1 มิ.ย. เวลา 11:34 • ประวัติศาสตร์

ตามหาสาวัตถี EP. 20 - เส้นทาง “พระแก้วมรกต” ฉบับ “มโน” กันใหม่

[ #คำเตือน เนื้อหาในซีรีส์นี้ จำเป็นต้องใช้วิจารณญาณในการอ่านมากเป็นพิเศษ ท่านที่ไม่สามารถวางองค์ความรู้เรื่องดินแดนเกิดของพระพุทธศาสนาอยู่ที่ “อินเดีย” เอาไว้ข้าง ๆ ตัวก่อนอ่านได้ แอดมินอยากให้ข้ามเพจนี้ไปนะครับ เพื่อที่เวลาอันมีค่าของท่านจะได้ไม่ต้องมาสูญเปล่าไปโดยไม่ได้ประโยชน์อันใด]
(#หมายเหตุ เนื้อหาใน Ep นี้ยาวมากกกก… แนะนำให้ปรับเป็น “โหมดมืด” ก่อนอ่านครับ)
...
 
เมื่อเดือนเมษยนที่ผ่านมา “ยูเนสโก” ได้ประกาศให้ต้นฉบับสมุดไทย "นันโทปนันทสูตรคำหลวง" วรรณคดีทางพระพุทธศาสนาที่เชื่อกันว่า เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐสุริยวงศ์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) ทรงพระนิพนธ์ขึ้นเมื่อปีพ.ศ. ๒๒๗๙ (สมัยอยุธยาตอนปลาย)
เป็นเป็นหนึ่งใน “มรดกความทรงจำ” แห่งโลกประจำปีพ.ศ ๒๕๖๘ ร่วมกับเอกสารอื่น ๆ (ทั่วโลก) อีกทั้งหมด ๗๔ รายการ
ในขณะที่เอกสารที่สำคัญอีกฉบับหนึ่งคือ “รัตนพิมพวงษ์” หรือที่รู้จักในชื่อทั่วไปว่า “ตำนานพระแก้วมรกต” กลับถูก “ทอดทิ้ง” ไม่มีใครเหลียวแล ด้วยเหตุที่นักวิชาการบ้านเราตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน “ไม่เชื่อถือ” เพราะอ่านแล้ว “ไม่เข้าใจ” เนื้อหาที่ปรากฏอยู่หนังสือเล่มนี้
ทั้ง ๆ ที่เป็น “มรดกแห่งความทรงจำ” ของชาติบ้านเมืองเช่นเดียวกัน
ใน Ep ที่ผ่านมาแอดมินได้กล่าวไปแล้วว่า “ตำนาน” ต่าง ๆ ในบ้านเราเปรียบเหมือน “จิ๊กซอว์” หรือ “ตัวต่อ” ที่ต้องเอาเนื้อหาแต่ละตำนานมาเชื่อมต่อกัน เพื่อให้เห็นภาพอันแท้จริงของเรื่องราวที่ผู้แต่งตำนานต่าง ๆ ในอดีตต้องการจะสื่อ
และการที่จะอ่าน “ตำนาน” บ้านเราให้เข้าใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งตำนานด้าน “พระพุทธศาสนา” จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเอาจิ๊กซอว์ “ประหลาด” คือ “อินเดีย” ออกไปเสียก่อน
การอ่าน “รัตนพิมพวงษ์” ให้เข้าใจก็เช่นเดียวกัน
“รัตนพิมพวงษ์” เป็นเรื่องราวของ “พระแก้วมรกต” ตั้งแต่เริ่มสร้างจนได้มาประดิษฐานที่เมือง “ลำปาง” แต่งไว้เป็น “ภาษาบาลี” โดย พระพรหมราชปัญญา ภิกษุชาว “ลำปาง” ในขณะที่พระแก้วมรกตยังประดิษฐานอยู่ที่เมืองลำปาง
ท่านกล่าวโดยอาศัยข้อมูลจาก “บันทึก” ของปราชญ์ทั้งหลายในอดีตที่ทำไว้เป็น “สยามภาษา” แล้วแต่งใหม่ให้เป็น “บาลี” (ตรงคำว่า “สยามภาษา” นี้แอดจะกล่าวถึงอีกทีคร้บ)
“รัตนพิมพวงษ์” มีเนื้อหาที่ย้อนความไปถึงบุคคลต่าง ๆ ในอดีต เช่น “พระนาคเสน” ที่ได้สร้างพระแก้วมรกตขึ้นที่นคร “ปาตาลีบุตร” (คือ ลพบุรี ในสมัยพุทธกาล - แอดมิน) เมื่อประมาณพ.ศ. ๕๐๐ รวมถึงเรื่องราวน่าเหลือเชื่อของ “พระเจ้าอนุรุทธ” ในเหตุการณ์ช่วงประมาณปีพ.ศ. ๑๐๐๐ รวมถึงเหตุการณ์อื่น ๆ ตลอดเรื่อยมาจน “พระแก้วมรกต” ได้มาประดิษฐานอยู่ที่เมือง “ลำปาง”
จะเห็นว่าเมื่อมีจิ๊กซอว์ “ประหลาด” คือ “อินเดีย” โผล่มาคั่นอยู่ เนื้อหาตอนนี้จึง “ขัดใจ” นักวิชการมาก เพราะท่านเห็นว่า หากพระแก้วมรกตสร้างขึ้นในนคร “ปาตาลีบุตร” ที่ “อินเดีย” แต่ทำไม “พุทธศิลป์” ของพระแก้วมรกตกลับ “แตกต่าง” อย่างสิ้นเชิงกับพระพุทธรูปอินเดียแบบ “คันธาระ” ที่ “ตำราฝรั่ง” ยกย่องว่าสร้างขึ้นครั้งแรกในโลกในยุคของ “พระนาคเสน” ซึ่งเป็นคนอินเดีย กับ “พระยามิลินท์” ที่เป็นชาวกรีก
