31 พ.ค. เวลา 12:00 • ประวัติศาสตร์

ย้อนประวัติ “ม.ฮาร์วาร์ด” จากแรกเริ่มยุคอาณานิคมจนถึงวันที่ทรัมป์เปิดศึกกับการศึกษา

ช่วงนี้ข่าวต่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องของทรัมป์ค่อนข้างเป็นเรื่องที่พบเห็นได้เป็นปกติทั่วไป จากการที่ไปทะเลาะกับคนต่าง ๆ ไม่ว่าจะในหรือต่างประเทศ และที่สำคัญที่สุดที่กำลังมาแรงก็คือการไปทะเลาะกับมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง “ฮาร์วาร์ด” ที่ซึ่งปฏิเสธคำสั่งบางส่วนในจดหมายจากทำเนียบขาวที่ว่าด้วย "เงื่อนไขด้านสิทธิทางปัญญาและสิทธิพลเมือง"
เรื่องมีอยู่ว่าทางคริสตี โนเอม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐ ได้ส่งจดหมายไปเพื่อขอข้อมูลส่วนบุคคลของนักศึกษาต่างชาติ ซึ่งฮาร์วาร์ดได้ปฏิเสธคำขอ และนำมาสู่คำสั่งเพิกถอนสิทธิ์การรับนักศึกษาต่างชาติของฮาร์วาร์ด (ซึ่งศาลฯ ระงับคำสั่งทรัมป์) และคำสั่งตัดงบประมาณเพื่อกดดันให้ฮาร์วาร์ดยอมให้ข้อมูลของนักศึกษาต่างชาติทั้งหมด
ฮาร์วาร์ดได้ชื่อว่าเป็นสถาบันที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ของสหรัฐอเมริกา และดึงดูดนักศึกษาจากทั่วทุกมุมโลกให้แสวงหาเส้นทางมายังฮาร์วาร์ดเพื่อโอกาสใหม่ ๆ ในชีวิต ซึ่งกว่าที่ฮาร์วาร์ดจะก้าวขึ้นมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ใครหลายคนใฝ่ฝันได้นั้น พวกเขาผ่านอะไรมาบ้าง All About History ในสัปดาห์นี้จะพาไปย้อนอดีตของฮาร์วาร์ดกัน
⭐โรงเรียนของพิวริตันยุคอาณานิคม
ฮาร์วาร์ดได้ชื่อว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ก็ต้องแน่นอนว่าต้นกำเนิดของฮาร์วาร์ดก็ต้องเกิดขึ้นมาในยุคสมัยที่ชาวยุโรปเดินทางมาเหยียบแผ่นดินและตั้งอาณานิคมขึ้นมาใหม่ ๆ โดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดนั้นมีประวัติว่าตั้งขึ้นมาในปี 1636 โดยศาลแห่งอาณานิคมอ่าวแมสซาชูเซตส์ (ปัจจุบันคือศาลทั่วไปรัฐแมสซาชูเซตส์) ได้เป็นผู้ให้การอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นมา
ถึงแม้ว่าจะได้รับการโหวตให้จัดตั้งขึ้นมาโดยหน่วยงานกฎหมาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฮาร์วาร์ดถูกจัดตั้งมาเพื่อเป็นโรงเรียนสอนศาสนาของพวกพิวริตัน พิวริตันเป็นกลุ่มผู้นับถือศาสนาคริสต์โปรเตสแตนต์ที่มองว่าหนทางของคริสตจักรแองกลิกันนั้นไม่โปรเตสแตนต์ และได้อพยพย้ายมายังนิวอิงแลนด์ในภายหลัง และจากนิวอิงแลนด์ พิวริตันบางส่วนก็ได้เดินทางมายังแมสซาชูเซตส์ และได้พยายามจัดตั้งโรงเรียนแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อผลิตนักบวชขึ้นมาเผยแพร่ศาสนา
2
ตอนแรกโรงเรียนแห่งนี้ก็ยังไม่ได้มีชื่ออะไร จนกระทั่งในปี 1639 ก็ได้นำเอาชื่อของนักบวชพิวริตันนาม “จอห์น ฮาร์วาร์ด” มาตั้งเป็นชื่อโรงเรียน ซึ่งถึงแม้ว่าจอห์น ฮาร์วาร์ดจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นผู้อำนวยการหรือคุฯครู แต่ก็เป็นผู้ที่ได้บริจาคเงินจำนวนมากให้แก่โรงเรียน ตลอดจนบริจาคหนังสือกว่า 400 เล่มเข้าห้องสมุดเพื่อเป็นประโยชน์แก่การศึกษาในอนาคต
1
⭐ มหาวิทยาลัยที่ (ไม่) เสรี
