรกเข้ามาโดยไม่รู้สึกแปลกแยก ขณะที่ Kongar-ol Ondar สร้างมิติใหม่ให้กับอัลบั้มด้วยเสียงร้องจากลำคอที่แทบไม่มีใครคาดคิดว่าจะเข้ากับแจ๊สได้อย่างไร้ที่ติ
ทุกเพลงในอัลบั้มนี้คือพื้นที่แห่งการทดลองและปลดปล่อยอารมณ์ ความรู้สึกสดใหม่ไม่เคยลดลงแม้แต่วินาทีเดียว ผู้ฟังจะรู้สึกเหมือนอยู่ในหอแสดงดนตรีเดียวกับศิลปิน รับฟังทุกลมหายใจและทุกการสื่อสารที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขากับวง
โดยเฉพาะ เวอร์ชันแสดงสดของ “Big Country” จากอัลบั้ม Left of Cool ที่ถ่ายทอดจิตวิญญาณของบทเพลงออกมาได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยการเรียบเรียงที่เปิดกว้างมากขึ้น และเต็มไปด้วยจังหวะที่มีชีวิตชีวาของการด้นสด เสียงแบนโจของ Fleck พาเราเดินทางผ่านภูมิทัศน์ทางดนตรีที่กว้างไกลและเปิดโล่งราวกับท้องทุ่งอเมริกันในยามเย็น ขณะที่เสียงเบสอันเป็นเอกลักษณ์ของ Victor Wooten ก็โอบล้อมเราด้วยความลุ่มลึกและอบอุ่น
แต่สิ่งที่ทำให้เวอร์ชันนี้เปล่งประกายเป็นพิเศษ คือสมดุลระหว่างความละเมียดละไมและความเร้าใจ เสียงเครื่องเป่าจาก Paul McCandless เพิ่มความนุ่มนวลและกลิ่นอายแจ๊สให้กับเพลง ขณะที่พลังร่วมของทั้งวงก็ยกระดับ “Big Country” ให้กลายเป็นมากกว่าแค่บทเพลงหนึ่ง — แต่คือบทกวีที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรี เป็นการเฉลิมฉลองทั้งทางเทคนิคและอารมณ์ของดนตรีที่ไร้ขอบเขตโดยแท้จริง
ถึงแม้แฟนเพลงเก่าของ Flecktones จะกล่าวว่าเสน่ห์แห่งอารมณ์ขันในการแสดงสดยุคแรก ๆ นั้นหายไป แต่ "Live at the Quick" กลับทดแทนด้วยความลุ่มลึกและความมั่นคงทางโครงสร้างดนตรีที่มากขึ้น มันเป็นงานที่ไม่ได้หวือหวาด้วยการเล่นมุกตลกหรือการล้อเลียน แต่กลับมุ่งมั่นนำเสนอความเป็นศิลปะทางดนตรีอย่างเต็มรูปแบบ
หากอัลบั้มก่อนหน้านี้คือการปลุกเร้าความสนุกอย่างสร้างสรรค์และเป็นกันเอง อัลบั้มนี้ก็คือการจุดไฟแห่งความใคร่รู้ การไตร่ตรอง และการแชร์ประสบการณ์การเดินทาง ผ่านบทสนทนาระหว่างศิลปินกับผู้ฟังที่ไม่ใช่แค่ผ่านหู แต่ผ่านความเข้าใจในแก่นของดนตรีอย่างแท้จริง
แง่มุมที่น่าสังเกตคือวงสามารถผสมผสานเสียงระหว่างความเป็นต้นฉบับกับการทดลองได้อย่างไม่หยุดนิ่ง Fleck ไม่เคยยึดติดกับการสร้างผลงานที่ปลอดภัย หรือ "ตามกระแส" ทุกโน้ตมีความกล้าเสี่ยง มีความหมาย และมีเป้าหมายในตัวของมันเอง แม้แต่ท่อนที่เหมือนจะด้นสดก็มีตรรกะของมันในเชิงศิลป์และดนตรี
คอนเสิร์ตครบรอบ 30 ปี ของวง ที่ The State Theatre New Jersey
"Live at the Quick" จึงไม่ใช่แค่อัลบั้มที่ควรค่าแก่การฟังเพราะฝีมือของนักดนตรีเท่านั้น แต่มันคืออัลบั้มที่ควรฟังเพื่อเข้าใจว่า “การแสดงสด” ที่แท้จริงแล้วคืออะไร — มันคือช่วงเวลาที่ไม่อาจย้อนกลับมาได้ แต่สามารถบันทึกไว้ในความทรงจำผ่านเสียงดนตรีที่ถูกสื่อสารออกมาจากใจจริง ๆ
เสียงปรบมือ เสียงหัวเราะเบา ๆ จากผู้ชม และบรรยากาศของการตอบรับระหว่างเวทีและห้องโถง ล้วนถูกบันทึกและบรรจุไว้อย่างประณีต ความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งของค่ำคืนนั้น เลยถูกส่งต่อมาถึงผู้ฟังทุกรายได้อย่างจริงใจ
อัลบั้มนี้คือบทสรุปของความกล้าหาญในการแสดงสด เป็นภาพสะท้อนของวงดนตรีที่ไม่กลัวที่จะเปลี่ยนแปลงและเดินหน้าต่อไปบนทางของตัวเอง มันเป็นเครื่องเตือนใจว่าดนตรีที่แท้จริงนั้นไม่เคยหยุดนิ่ง
“Live at the Quick” เปรียบเสมือนบทกวีแห่งจิตวิญญาณที่เบ่งบานอย่างเสรี ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนเดนตายของ Flecktones หรือเพิ่งเริ่มต้นการฟัง อัลบั้มนี้จะเปลี่ยนมุมมองที่คุณมีต่อการแสดงสดไปตลอดกาล
ในท้ายที่สุด นี่คืออัลบั้มที่ไม่ได้มีไว้เพื่อฟังเพียงครั้งเดียว แต่คืออัลบั้มที่ควรกลับมาเยี่ยมเยียนในทุกช่วงเวลาแห่งชีวิต เพื่อค้นพบความหมายใหม่ของเสียงที่เคยคุ้นแต่ไม่เคยหยุดเติบโต
Cr. Allmusic / Wikipedia / Amazon
---
A Moment So Close (Live at the Quick)
Throat Singing by Kongar-ol Ondar
---
โฆษณา