แค่บรรทัดแรก “รัตนพิมพวงษ์” ก็กลายเป็นเรื่อง “เหลวไหล” ในสายตานักวิชาการไปแล้ว
และสำหรับเนื้อหาใน Ep นี้ แอดมินจะไม่ขอลงในรายละเอียดของตำนาน แต่จะ “อ่าน” ตำนานเฉพาะเพื่อ “ค้นหา” เส้นทางการเคลื่อนย้าย “พระแก้วมรกต” ไปยังที่ต่าง ๆ เท่านั้น
โดยจะแสดงให้เห็นว่าเมื่ออ่านโดยไม่มี “อินเดีย” มาปะปน เนื้อหาในตำนาน “รัตนพิมพวงษ์” ก็จะกลายเป็น “บันทึก” เรื่องราวสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่จะแสดง “เส้นทาง” ของพระแก้วมรกตและประวัตศาสตร์อื่น ๆ ใน “ชมพูทวีป” (คือ ดินแดนในประเทศเมียนมาร์ ไทย และลาวในปัจจุบัน) ที่ “ถูกต้อง” ให้เราได้เห็นอย่างชัดเจน
ดังต่อไปนี้
[ ๑ ]
“รัตนพิมพวงษ์” เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงเรื่องราวของ “พระนาคเสน” ซึ่งมีเนื้อหาเช่นเดียวกับที่มีกล่าวในคัมภีร์ “มิลินทปัญหา”
ต้้งแต่กาลอุบัติของ “พระนาคเสน” ไปจนจบเมื่อ “พระเจ้ามิลินทร์” ทรงเลื่อมใสในญานความรู้ของพระนาคเสน ถึงที่สุดจึงได้สละราชสมบัติให้พระราชโอรส แล้วเสด็จออกผนวชในพระพุทธศาสนาจนได้ถึงอรหัตตผล (แอดจึงจะขอข้ามรายละเอียดนี้ไปนะครับ)
จุดสำคัญของเนื้อหาในตอนแรกอยู่ที่ข้อความ
📖 “(พระนาคเสนเถร) เธอ ‘ฉลาด’ แก้ปัญหาสุขุมละเอียด ได้อาศัย ‘พระพุทธรูปแก่นจันทร์ล้วน’ ที่พระเจ้า ‘ปัสเสนทิโกศล’ ผู้ทรงพระปรีชาฉลาดทำกุศลได้ ได้โอกาสในสำนักสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแห่งเราทั้งหลายประดิษฐานขึ้นไว้ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ประชุมชนทั่วไป”
… 📖
ข้อความนี้สามารถ “ตีตวาม” ได้ ๒ นัยคือ อย่างแรก ยกกรณีพระเจ้า “ปเสนทิโกศล” ทำกุศลสร้าง “พระแก่นจันทน์” โดยพระพุทธองค์ได้อนุญาติแล้ว จึงหมายความว่า
การสร้างพระพุทธรูปนั้น “ทำได้” ไม่เป็นข้อห้าม
หรืออย่างที่สอง พระนาคเสนได้ถือ “พระแก่นจันทน์” เป็น “ต้นแบบ” เพื่อสร้างพระแก้วมรกต
แต่ไม่ว่าจะ “ตีความ” แบบไหนก็สามารถนำมาพิจารณาได้ทั้งสิ้น
เพราะใน Ep ที่ผ่านมาแอดมินได้นำเสนอไปแล้วว่า “พระแก่นจันทน์” ประดิษฐานอยู่ที่เมือง “อู่ทอง (สุวรรณภูมิ)” ซึ่งก็คือเมือง “สาวัตถี” ในสมัยพุทธกาล
และในชินกาลมาลีปกรณ์ได้ระบุว่า กษัตริย์ในเมือง “สวัตถี” หรือเมือง “สุวรรณภูมิ” นี้ได้บูชา “พระแก่นจันทน์” องค์นี้มาจนถึงปี พ.ศ. ๑๐๐๐
ดังนั้น “พุทธศิลป์” ของ “พระแก้วมรกต” ซึ่งสร้างโดยพระนาคเสนเมื่อประมาณพ.ศ. ๕๐๐ หรือในพุทธศตวรรษที่ ๖ ต้องมีลักษณะ “ใกล้เคียง” กับกลุ่มพระพุทธรูปที่นักวิชาการจัดให้อยู่ยุคสมัย “ทวารวดี” โดยเฉพาะกลุ่มที่พบในบริเวณเมืองโบราณ “อู่ทอง” หรือ “นครชัยศรี”
มากกว่าศิลปะสมัย “เชียงแสน-ล้านนา” (นักวิชาการเชื่อว่าพระแก้วมรกตสร้างในสมัยนี้) ที่เกิดภายหลังเป็นพัน ๆ ปีอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ “พระแก้วมรกต” ยังมี “ลักษณะเด่น” ของพระพุทธรูปสมัย “ทวารวดี” ที่ไม่มีในศิลปะเชียงแสน - ล้านนา อยู่ในเป็นจำนวนมาก (แอดจะเอามานำเสนอให้ในโอกาสต่อไปครับ)
[ ๒ ]
ต่อมาในตอนที่สอง มีข้อความสำคัญดังนี้
………………..