บรรยากาศในฮาร์วาร์ดในยุคแรกเริ่มค่อนข้างเป็นอะไรที่เกี่ยวกับศาสนาแบบสุดโต่งแบบที่ต่างไปจากฮาร์วาร์ดที่เรารู้จักกันในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง โดยเหล่าศิษย์เก่าจำนวนไม่น้อยเริ่มที่รู้สึกไม่ค่อยดีกับการที่มหาวิทยาลัยถูกครอบเอาไว้ด้วยศาสนาที่เป็นอนุรักษ์นิยม แน่นอนว่าฮาร์วาร์ดก็เหมือนกับทุกที่ที่มีผู้คนที่มีความเห็นต่างกันอาศัยอยู่ร่วมกัน โดยกลุ่มเสรีนิยมที่เป็นศิษย์เก่าฮาร์วาร์ดเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ และมีส่วนในการสนับสนุนการปฏิวัติอเมริกา
2
แต่กว่าที่ฮาร์วาร์ดจะสามารถหลุดพ้นจากความอนุรักษ์นิยมที่ครอบเอาไว้ก็เข้าสู่ช่วงศตวรรษที่ 19 จากเดิมที่บังคับว่าต้องเรียนภาษาละติน ก็ได้เพิ่มภาษาสเปนหรือฝรั่งเศสเข้ามาในการเรียนการสอน ด้วยเห็นว่าเป็นภาษาที่จะเป็นประโยชน์กับโลกยุคใหม่มากกว่า นอกจากนั้นแล้ว เรื่องวิทยาศาสตร์ (ซึ่งไม่ได้สอดคล้องกับศาสนาไปทั้งหมด) ก็ได้ถูกนำมาสอนในสถาบันที่เคยได้ชื่อว่าเคร่งครัดด้านศาสนาแห่งนี้
2
ไม่เพียงเท่านั้น ฮาร์วาร์ดยังได้ก้าวหน้าเข้าสู่การเป็น “มหาวิทยาลัยของผู้ดี” ด้วย เพราะเกิดค่านิยมว่าถ้าอยากให้ลูกหลานมีหน้าที่การงานและสถานะทางสังคมที่ดีก็จงส่งให้ไปเรียนฮาร์วาร์ดทำให้ฮาร์วาร์ดที่ซึ่งมีสถานะเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนได้รับเงินคำเทอมจากพวกลูกผู้ดีมากมาย จนกลายเป็นมหาวิทยาลัยที่ร่ำรวยที่สุดในช่วงเวลาดังกล่าว โดยว่ากันว่าร่ำรวยกว่ามหาวิทยาลัยเยลถึง 3 เท่า
อย่างไรก็ดี ด้วยความที่ฮาร์วาร์ดได้กลายเป็นมหาวิทยาลัยของชนชั้นนำ แต่ก็ไม่ได้มีความเปิดกว้างมากนัก ก็นำมาซึ่งก็กีดกันชนกลุ่มน้อยอื่น ๆ อยู๋ด้วย ม่ว่าจะเป็นชาวยิว ชนพื้นเมือง หรือลูกครึ่ง ก็ไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควร เป็นความเสรีที่ยังไม่เสรีจริง ๆ ซึ่งกว่าที่ฮาร์วาร์ดจะกลายมาเป็นมหาวิทยาลัยเสรีและเปิดกว้างแก่ทุกคนก็ล่วงเข้าสู่การดูแลของผู้อำนวยการนาม “ชาร์ล เอเลียต” (Charles Eliot)
⭐วิกฤตฮาร์วาร์ด และนักศึกษาคนนอก
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ฮาร์วาร์ดก็ยังคงเป็นมหาวิทยาลัยที่มีพระและศาสนาเป็นผู้อุปถัมป์หลัก และสอนในวิชาที่ในยุคสมัยใหม่มองว่าไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งแน่นอนว่าก็ทำให้ผู้คนมองว่ามันไม่เกิดประโยชน์อะไรที่จะส่งลูกไปเรียนฮาร์วาร์ด และเลือกที่จะส่งลูกไปเรียนในโรงเรียนหรือสถาบันที่สอนอะไรที่เป็นประโยชน์กับการงานมากกว่า
2
ทำให้ฮาร์วาร์ดตกอยู่ในสภาวะวิกฤต ศิษย์เก่าก็ต่างพากันกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในมหาวิทยาลัย ซึ่งนั่นเองก็ได้นำพาให้เอเลียตเข้ามาเปลี่ยนแปลงฮาร์วาร์ดครั้งใหญ่ในช่วงกลางศตวรรษ
1
เอเลียตได้มีโอกาสเดินทางไปยังยุโรปและเห็นถึงระบบการศึกษาของที่นั่น จึงได้เกิดความคิดที่จะนำเอาโครงสร้างมาปรับใช้กับฮาร์วาร์ด ซึ่งตัวของเอเลียตได้รับการเลือกให้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งในขณะที่มีอายุเพียง 35 ปี เป็นผู้บริหารที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของฮาร์วาร์ด และด้วยอายุที่น้อยและวิสัยทัศน์สมัยใหม่ ได้มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
2