📖 “ได้ยินว่าชาวพระนคร ‘ปาตลีบุตร’ ทั้งหลาย มีพระราชาแลมหาอำมาตย์เป็นต้น ได้บำรุงแล้วซึ่งพระปฏิมานั้นด้วยบูชาแลสัการทั้งหลายโดยสามารถสืบ ๆ กันมา
เบื้องหน้าแต่นั้นพระนัดดาของ ‘พระเจ้าบัณฑุราช’ องค์หนึ่ง พระนามว่า ‘ตักกลาธรรมราช’ ได้เสวยราชในเมืองปาตลีบุตร
ได้ยินว่าพระเจ้าธรรมราชนั้น ได้ทรงบำรุงพระพิมพ์อมรโกฏมัยนั้นเพียงใด แต่กาลปรินิพพานแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาได้ ๘๐๐ ปีบริบูรณ์
โดยกาลล่วงไปแล้วแห่งพระเจ้าธรรมราชนั้น มีพระเจ้าเอกราชองค์หนึ่งพระนามว่า ‘ศิริธรรมกิตติราช’ (เจ้าเมืองทันตปุระ - แอดมิน) ได้ทรงบำรุงแล้วซึ่งพระแก้วอมรโกฏนั้น
ดังได้สดับมา ในกาลนั้น ‘มหาสงคราม’ ได้เกิดขึ้นในพระนครนั้น
แม้ว่ามหาชนก็ได้เชิญพระชินพิมพ์นั้นลงสู่ ‘นาวา’ นำไปสู่ ‘ลังกาทวีป’ อันเป็นเมืองประดับแล้วด้วยเครื่องอลังการ คือ พระไตรรัตนคุณด้วยบูชาสักการะทั้งหลาย แล้วจึงประดิษฐานไว้แล้ว”
………………………… 📖
จะเห็นว่าในช่วงปีพ.ศ. ๘๐๐ เนื้อหาใน “รัตนพิมพวงษ์” จะเริ่มปรากฏพระนามกษัตริย์และเรื่องราวของ “มหาสงคราม” ที่สอดคล้องกับ “ตำนานอื่น” ในช่วงเดียวกัน เช่น ตำนานพระเขี้ยวแก้ว และ ตำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช เป็นต้น
แอดขอยกตัวอย่างจาก “ตำนานพระทันตธาตุ” สำนวนหนึ่งดังนี้
………………….
📖 หลังถวายพระเพลิงครั้งพระพุทธเจ้าปรินิพพาน “พระทันตธาตุ” ได้ประดิษฐานอยู่ที่ “นครทันตปุระ” (แคว้นกลิงครัฐ คือ ภาคใต้บ้านเรา - แอดมิน) เป็นเวลาร่วม ๘๐๐ ปีเศษ ครั้งนั้นมีพระเจ้า “โคสีหราช” มีพระราชบุตรีชื่อ “เหมชาลา” ราชบุตรผู้น้องชื่อ “ทันตกุมาร” ดูแลรักษา
นครทันตปุระนี้ขึ้นอยู่กับ “แคว้นมคธ” (คือ ภาคกลางบ้านเรา - แอดมิน) อันมีพระเจ้า “บัณฑุรมหาราช” เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์
ในกาลต่อมาราวพ.ศ. ๘๑๘ พระเจ้าบัณฑุรมหาราช รับสั่งให้ พระเจ้าโคสีหราช เชิญพระทันตธาตุ ไปเก็บรักษาที่นคร “ปาตลีบุตร” (คือ ละโว้ - แอดมิน) เพื่อทดลองความ “ศักดิ์สิทธิ์” ให้พวกบรมครู “เดียรถีย์” ที่นับถือศาสนาพราหมณ์ได้สำนึกตัวในการดูหมิ่นเหยียดหยามพระพุทธเจ้า
และเพื่อป้องกันมิให้พวกกษัตริย์ “ทมิฬ” ฝ่ายเดียรถีร์แถบทะเลทางใต้ ยกทัพมาตีเมืองทันตปุระ แล้วชิงพระธาตุไปทำลายเสีย
ในกาลต่อมายังมีจอมกษัตริย์เดียรถีร์นามว่า “พระเจ้าชีวะธารราช” (พระเจ้าชีวกะ - แอดมิน) ยกทัพใหญ่มาประชิดกรุงปาตลีบุตร (ละโว้) เพื่อหวังยึดครองแคว้นมคธและแคว้นกลิงครัฐ จึงเกิด “มหาสงคราม” ขึ้น
สงครามครั้งนี้จบลงที่ “พระเจ้าชีวะธารราช” สิ้นพระชนม์ในการรบ พระเจ้าบัณฑุรมหาราช จึงให้พระเจ้าโคสีหราชรับพระทันตธาตุกลับไปยังนครทันตปุระตามเดิม
…………………. 📖
แต่หลังจากนั้นเมื่อ พระเจ้าบัณฑุรมหาราช เสด็จสวรรคต “แคว้นมคธ” ก็อ่อนแอลง
ตำนานกล่าวว่า กษัตริย์ทมิฬลูกหลานพระเจ้าชีวะธารราชได้เข้าโจมตีเมืองทันตปุระและแคว้นมคธอีกครั้ง จนเป็นเหตุให้ต้องอัญเชิญ “พระทันตธาตุ” และ “พระแก้วมรกต” หนีไปสู่ “ลังกาทวีป” ในสมัยของพระเจ้ากิติสิริเมฆวรรณะ ที่เกาะลังกา เมื่อประมาณพ.ศ. ๘๕๔
เรื่องราวจึง “ตรงกัน” ตามตำนาน “พระเขี้ยวแก้ว” “พระธาตุนครศรีธรรมราช” และ “รัตนพิมพวงษ” ทั้งหมด
หลักฐานสำคัญก็คือ ในปีพ.ศ.๙๕๔ เมื่อหลวงจีนฟาเหียนไปถึง “เกาะลังกา” ท่านยังได้เห็นทั้ง “พระแก้วมรกต” และการแห่ “พระทันตธาตุ” ประจำปีที่นั่น ท่านบันทึกว่า
……………….
📖 “ภายใน (อภัยคีรี) วิหารมีพระพุทธรูปปฏิมา ‘หินหยกสีเขียว’ องค์หนึ่ง สูง ๒ ศอก พราวพรายไปด้วยวัตถุอันเป็นสิ่งสำคัญ ๆ ทั้งสิ้น จนเหลือที่จะเลือกเสรรเอาถ้อยคำมากล่าวเฉลิมเกียรติให้ถูกถ้วนเท่าที่มีปรากฏอยู่นั้นได้
ในฝ่าพระหัตถ์ ‘เบื้องขวา’ มีมุกดาอันหาค่ามิได้เม็ดหนึ่ง (แสดงว่าเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ - แอดมิน)”
……………..📖
แต่เรื่องราวทั้งหมดนี้ “นักวิชาการ” บ้านเราได้ยกให้ “อินเดีย” ไปหมดแล้ว (ทั้งที่ไม่มีหลักฐานอะไรที่อินเดียรองรับ)
ดังนั้นตำนานพระทันตธาตุและพระแก้วมรกตไปลังกา “ต้นเรื่อง” ของจริงที่ปรากฏอยู่ใน “ตำนานพระธาตุนครศรีธรรมราช” และ “รัตนพิมพวงษ์” จึงกลายเป็นเรื่อง “เหลวไหล” แทนมาจนทุกวันนี้
[ ๓ ]
ข้อความต่อมาใน “รัตนพิมพวงษ์”
……….
📖 “เบื้องหน้าแต่นั้นมา เมื่อพระศาสนาคณนาได้ ๑๐๐๐ ปีล่วงแล้วแต่กาลปรินิพพานแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีเอกราชองค์หนึ่ง พระนามว่าศิริธรรมราชาได้เสวยราชอยู่ใน ‘มลานปุร’
แลโดยการล่วงแล้วแห่งพระเจ้าศิริธรรมราชนั้น พระราชบุตรของพระองค์ทรงนามว่า พระเจ้าอนุรุทธราชนั้น ทรงเดชมาก ทรงอานุภาพมาก (ทรงบำรุงแล้วซึ่งพระแก้วอมรโกฏนั้น - แอดมิน)”
……… 📖
คำว่า “มลานปุระ” มีปรากฏอยู่ใน “ตำนานมูลศาสนา” หมายถึงเมืองที่อยู่ทางใต้ (เลยตะนาวศรีลงมา) จะเห็นว่าเรื่องราวในตอนนี้จะไปตรงกับตำนานสร้าง “พระธาตุนครศรีธรรมราช” ที่กล่าวว่า
📖 “พระเจ้าศรีธรรมโศกราช (ศิริธรรมราชา) ที่ ๑ แห่งโมริยวงศ์ สร้างนครลงที่หาดทรายแก้ว สร้างกำแพงเมืองและสร้างพระมหาเจดีย์”
…📖
“พระเจ้าอนุรุทธราช” หรือ "พระยากาวัณดิศราช" ในตำนานพระประโทณเจดีย์ พระราชบุตรของพระเจ้า “ศิริธรรมกิตติราช” ก็คือ กษัตริย์ที่ทรงเดชานุภาพที่ขึ้นมาจาก “นครศรีธรรมราช” มาครองเมือง “ปาตลีบุตร” แทนพระราชบิดานั่นเอง
พระเจ้า “อนุรุทธราช” จึงไม่ใช่ “พม่า” หรือ “มอญ” (อย่างที่นักวิชาการไปหลงยึดเอาตาม “ตำนานพม่า”) และยังทรงเป็นพุทธมามกะหรือ “พระมหาธรรมราชา” พระองค์หนึ่งด้วย
ทั้งหมดนี้จะเห็นว่า หากไม่เอาจิ๊กซอว์ “อินเดีย” ออกไปก่อน เราจะอ่านตำนานทั้งหมดไม่เข้าใจ เชื่อมต่อกันไม่ติด เพราะเรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นที่ “บ้านเรา” ไม่ใช่ที่อินเดียครับ
ภาวะ “มหาสงคราม” ที่เกิดขึ้นในช่วงพ.ศ.๘๐๐ - ๑๑๘๒ จนที่สุด “พระเจ้าอนุรุทธราช” ได้ปราบชมพูทวีปแล้วนี้เองที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง “ครั้งใหญ่” ใน “ชมพูทวีป” เช่น
เมือง “สาวัตถี” ต้องเคลื่อนย้าย (หนี) ขี้นไปสร้างเมืองใหม่ที่ลำพูน (อโยชฌปุระ - วิเชตนคร)
พราหมณ์ที่เมืองนครชัยศรี (พาราณสี) ถูกขับให้ไปอยู่ที่ “ปาตลีบุตร” (ละโว้)
เปลี่ยน “มหาศักราช” ให้เป็น “จุลศักราช” (เพื่อให้สอดคล้องกับการค้าทางโรมัน)
อักษรของ “พระเจ้าอนุรุทธราช” ที่ใช้กันทั่วไปทางใต้ได้ถูกนำขี้นมาใช้ทางภาคกลาง-อิสาน
ที่สำคัญก็คือ การอัญเชิญ (ทวง) “พระแก้วมรกต” กลับคืนมายัง “ชมพูทวีป” บ้านเรา
[ ๔ ]
เนื้อความลำดับต่อมาใน “รัตนพิมพวงษ์” กล่าวว่า เรือที่พระเจ้าอนุรุทธอัญเชิญ “พระแก้วมรกต” นั้นได้โดนพายุพัดไปตกที่ “นิชนคร” ซี่งเป็นเมืองท่าแห่งหนึ่งใน “แคว้นกัมโพช”