ระบบมหาวิทยาลัยที่เอเลียตนำเข้ามาจากยุโรปนี้ได้มีส่วนสำคัญในการขยายสาขาเรียนภายในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดให้ครอบคลุมในหลาย ๆ ด้านมากขึ้น ตลอดจนมีความเป็นวิชาเสรีในระดับปริญญาตรีที่นักศึกษาสามารถเลือกเรียนได้จนกระทั่งค้นพบตัวเองและนำไปสู่ความต้องการที่จะเรียนต่อในสายเฉพาะทางเพื่อพัฒนาทักษะให้เชี่ยวชาญมากยิ่งขึ้น
1
นอกเหนือจากการนำพาให้ฮาร์วาร์ดกลับมาพ้นวิกฤตได้ ในช่วงเวลาที่เอเลียตบริหารฮาร์วาร์ดเองก็ได้ก่อให้เกิดความหลากหลายในฮาร์วาร์ดมากขึ้น โดยได้ชื่อว่ามีความเสรีในการรับนักศึกษาที่เป็นชนกลุ่มน้อย เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นชาวยิว คนดำ และอื่น ๆ อีกหลากหลายเชื้อชาติด้วย
⭐มหาวิทยาลัยแห่งความหลากหลาย และความเสรีที่ยังชวนให้กังขา
ในปัจจุบันนี้ ฮาร์วาร์ดได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ของสหรัฐอเมริกาและของโลก ผลิตบุคคลสำคัญต่าง ๆ ในหลากหลายแวดวงของสหรัฐอเมริกา และของในอีกหลายประเทศทั่วโลกด้วย โดยมีศิษย์เก่าฮาร์วาร์ดทั่วโลกกว่า 400,000 คน เป็นอย่างน้อย
ด้วยความที่ฮาร์วาร์ดเปิดกว้างมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่เอเลียตเป็นผู้บริหาร แน่นอนว่าทำให้ภาพลักษณ์ของการเป็นมหาวิทยาลัยเสรีที่สนับสนุนนักศึกษาอย่างเต็มที่ของฮาร์วาร์ดได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักศึกษาจากทั่วทุกมุมโลกปรารถนาที่จะเดินทางมาศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติแห่งนี้ อย่างไรก็ดีในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีความขัดแย้งกันระหว่างเชื้อชาติ อย่างเช่นในกรณีของอิสราเอลกับปาเลนสไตน์ ก็ได้ทำให้เกิดการชุมนุมประท้วงในมหาวิทยาลัย
แน่นอนว่าฮาร์วาร์ดก็ยังคงปล่อยให้เกิดการประท้วงต่อต้านยิวอย่างเสรีตามสิทธิการแสดงออกทางการเมืองที่นักศึกษาพึงมี แต่ทั้งนี้ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ได้มองว่าการกระทำแบบนี้ของฮาร์วาร์ดเป็นการไม่ปกป้องนักศึกษาชาวยิว ซึ่งก็สร้างคำถามถึงขอบเขตของ “ความเสรี” ในบริบทของฮาร์วาร์ดอยู่เหมือนกัน
1
การกระทำของทรัมป์เพื่อกดดันให้ฮาร์วาร์ดยอมส่งข้อมูลส่วนตัวของนักศึกษาชาวต่างชาติให้ แน่นอนว่าฮาร์วาร์ดยังคงให้ความสำคัญกับเสรี และสิทธิในการแสดงความเห็นต่างทางการเมืองของนักศึกษา ฝ่ายหนึ่งมองถึงนักศึกษาเป็นหลัก ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งมองถึงความมั่นคงเป็นหลัก เรื่องราวความเบาะแว้งของทรัมป์กับฮาร์วาร์ดจะจบลงอย่างไร ก็ยังคงต้องติดตามกันต่อไป…
เรื่อง : ณัฐรุจา งาตา
ภาพประกอบ : บริษัท ก่อการดี จำกัด
════════════════
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
════════════════
#ประวัติศาสตร์ #ทรัมป์ #อเมริกา #ฮาร์วาร์ด #ข่าวต่างประเทศ #การเมือง #การศึกษา #Bnomics #BBL #BangkokBank #ธนาคารกรุงเทพ
อ้างอิง:
Harvard University. The history of Harvard.
Gershon, Livia. How Harvard Became Harvard
ไทยรัฐ. ด่วน! ทรัมป์สั่งห้ามฮาร์วาร์ดรับนศ.ต่างชาติ กดดันให้ย้ายที่เรียน.
_____. ศาลสหรัฐฯสั่งระงับ คำสั่งห้ามม.ฮาร์วาร์ดรับนศ.ต่างชาติของทรัมป์ชั่วคราว
_____. ทรัมป์จี้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เผยชื่อ-ประเทศ นักศึกษาต่างชาติทุกคน
_____. รัฐบาลทรัมป์เตรียมดึงทุนคืนจาก ม.ฮาร์วาร์ดอีก 100 ล้านดอลลาร์
โฆษณา