📖 “พระราชาแลชนชาวเมืองนิชนคร ในประเทศกำโพช ได้เรือพระชินพิมพ์ไว้ เชิญไปสู่เมืองของตน ประดิษฐานไว้แล้วกระทำสักการบูชา”
…📖
คำว่า “แคว้นกัมโพช” นี้เองที่ทำให้ที่ทำให้เกิด “ปัญหา” และสร้างความ “สับสน-งุนงง” ว่า จากเกาะลังกาเรืออัญเชิญ “พระแก้วมรกต” จะเกิดหลงไปโผล่ที่ “ประเทศกัมพูชา” ได้อย่างไร
รัตนพิมพวงษ์จึงเป็นเรื่อง “เหลวไหล” ไปแทบจะทุกบรรทัดในสายตา “นักวิชาการไทย”
ความจริงแล้ว “แคว้นกัมโพช” ในที่นี้ “ปราชญ์” ทางพม่าและล้านนาเข้าใจตรงกันว่า หมายถึง “รัฐฉาน” หรือ “แคว้นกุรุ” ในสมัยพุทธกาล อันมีเมืองหลวงชื่อ “อินทรปัตถ์” ซึ่งก็คือ เมือง “เชียงตุง” ในปัจจุบันครับ (แอดจะยังไม่ขอลงรายละเอียดในที่นี้)
ดังนั้นเรือ “พระแก้วมรกต” จึงหลงไปยังท่าเรือ (นิชนคร) แห่งใดแห่งหนึ่งบริเวณอ่าว “เมาะตะมะ” และถูกจับไว้ จากนั้นจึงถูกส่งต่อขึ้นไปยัง “เชียงตุง” ตามแม่น้ำสาละวิน
สอดคล้องกับที่ "พระเจ้าอนุรุทธ” ซึ่งในขณะนั้นยังไม่สามารถพิชิต “ชมพูทวีป” ได้ทั้งหมด (ก่อนพ.ศ. ๑๑๘๒) จึงไม่สามารถตามไปทวงคืนพระแก้วมรกตกลับมาจากเมือง “เชียงตุง” ได้ เพราะยังมี “พระยาอาทิตตราช” ที่ “สาวัตถี” เมืองใหม่ (หริภุญไชย) ขวางอยู่
จึงสอดคล้องกับการมี “วัดพระแก้ว” ที่ “เชียงตุง” ที่ยังมี “มรดกแห่งความทรงจำ” ของผู้คนที่นั่นว่า “พระแก้วมรกต” เคยประดิษฐานอยู่ที่ “เชียงตุง”
[ ๕ ]
เหตุการณ์ต่อมา “รัตนพิมพวงษ์” กล่าวว่า
…………….
📖 “(ฝ่ายว่า ณ กาลอื่นอีก) พระยานาคโกรธ (ว่าพระยาไม่อยู่ในธรรม) จึงทำให้เมือง (อินทรปัตถ์) นั้นให้ท่วมด้วยน้ำห้วงใหญ่ ครั้งนั้นชนทั้งหลายทั้งปวงเว้นแต่ชนชาวเรือ เหลือจากนั้นพลันถึงแล้วซึ่งความพินาศสิ้น
ครั้งนั้นฝูงชนทั้งหลายพวกชาวเรือ ก็เชิญพระพิมพ์นั้นลงสู่นาวาแล้วจึงทำอเนกบูชาต่าง ๆ แล้วจึงเชิญไปประดิษฐานในประเทศอื่น
ครั้งนั้นมีพระภูมิบาลเจ้าองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า ‘อาทิตยราช’ ทรงพระปรีชาเฉลียวฉลาดในกุศลธรรมทั้งหลายพระองค์เสวยราชสมบัติแล้วใน ‘อโยชฌมหานคร’ อันบวรดังสุรัมมพิมานในสถานเทวโลก
พระองค์ทรงอานุโยคเพื่อยุทธนาการ ได้ยกพลโยธาหารเสด็จไปถึงมหาบุรนคร จึงได้พระสัมพุทธพิมพ์อันบวรนั้น แล้วจึงจัดการบูชาเชิญพระสัมพุทธพิมพ์นั้นมาประดิษฐานไว้ในอโยชฌนครอันเป็นรัมยสถาน
ชนทั้งปวงชาวพระนคร ‘อโยชฌปุระ’ ทั้งหลายได้เห็นพระพิมพ์แล้วพากันบรรเทิงเริงรื่น ตั้งความปราถนาอยู่ซึ่งศุขอันประเสริฐ ณ สวรรค์แลนิพพาน ทำการบูชาแล้วซึ่งพระพิมพ์เจ้าอันเป็นอดิเรกบูชา”
……………….. 📖
 
เหตุการณ์ “พระยานาค” ทำน้ำท่วมเมืองอินทรปัตถ์จน “เมืองล่ม” เกิดขึ้นในช่วงพ.ศ. ๑๐๐๐ ซึ่งมีบันทึกเป็น "จารึก" ว่ามีแผ่นดินไหวใหญ่
ส่วน ‘อโยชฌมหานคร’ นั้นแอดมินเคยกล่าวไว้แล้วใน “เรื่องพระสิขีปฏิมา” และใน Ep ที่ผ่าน ๆ มาแล้วว่า คือ เมือง “ลำพูน” ในสมัยพุทธกาล ยุคก่อน “พระเจ้าอาทิตยราช” จะย้ายเมือง “สาวัตถี” จาก “อู่ทอง” มาที่ลำพูน
ดังนั้นพระภูมิบาลที่ทรงพระนามว่า “พระเจ้าอาทิตยราช” ในรัตนพิมพวงษ์ และจึงเป็นคนเดียวกันกับที่สร้าง “พระธาตุหริภุญไชย” ซึ่งก็เป็น “คนเดียวกัน” กับ "พระเจ้าสาวัตถี" ในจารึก ลพ.๒ ที่กล่าวถึงเหตุการณ “แผ่นดินไหว” ในช่วงนั้น ที่สำคัญก็คือ จารึกระบุว่า (พระองค์) ได้สร้าง “รัตนเจดีย์” ดังนี้
(คำแปล)
“… แก้วอันประเสริฐ
เจดีย์องค์นี้ (รัตนเจดีย์) ซึ่ง … ของข้าพเจ้า … ได้สร้างขี้นภายหลัง
สำเร็จลงในรัชกาลที่แผ่ไปทั้งสิบทิศ”
“รัตนเจดีย์” ในจารึก ลพ.๒ ก็คือ เจดีย์ที่ประดิษฐาน “พระแก้วมรกต” ที่ได้มาจากเมือง “เชียงตุง” นั่นเอง
ที่สำคัญจารึก ลพ.๒ หลักนี้พบที่ “วัดดอนแก้ว” ที่ “ลำพูน” อันมีชื่อเดิมว่า “วัดดอนพระแก้ว” และยังคงมี “มรดกความทรงจำ” ของชาวบ้านผู้เฒ่าผู้แก่ ที่ยังคงรำพึงรำพันถึงพระแก้วมรกตว่าเคยประทับอยู่ที่นี่ เป็นมุขปาฐะที่นักวิชาการกระแสหลักไม่เคยรับรู้มาก่อน
 
(เรื่องวัดดอนพระแก้วนี้ “นักวิชาการ” ท่านพูดเองนะครับ แอดไม่ได้ “มโน”)
[ ๖ ]
จาก “ลำพูน” แล้วไปไหนต่อ
………………..
📖 “เบื้องหน้าแต่นั้นมา พระราชาทรงพระนามว่า ‘ภูบดี’ เสวยราชอยู่ในเมือง ‘วชิรปาการปุระ’ ณ พระราชาทั้งหลายทรงพระนามว่า ‘พระเจ้าวชิรปาการ’ ดังนี้มีปรากฏแล้วองค์เดียวเท่านั้น
ได้ทรงทราบพระเดชานุภาพของพระปฏิมา จึงมีพระทัยปรารถนาจะใคร่บูชายิ่งซึ่งพระสัมพุทธพิมพ์นั้น จึงพาบุรุษถือเครื่องบูชาเป็นต้น เสด็จไปสู่เมือง ‘อโยชฌมหานคร’ อันเป็นสุรัมยสถาน กระทำการเอนกบูชามีประการต่างๆแล้ว จึงเชิญพระสัมพุทธพิมพ์อันทรงอานุภาพอันประเสริฐด้วยบูชาเป็นเอนกทั้งหลายแล้วประดิษฐานไว้ในเมืองวชิรปราการ
สมเด็จพระเจ้านรินทรได้ประดิษฐานพระชินพิมพ์อันบวรไว้ในพระนคร ‘วชิรปาการปุระ’ แล้วด้วยประการฉนี้”
……………….. 📖
 
ข้อความนี้ “พระพรหมราชปัญญา” ท่านต้องการหลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึง “สงคราม” ท่านจึงกล่าวว่า “พระเจ้าวชิรปราการ” พาบุรุษถือเครื่องบูชาเป็นต้น เสด็จไปสู่เมือง “อโยชฌมหานคร” เพื่อเชิญพระแก้วมรกต
และย้ำว่า “พระเจ้าวชิรปราการ” มีองค์เดียว
จึงควรเป็น “พระองค์พรหมมหาราชาเจ้า” หรือไม่ก็ “พระองค์ไชยศิริ” ราชโอรส ในตำนาน “สิงหนติโยนก” ที่กล่าวว่า “พระองค์พรหมมหาราช” ได้ทำสงครามขับไล่ “ขอมดำ” (ซึ่งน่าจะรวมหริภุญไชยด้วย) ออกไปจากแคว้นโยนกดังนี้
…………………
📖 “ฝ่ายเจ้าพรหมกุมารท่านก็ทรงช้างพานคำตัวกล้า พาเอาคนหาญไล่ติดตามกำจัดพวกขอมทั้งหลาย ผ่านหมู่บ้านของชาวป่ามิลักขุ (ชาวมคธ) ทั้งหลายไปไกลนัก พวกชาวป่ามิลักขุทั้งหลายก็แตกหนีไปซ่อนลี้อยู่ตามป่าเถื่อนห้วยดงดอยเสียหมดสิ้น
ท่านก็ไล่กำจัดพวกขอมทั้งหลายไปไม่ได้หยุดยั้ง ขับไล่ให้ออกไปพ้นจากโขงเขตแดนของบิดาแห่งตน (คือ เมืองโยนกนครราชธานีไชยบุรีศรีช้างแส่ง - เชียงแสน) ไปนานได้เดือนหนึ่ง ต่อถึงแดนเมืองลวะรัฐเก่า (เชียงใหม่-ลำพูน -แอดมิน) นั้นก็ไม่หยุดยั้งแล
เมื่อนั้นพระยาอินทร์เจ้าฟ้าท่าน ก็เล็งดูเหตุการณ์อันนั้นแล้ว ก็รำพึงว่า พรหมกุมารนี้ตามกำจัดขอมทั้งหลาย ไปรอดถึงที่ใดก็ไม่ยอมหยุดยั้ง ฉันนี้ พวกขอมจักตายหมดชะและ ควรกูอินทาจะโปรดเอาชีวิตไว้ก่อนเถอะ
ว่าอั้นก็บังคับอย่างวิสุกรรมเทวบุตรให้ลงมาเนรมิต ‘กำแพงหินศิลา’ กั้นหน้าพรหมกุมารไว้เสียที่นั่นแหละ เจ้าพรหมกุมารเห็นกำแพงมากั้นเช่นนั้นก็จะไปก็ไปไม่ได้”
………………….. 📖
พระเจ้าพรหมกุมารจึงได้กลับมาสร้างเมือง “เวียงไชยปราการ” ไม่กลับไปครองราชสมบัติที่เมืองโยนกนครราชธานีไชยบุรีศรีช้างแส่ง
ตำนานกล่าวต่อไปอีกว่าในเวลาต่อมา เมือง “เวียงไชยปราการ” ในสมัย “พระองค์ไชยศิริ” นี้เกิดสงครามกับเมือง “สุธรรมวดี” ที่ยกรี้พลมาเป็นจำนวนมากกว่า
“พระองค์ไชยศิริ” เกรงจะสู้ไม่ได้จึงได้ “เผาเมือง” ทิ้ง แล้วอพยพผู้คนไปจนถึงบริเวณที่ “วิสุกรรมเทวบุตร” ลงมาเนรมิตกำแพงหินศิลาขวางพระเจ้าพรหมกุมารไว้ แล้วสร้างเมืองขึ้นที่นั่น เรียกว่า “เวียงกำแพงเพชร”
เหตุการณ์ในตำนานเกิดขึ้นเมื่อศักราช ๔๖๗ ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่ใช้ “จุลศักราช” แล้ว ดังนั้นจึงควรเป็น จ.ศ. ๔๖๗ หรือเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๑๖๔๙ (โดยประมาณ)
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจากตำนาน “สิงหนติโยนก” ซึ่งจะต่างจาก “รัตนพิมพวงษ์” ที่ว่า “พระเจ้าวชิรปาการ” มีองค์เดียวเท่านั้น
ดังนั้นใน “ความเห็น” ของแอดมินผู้ที่สร้างเมือง “กำแพงเพชร” หรือ “วชิรปาการปุระ” หรือ “พระเจ้าวชิรปาการ” ควรจะเป็น “พระเจ้าพรหมมหาราช” มากกว่า และเมือง “เวียงไชยปาการ” ที่ทรงสร้างก็คือเมือง “กำแพงเพชร” นั่นเอง
(หมายเหตุ “เวียงไชยปาการ” นี้นักวิชาการเชื่อว่าคือ เมืองฝาง ทีจังหวัดเชียงใหม่ครับ)
เมื่อไล่ “ขอมดำ” ลงมาถึง “กำแพงเพชร” และสร้างเมืองเสร็จแล้ว จากนั้นจึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตจาก “ลำพูน” มาด้วย ก็จะสอดคล้องกับเรื่องราวใน “รัตนพิมพวงษ์” พอดี
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเมือง “กำแพงเพชร” จึงมี “วัดพระแก้ว” ที่มีอายุเก่าก่อนสร้างเมืองสุโขทัย ครับ
[ ๗ ]
การสงครามกับเมือง “สุธรรมวดี” รอบสอง ของพระองค์ไชยศิริจนต้องเผาเมืองทิ้งหนีไปนี้ ก็คือสงคราม “เอาคืน” ของ “หริภุญไชย”
ส่วนเมืองที่พระองค์ไชยศิริต้องเผาทิ้งก็คือเมือง “กำแพงเพชร” แล้วนำ “พระแก้วมรกต” กลับไปยังเมืองโยนกนครราชธานีไชยบุรีศรีช้างแส่ง คือที่ “เชียงราย” พร้อมกันด้วยนั่นเอง
ก็จะลงตัวกับเหตุการณ์ใน “รัตนพิมพวงษ์” ที่กล่าวต่อมาว่าพระแก้วมรกตได้ย้ายไปประดิษฐานที่อยู่ที่ เมือง “ชิรายะปุระ” (เวียง “ไชยนารายณ์” ก่อนเมือง “เชียงราย”) ดังนี้
……………………
📖 “ณ กาลเบื้องหน้าต่อมา ‘พระเจ้าธรรมราชา’ พระองค์ฉลาดในการกุศล เป็นพระเจ้าทรงธรรมเป็นพระยาเอกราชเสวยราชใน ‘ชิรายะปุระ’ ท่านบวรเป็นสุรัมยนครอันประเสริฐ ณ ‘โยนกราษฎร์’ ได้ทรงทราบอานุภาพอันประเสริฐของพระปฏิมาเจ้า ปรารถนาจะใคร่บูชายิ่งซึ่งพระพุทธพิมพ์อันประเสริฐ
จึงได้พาบุรุษผู้ถือเครื่องบูชาอันบวรเสด็จไปยังเมือง ‘เพ็ชรปราการ’ แล้วทำการบูชาพระชินพิมพ์เจ้ามีประการเป็นเอนกด้วยราชบุรุษทั้งหลาย แล้วเชิญพระปฏิมามาประดิษฐ์ไว้ในเมือง ‘ชิรายะปุระ’ อันเป็นโยนกราษฎร์ด้วยบูชาต่างๆทั้งหลาย”
…………………….. 📖
[ ๘ ]
ในขณะที่ช่วงเวลาใกล้เคียงกันนั้น ดินแดนเหนือเมือง “เชียงราย” ได้เกิดมีพระราชาเอกราชที่ทรงเดชานุภาพมากอีกพระองค์หนึ่ง คือ “”พระยาลาวเจื๋อง” (ในช่วงปีพ.ศ. ๑๖๗๗) จึงเป็นเหตุให้ “พระเจ้าธรรมราชา” ต้องนำพระแก้วมรกตไป “ซ่อน” ไว้ในเจดีย์
ตามที่กล่าวใน “รัตนพิมพวงษ์” ว่า
………………………
📖 “ครั้นกาลอันเป็น ‘อปรภาค’ มาถึง ‘พระเจ้าธรรมราชา’ นั้นก็ให้พอกพระพุทธพิมพ์นั้นด้วยปูนประสมด้วยทรายอ่อนเคล้าด้วยน้ำผึ้งและน้ำอ้อย แล้วทาด้วยน้ำยางรักภายนอกปูนนั้น แล้วปิดด้วยแผ่นทอง แล้วก่อด้วยเจดีย์แล้วด้วยอิฐ คือ ‘ศิลาแลง’ ใน ‘ญรุกขวนาราม’ แห่งหนึ่ง (ในวัดป่าญอ หรือวัดป่าเยียะ) แห่งทิศบูรพของเมืองชิรายนคร
แล้วจึงประดิษฐานไว้ในห้องพระเจดีย์อันอลงกฎต่างๆ กลับด้วยพิพิธบูชาสักการทั้งหลาย แล้วทำบูชาสักการบ้างทำบุญมีทานศีลเป็นต้นบ้าง เพียงใดแต่ชีวิตแล้วจึงได้ทำกาลกิริยา (สิ้นพระชนม์)”
…………………. 📖
จน “พระแก้วมรกต” ถูกพบอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไปอีก “หลายร้อยปี” เมื่อพระเจดีย์นั้นเก่าและหักพังลงมาเอง (ไม่ได้ถูกฟ้าผ่า) ในสมัยที่ได้เกิดเมือง “เชียงใหม่” ขึ้นแล้ว
และเมื่อแรกพบนั้น ปูนที่หุ้มองค์พระยังอยู่สมบูรณ์ จึงได้นำไปประดิษฐานในวิหารของ “ญรุกขวนาราม” รวมกับพระพุทธรูปองค์อื่น ๆ ในวัดนั้นเอง
กาลเวลาผ่านไป เมื่อ “พระเจ้าแสนเมืองมา” ได้ครองเมืองเชียงใหม่ในปีพ.ศ. ๑๙๔๓ และ “ท้าวมหาพรหม” ซึ่งเป็นพระเจ้าอาครองเมือง “เชียงราย” ปูนหุ้มองค์พระได้กระเทาะหลุดออกเห็นเป็น “พระแก้วมรกต”
“รัตนพิมพวงษ์” ได้กล่าวไว้ว่า
………………..
📖 “ความโกลาหลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพระนคร (เชียงราย) ทั้งสิ้นได้มีแล้วว่า พระพุทธรูปองค์หนึ่งเป็น ‘แก้วอมรโกฏ’ มณีมัยรุ่งเรืองอยู่ด้วยพระฉัพพรรณรังษีทั้งหลาย ปรากฏมีใน ญรุกขวนาราม”
……………..📖
แสดงให้เห็นว่าองค์พระอยู่ในพระเจดีย์นาน “หลายร้อยปี” จนคนที่รู้เรื่อง “พระแก้วมรกต” ที่เหลืออยู่ในเมืองเชียงราย ได้ล้มหายตายจากไปหมดแล้วนานหลายชั่วอายุคน
[ ๙ ]
หลังจากเหตุการณ์นี้ พระแก้วมรกต ก็ได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานอยู่ในที่ต่าง ๆ อันเป็นสถานที่ ที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชัดเจนดังเป็นที่รับรู้กันในปัจจุบัน (แอดมินจะขอไม่ลงรายละเอียดนะครับ)
ลำปาง - ก่อนพ.ศ.๑๙๔๓ (มากกว่า ๘๒ ปี)
เชียงใหม่ - พ.ศ. ๒๐๒๕ (๖๖ ปี)
หลวงพระบาง - พ.ศ. ๒๐๙๑ (๗๙ ปี)
เวียงจันทน์ - พ.ศ. ๒๑๗๐ (๑๕๒ ปี)
กรุงธนบุรี - ๒๓๒๒ (๕ ปี)
กรุงเทพฯ วัดพระศรีรันตนศาสดาราม - พ.ศ. ๒๓๒๗ จนถึงปัจจุบัน ( ๒๔๑ ปี)
[ ๑๐ ]
“รัตนพิมพวงษ์” ฉบับ “มโน” กันใหม่ (ที่ไม่มี “อินเดีย” ปะปน) แต่งไว้เพื่อความเลื่อมใสของสาธุชนจบแล้ว
พระพิมพ์เจ้าอัน “พระนาคเสน” เถรเจ้าได้ทำไว้ด้วยแก้วอมรโกฏ เดี๋ยวนี้ได้ประดิษฐานอยู่ใน “กรุงรัตนโกสินทร์” มหาชนทั้งหลายทั้งปวงชาวพระนคร แลชาวต่างชาติต่างภาษา
ได้ทำการบูชาพระพิมพ์แห่งพระชินสีห์เจ้ามีประการต่าง ๆ เป็นอเนก สืบต่อ ๆ กันมาได้กว่า ๒๐๐๐ ปี ด้วยประการฉนี้
ใครไม่เคยไป "วัดพระแก้ว" หาโอกาสไปกราบนมัสการองค์ “พระแก้วมรกต” กันสักครั้งในชีวิตนะครับ
🙏 ขอบพระคุณแฟนเพจทุกท่าน ที่ติดตามอ่านกันมาโดยตลอด
🚗🚌🛵✈️มาเที่ยวชมพูทวีปบนแผ่นดินไทยกันดีกว่า ❤️ เที่ยวไม่ต้องแย่งใคร … ได้อานิสงส์เท่ากันครับ 🙏🙏🙏

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา