Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เบื่อเมือง
•
ติดตาม
8 มิ.ย. เวลา 10:39 • ประวัติศาสตร์
ตามหาสาวัตถี EP. 21 - “เชตวันมหาวิหาร” ที่เคยเห็น (ตอนที่ ๑) : “เสาหงส์ - ธงตะขาบ” คู่วัด
[ #คำเตือน เนื้อหาในซีรีส์นี้ จำเป็นต้องใช้วิจารณญาณในการอ่านมากเป็นพิเศษ ท่านที่ไม่สามารถวางองค์ความรู้เรื่องดินแดนเกิดของพระพุทธศาสนาอยู่ที่ “อินเดีย” เอาไว้ข้าง ๆ ตัวก่อนอ่านได้ แอดมินอยากให้ข้ามเพจนี้ไปนะครับ เพื่อที่เวลาอันมีค่าของท่านจะได้ไม่ต้องมาสูญเปล่าไปโดยไม่ได้ประโยชน์อันใด]
………………………………………………
📖 “จากประตูเมือง (สาวัตถี) ไปทางทิศใต้เป็นระยะ ๑,๒๐๐ ก้าว อนาถบิณฑิกเศรษฐีได้สร้างมหาวิหารขึ้นไว้หลังหนึ่ง หันหน้าไปทางทิศใต้ และเมื่อเปิดประตู (ด้านทิศใต้) ออก ภายในด้านหนึ่งจะแลเห็นเสาหินต้นหนึ่ง มีรูปล้อ (ธรรมจักร) อยู่บนยอด เป็นด้านซ้าย และมีเสาหินอีกต้นหนึ่งมีรูปโคตัวหนึ่งอยู่บนยอด ซึ่งเป็นด้านขวา
เชตวันวิหารนั้น แต่เดิมทีเดียวมี ๗ ชั้น (วิหารใหญ่) บรรดากษัตริย์และประชาชนแห่งนครต่าง ๆโดยรอบ ต่างประกวดกันจัดหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งถวายเป็นเครื่องสักการบูชา เบื้องบนโดยรอบแขวนห้อยด้วยธงราวที่ทำด้วยไหม และผ้าที่ดาดเพดานก็เต็มไปด้วยพวงดอกไม้ (เบื้องล่าง) เผาเครื่องหอม และแสงสว่างของชวาลาซึ่งตามไว้ในเวลากลางคืนแจ่มแจ้งดุจกลางวัน ต่างกระทำกันอยู่เช่นนี้ทุก ๆ วัน โดยปราศจากการงดเว้น
บรรดาอาศรมใหญ่ ๆ สำหรับพระภิกษุสงฆ์ทุก ๆ หลัง ในบริเวณเชตวันมหาวิหารมีประตู ๒ ทาง หันหน้าไปทางตะวันออกทางหนึ่ง และไปทางเหนืออีกทางหนึ่ง มีอุทยานคั่นอยู่ในระหว่างพื้นที่ที่ว่าง
ตัววิหารใหญ่ ตั้งอยู่ตรงศูนย์กลางทีเดียว
(หน้าวิหาร) ทั้งด้านซ้ายและขวาของวิหารมี ‘สระน้ำ’ อันใสสะอาด (ภายในเชตวันนั้น) เดียรดาษไปด้วยต้นไม้หนาทึบเสมอกัน ต่างชูดอกออกช่อเป็นสีต่าง ๆ มากหลายเหลือที่จะคณนานับ เป็นที่ประกอบไปด้วยสิ่งอันน่ารื่นรมย์เจริญตา
สิ่งที่ปรากฏจากการกระทำโดยครบถ้วนเหล่านี้ รวมเรียกว่า เชตวันมหาวิหาร”
(บันทึกการเดินทางของหลวงจีนฟาเหียน)
……………………………………………… 📖
สำหรับแฟนเพจที่เพิ่งเข้ามาอ่านเป็น “ครั้งแรก”
เพจ “เที่ยว ชมพูทวีป บนแผ่นดินไทย” ได้นำเสนอข้อมูล “อีกด้านหนึ่ง” ที่ “แตกต่าง” จากที่นักวิชาการชาวตะวันตกได้ระบุเอาไว้เมื่อร้อยกว่าปีที่ผ่านมาว่า ดินแดน “ชมพูทวีป” นั้นคือ “อินเดีย”
เพจนี้นำเสนอ “ข้อบกพร่อง” ของงานวิจัยในอดีตของนักวิชาการเหล่านั้น.
เพจนี้นำเสนอข้อมูลจากการ “วิเคราะห์ใหม่” ที่แสดงให้เห็นว่า ที่ตั้งของ “มัชฌิมประเทศ” หรือ “ชมพูทวีป” ในสมัยพุทธกาล ก็คือ ดินแดนในเขต พม่า มอญ ไทย ลาว และกัมพูชา ในอดีตนั่นเอง
ดังนั้นเหตุการณ์และสถานที่สำคัญต่างๆ ในสมัยพุทธกาล ตามที่มีกล่าวในพระไตรปิฎกและอรรถกถา จึงเกิดขึ้นที่ดินแดนบ้านเราและในภูมิภาคแถบนี้เกือบทั้งหมด
ข้อสรุปของ “นักวิชาการตะวันตก” ที่ว่าดินแดนเกิดของ “พระพทุธศาสนา” อยู่ที่ “อินเดีย” นั้น เพจนี้เห็นว่าเป็นข้อสรุปที่ “ผิดพลาด” ที่ได้สร้างความ “เสียหาย” ใหญ่หลวงให้แก่การศึกษาประวัติศาสตร์ของพุทธศาสนาและประวัติศาสตร์ชาติไทยมายาวนานเกือบสองร้อยปีแล้ว
แอดมินแนะนำให้ย้อนกลับไปอ่านซีรีส์เก่า ๆ ที่เพจเคยนำเสนอไว้ หรือที่ปักหมุดไว้เสียก่อน ก็จะเข้าใจสิ่งที่เพจนี้กำลังนำเสนอได้มากขึ้นครับ
…………………..
ในหลาย Ep ที่ผ่านมาของซีรีส์ “ตามหาสาวัตถี” แอดมินได้นำเสนอเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเหตการณ์ที่เกิดขึ้นกับเมือง “สาวัตถี” (อู่ทอง-สุวรรณภูมิ-ลำพูน) ในช่วงหลังพ.ศ. ๑๐๐๐ เป็นต้นมาที่เกี่ยวข้องกับ “ตำนาน” ต่าง ๆ หลายตำนาน
และได้แสดงให้เห็นแล้วว่า “ตำนาน” ต่าง ๆ ของบ้านเรานั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำนานทาง “พุทธศาสนา” จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเอา “อินเดีย” ออกไปก่อนจึงจะอ่าน “เข้าใจ” ก็จะสามารถ “เชื่อมโยง” ตำนานทุกตำนานเข้าด้วยกันให้เห็นเป็น “ภาพใหญ่” ได้
…
ส่วนใน Ep นี้แอดมินจะขอพาแฟนเพจ “ย้อนกลับ” มาที่เมือง “สาวัตถี” เพื่อ “เจาะเวลา” ไปค้นหา “เชตวันมหาวิหาร” ในบันทึกของ “หลวงจีน” หลาย ๆ ท่านที่เคยดั้นด้นมาจนถึง “ชมพูทวีป” (ของจริง) กันครับ
…
จากข้อความต้นโพสต์นี้ที่คัดมาจาก “บันทึก” การเดินทางของ “หลวงจีนฟาเหียน” ท่านได้บรรยายภาพของ “เชตวันมหาวิหาร” ที่ได้มาพบเห็นด้วยตาตนเอง ณ “เมืองสาวัตถี” (คือเมืองโบราณ “อู่ทอง” บ้านเรา) เมื่อประมาณปีพ.ศ. ๙๕๒ หรือเมื่อประมาณ ๑๖๐๐ ปีมาแล้ว
ในบันทึกยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “วิหารใหญ่” (ที่ประทับของพระพุทธเจ้าสำหรับแสดงธรรมและที่ประดิษฐานพระแก่นจันทน์) ใน “เชตวัน” แต่เดิมทีเดียวมี ๗ ชั้น (ปราสาท ๗ ชั้น) คราวหนึ่งได้เกิดเหตุ “ไฟใหม้” ที่วิหารหลังนี้ ชาวเมืองจึงได้สร้างวิหารหลังใหม่เป็น ๒ ชั้นขึ้นทดแทน
อย่างไรก็ตาม หากอ่านเฉพาะบันทึก เราอาจนึกภาพความ “ยิ่งใหญ่” ของ “เชตวันมหาวิหาร” ได้แบบ “เลือนลาง”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไปยึดเอาซาก “โบราณสถาน” ที่ “ตำราฝรั่ง” อ้างว่าคือ “เชตวัน” ในเมือง “สาเหท-มาเหท” ที่อินเดียมาเปรียบเทียบแล้วนึกภาพตาม
ก็จะยิ่งทำให้ “มอง” ภาพของ “เชตวันมหาวิหาร” ได้พร่ามัวหนักกว่าเก่า
เพราะที่ “อินเดีย” มีแต่ซากโบราณสถานที่อ้างว่า “เก่าแก่” หลายพันปี และสร้างด้วย “อิฐ” ทั้งหมด ในขณะที่ “เชตวันมหาวิหาร” ในบันทึกของหลวงจีนฟาเหียนนั้นกลับบอกว่า “เชตวันมหาวิหาร” นั้นสร้างด้วย “ไม้”
ซึ่งขัดแย้งกันแบบตรงกันข้าม
ดังนั้นถ้าจะให้เห็นภาพที่ “ชัดเจน” และ “ถูกต้อง” กว่า ก็ต้องค้นหาภาพวาดหรือภาพร่าง “เชตวันมหาวิหาร” (ของจริง) ให้พบ และแอดมินก็เชื่อว่าท่านหลวงจีนฟาเหียนได้วาด “แผนผัง” วิหารเอาไว้ด้วย เนื่องจากมีข้อความในบันทึกตอนหนึ่งดังนี้
“ได้พักอยู่ (ท่าเรือตามลิปติ) ๒ ปี เพื่อทำการคัดเขียนพระสูตร และ ‘วาดภาพ’ พระพุทธปฏิมา”
คำว่า “วาดภาพ” ่จึงหมายความว่า ท่านหลวงจีนฟาเหียนมีความสามารถและมีอุปกรณ์สำหรับวาดภาพติดตัวท่านอยู่ด้วยตลอดเวลา
แอดมินเชื่อว่าท่านได้ “วาดภาพ” หรืออย่างน้อยที่สุดต้องทำ “แผนผัง” ของสถานที่ต่าง ๆ เอาไว้ด้วย และหนึ่งในภาพที่ท่านวาดไว้น่าจะต้องมี “เชตวันมหาวิหาร” ที่ท่านได้นำกลับไปด้วย
แน่นอนว่าแอดมินได้ไปค้นหามาให้แล้วครับ (ดูภาพประกอบ Ep)
…
ภาพนี้มาจากไหน?
ในปีพ.ศ. ๑๒๑๐ หลวงจีน “เต้าซวน” 道宣 พระเถระสำคัญองค์หนึ่งของจีนในสมัยราชวงศ์ถัง ได้รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับ “เชตวันมหาวิหาร” ที่มีกล่าวในพระไตรปิฎก (ฉบับจีน) และบันทึกของภิกษุท่านต่าง ๆ ที่เคยไปจาริกแสวงบุญที่ “เชตวันมหาวิหาร” ที่่เมือง “สาวัตถี” ในชมพูทวีปมาก่อน
และได้จัดทำเป็น “คัมภีร์พร้อมภาพประกอบ” ที่ให้รายละเอียดจำนวนมากของ “พระเชตวันมหาวิหาร” ทั้งหมดไว้ในคำภีร์เล่มนี้
ปัจจุบันภาพประกอบของ “เชตวันมหาวิหาร” ของหลวงจีน “เต้าซวน” ที่ยังคงหลงเหลืออยู่มีเพียง “ภาพสำเนา” (ซึ่งก็คือภาพประกอบ Ep นี้) ที่วาดใหม่ในปีพ.ศ. ๑๖๙๕ (สมัย “ราชวงศ์ซ่งใต้”) โดยคัดลอกจากภาพ “แกะสลัก” ที่ทำขึ้นในสมัยของหลวงจีน “เต้าซวน” ก่อนที่จะสูญหายไปจนหมดแล้วในปัจจุบัน
ท่านหลวงจีน “เต้าซวน” ได้ระบุว่าข้อมูลสำคัญ ๆ ส่วนใหญ่ในคัมภีร์ที่ท่านแต่งขึ้นและภาพประกอบนี้ ได้มาจาก “บันทึก” (ที่น่าจะรวมถึงภาพวาด) ของ “หลวงจีนฟาเหียน” และข้อมูลจากพระไตรปิฎก (ฉบับจีน) เป็นหลัก
และเนื่องจากท่านไม่เคยเดินทางไป “ชมพูทวีป” แต่ได้ให้ภาพและรายละเอียดของ “เชตวัน” เอาไว้เป็นจำนวนมาก ดังนั้น “นักวิชาการจีน” และ “นักวิชาการตะวันตก” จึงพยายามค้นหากันว่า
ท่านไปได้ "ภาพ" และ “ข้อมูล” ประกอบการเขียนมาจากไหน?
น่าเสียดายที่ “ข้อสรุป” ของนักวิชาการส่วนใหญ่เหล่านี้ (ที่ยังยึดมั่นอยู่กับ “อินเดีย”) เชื่อว่าท่านได้ใช้ตัวอย่างจากวัดสำคัญใน “ประเทศจีน” มาเพิ่มเติมเข้าไปในภาพ (เพราะมันดูไม่เหมือน “อินเดีย” เอาเสียเลย)
โดยลืมนึกไปว่า ก่อนหน้านั้น “วัดจีน” ทั้งหมดก็อาจยึดถือรูปแบบมาจาก “เชตวันมหาวิหาร” จากข้อมูลอันมีอยู่ก่อนที่หลวงจีน “เต้าซวน” จะเขียนคัมภีร์ขึ้นมาก็ได้เช่นกัน (คือ ยึดรูปแบบมาจากภาพ “เชตวันมหาวิหาร” ของที่หลวงจีนท่านอื่นเคยเดินทางไปเห็นมาแล้วจริง ๆ)
และสำหรับแอดมินแล้ว “เชื่อว่า” ท่านได้ “ภาพร่าง” หรือ “แผนผัง” อย่างละเอียดจาก “บันทึก” ของหลวงจีนฟาเหียนโดยตรงมากกว่า (แอดจะบอกเหตุผลให้ในตอนท้าย ๆ ครับ)
…
[“เชตวันมหาวิหาร” ของหลวงจีน “เต้าซวน”]
ตัวอย่าง “คำบรรยาย” โครงสร้างสำคัญ ๆ ของ “เชตวันมหาวิหาร” ที่หลวงจีน “เต้าซวน” กล่าวไว้ใน “คัมภีร์พร้อมภาพประกอบ” มีดังนี้
…………………………………
📖 “วัดพระเชตวันมีพื้นที่ทั้งหมด ๒,๗๐๐ ไร่ (๔.๓ ตารางกิโลเมตร) และมีการสร้างวิหารเพิ่มขึ้นใหม่หลายครั้งนับตั้งแต่ก่อตั้ง ซึ่งทำให้กล่าวกันว่าวัดแห่งนี้มีวิหาร (น่าจะเป็นกุฏิสงฆ์) มากถึง ๑๒๐ หลัง ซึ่ง ๗๒ หลังเป็นวิหารดังที่แสดงอยู่ในภาพนี้
กล่าวกันว่าวัดแห่งนี้ประกอบด้วยบริเวณ ‘วิหารใหญ่’ ของ ‘พระพุทธเจ้า’ (ตรงกึ่งกลาง) ซึ่งล้อมรอบด้วย ‘วิหารย่อย’ จำนวนมาก
โดยทั้งหมดอยู่ในบริเวณที่มีกำแพงล้อมรอบ มีถนนสายใหญ่ ๖ สายทอดยาวในทิศทางเหนือ-ใต้ และตะวันออก-ตะวันตก ซึ่งตัดกันไปมา
แกนหลัก ๒ แกนของอารามกล่าวกันว่า เป็นถนนสายกลางวางแนว ‘เหนือ-ใต้’ ที่นำไปสู่ ‘วิหารใหญ่’ ของพระพุทธเจ้าโดยตรง และถนนสายกลางตะวันออก-ตะวันตกที่ทอดยาวไปทางทิศใต้ของวิหารใหญ่ระหว่างประตูกลางด้านตะวันออกและตะวันตก
ส่วนกำแพงรอบนอกกล่าวกันว่ามีประตูทั้งหมด ๙ ประตู ตั้งอยู่ที่กำแพงฝั่งทิศตะวันออก ทิศใต้ และทิศตะวันตก ข้างละ ๓ ประตู
กล่าวกันว่าบริเวณวัดมี ‘วิหารใหญ่’ ที่ประทับของพระพุทธเจ้าอยู่ตรงกลางของวัด (ปราสาทไม้ ๗ ชั้นที่ถูกไฟใหม้ ต่อมาสร้างใหม่เป็น ๒ ชั้น - แอดมิน) ซึ่งหันหน้าออกทางเดินใหญ่ (ภายในวัด) สายตะวันออก-ตะวันตก โดยมีวิหารย่อยอีก ๓ แห่งล้อมรอบวิหารที่ประทับของพระพุทธเจ้าทั้งสามด้าน (ที่อาจเป็นวิหารสำหรับพระอัครสาวกใช้สอนธรรมแยกต่างหาก -แอดมิน)”
……………………………. 📖
(หมายเหตุ - จะเห็นว่าด้วยขนาดแล้ว ‘วัดพระเชตวัน’ จึงน่าจะเป็น ‘มหาวิทยาลัยสงฆ์’ ในสมัยพุทธกาลนั่นเอง และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทรงประทับอยู่ที่เมืองสาวัตถีมากที่สุดถึง ๒๕ พรรษา - แอดมิน)
…
เมื่อพิจารณาในรายละเอียดไปพร้อมกับภาพวาดนี้ จะเห็นว่าโครงสร้างของ “เชตวันมหาวิหาร” น่าจะทำด้วย “ไม้” ทั้งหมด และวิหารหลัก ๆ ส่วนใหญ่สร้างแบบ “ปราสาท ๕-๗ ชั้น” ตรงตามที่มีกล่าวในพระไตรปิฎกว่า
อาคารสำคัญ ๆ สมัยพุทธกาลนิยมสร้างเป็น “ปราสาท” ไม้ ๗ ชั้น
ส่วนสำคัญในภาพอีกอย่างหนึ่งก็คือ “ระเบียงคด” หลายชั้นล้อมรอบจุดศูนย์กลาง คือ “วิหารใหญ่” ตรงกลาง ซึ่งเป็นแผนผัง “วัด” ในลักษณะที่เราเห็นกันจน “ชินตา” ในบ้านเราอย่างชัดเจนที่ไม่เคยพบที่ “อินเดีย”
และถึงแม้ว่าวิหารทั้งหมดในภาพจะดูเหมือน “วัดจีน” ตรงนี้อธิบายได้ว่า น่าจะเป็นเพราะช่าง “ชาวจีน” ผู้วาด (รวมถึงท่านหลวงจีนเต้าซวน) ไม่คุ้นเคยกับวิหารแบบบ้านเราจึงเขียนออกมามี “กลิ่นอาย” ของ “จีน” ปนอยู่มาก
ดังนั้นแอดมินจึงมีคำแนะนำว่า ให้ดูเฉพาะ “โครงสร้าง” และ “รูปแบบ” อาคาร เพื่อเปรียบเทียบกับโครงสร้างของเจดีย์ทรงปราสาท เช่น “เจดีย์กู่กุด” หรือ “สุวรรณเจดีย์” ที่ “ลำพูน” แทนครับ
และยังมีข้อสังเกตอีกว่า “อาคารหมายเลข 9” ในภาพระบุว่าเป็น “เจดีย์ ๗ ชั้น” สำหรับ “พระพุทธรูป” จึงควรเป็นเจดีย์ที่ประดิษฐาน “พระแก่นจันทน์” นั่นเอง
…
สำหรับภาพ “เชตวันมหาวิหาร” ของหลวงจีน “เต้าซวน” นี้ แอดมินจะไม่ขอลงรายละเอียด เพราะค่อนข้าง “ซับซ้อน” ที่ยังต้องศึกษากันอีกมาก และไม่ใช่เนื้อหาหลักของ Ep นี้
แต่อยากให้แฟนเพจสังเกต “จุดเด่น” ของภาพ คือ “เสาหงส์ - ธงตะขาบ” ๒ ต้นตรงกลาง
ที่ “นักวิชาการต่างชาติ” ทั้งหมดที่ได้ศึกษาภาพนี้ “มองไม่เห็น”
ซึ่งแอดมินเคยย้ำไว้ใน Ep ที่ผ่านมาไปแล้วว่าชาว “สาวัตถี” หรือคน “อู่ทอง” สมัยพุทธกาล ก็คือคน “มอญ”
และนี่คือ “เหตุผล” ที่ทำให้แอดมินเชื่อว่าภาพนี้เขียนขึ้นจาก “ภาพร่าง” หรือ “แผนผัง” อย่างละเอียดจากบันทึกของหลวงจีนฟาเหียน หรือหลวงจีนท่านอื่นที่เคยมา “บ้านเรา” ครับ
เพราะถ้าไม่เคยมาเห็นด้วยตาตนเอง ก็จะไม่สามารถเขียนภาพ “เสาหงส์ - ธงตะขาบ” ออกมาได้ “ถูกต้อง” ขนาดนี้อย่างแน่นอน
“เสาหงส์ - ธงตะขาบ” ที่ปรากฏอยู่ในภาพ “เชตวันมหาวิหาร” ในเอกสารของจีนนี่แหละครับ ที่เป็น “หลักฐาน” สำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่ยืนยันว่า ท่านหลวงจีนฟาเหียนรวมทั้งหลวงจีนท่านอื่น ๆ ที่มีบันทึกว่าได้เดินทางมายัง “ชมพูทวีป”
ทุกท่านจึงหมายถึง “บ้านเรา” นี่เองครับ ไม่ใช่ “อินเดีย”
…
ไหน ๆ ก็พูดถึง “เสาหงส์” และ “ธงตะขาบ” แล้ว แอดเลยขอเอาตำนานเรื่องนี้มาลงไว้ด้วยเลยครับ
………………………………..
[เรื่อง เสาหงส์]
“ตำนาน” และความเชื่อเรื่อง “เสาหงส์” ของ “ชาวมอญ” ในประเทศไทยยังเป็นเรื่องที่ยังหาข้อสรุปไม่ได้ และต้องค้นคว้าหาหลักฐานเพิ่มเติมกันอยู่
แต่ที่ค่อนข้างชัดเจนก็คือ “เสาหงส์” เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของความเป็น “มอญ” ในประเทศไทย และสามารถพบได้ในวัดต่างๆ ที่มีประชากรชาวมอญจำนวนมาก
และสำหรับแอดมินแล้ว จากที่ได้นำเสนอมาโดยตลอดว่าชาวเมือง “สาวัตถี” (หรือ “อู่ทอง”) หรือโดยรวม “แคว้นโกศล” คือ พื้นที่อย่างน้อยตั้งแต่ “นครปฐม” จากแม่น้ำท่าจีนทางฝั่งตะวันตกยาวตลอดไปจนถึงแม่น้ำปิงที่ “ลำพูน” ก็คือ “มอญ”
ดังนั้น “เสาหงส์” ของมอญในประเทศไทยจึงไม่น่าจะใช่ “สัญลักษณ์” ของการลำรึกถึง “เมืองหงสาวดี” หรือเป็นสิ่งแสดงความหวังที่จะกลับคืนสู่ความเป็นอิสระของชนชาติมอญ
แต่ “หงส์” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเป็น “มอญ” นี้น่าจะเพิ่มเข้ามาในยุคหลัง ๆ ที่อาจหมายถึง “ราชวงศ์” ของกษัตริย์
แต่ “คติ” ที่น่าจะใกล้เคียงมากกว่าก็คือ “คติ” การสร้าง “เสาธง” เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า (ธงตะขาบ) โดยถือกำเนิดขึ้นที่ “วัดเชตวัน” นี่เอง
ตามตำนาน “ธงตะขาบ” ดังต่อไปนี้ (แอดมินทำเส้นแบ่งไว้ให้แล้ว)
[ …………………………………………………
📖 [ตำนานธงตะขาบมอญ]
(นานมาแล้ว) ในบริเวณเชิงเขาสิงฆุตตระ มี “ตะขาบ” ใหญ่ตัวหนึ่งเที่ยวจับช้างกินเป็นอาหาร เมื่อกินเนื้อช้างแล้ว ก็เอากระดูกและงาช้างมาทำรังเป็นที่อยู่อาศัยวัดความสูงได้ประมาณ ๗ ชั่วลำตาล เมื่อนานวันเข้าช้างในบริเวณเขาสิงฆุตตระลดน้อยลงและหายาก
จึงได้เที่ยวไปหาล่าช้างเป็นอาหารยังสถานที่ห่างไกลออกไป
ที่บริเวณภูเขาสิงฆุตตระนั้น มีฤาษีอาศัยอยู่ ๑๐ ตน มีชื่อว่า ๑. ราคะ ๒. สิริ ๓. ทัตตะ ๔. สิรินทะ ๕. ทันตะ ๖. อาขัมมะ ๗. เอกกะ ๘. โกชะ ๙. อมตะ ๑๐. สีทันตะ ทั้ง ๑๐ ตนนี้เป็นผู้มีฌานและอภิญญา และได้ทำกติกากันไว้ว่า
ทุกคืนพวกเราจะแสดงแสงประทีปให้ปรากฏแก่กันและกัน หากวันใดไม่เห็นแสงประทีปบนภูเขาที่ฤาษีตนใดอาศัยอยู่ เหล่าฤาษีซึ่งเป็นสหายกันทั้งหมดจะต้องไปประชุมพร้อมกันที่ภูเขาแห่งนั้น เพื่อจะได้รับทราบสาเหตุความเป็นเป็นไปแห่งฤาษีตนที่ไม่แสดงแสงประทีปนั้น
จำเนียรกาลต่อมา ฤาษีผู้เป็นหัวหน้าชื่อว่า ราคะ ได้เกิดเจ็บป่วยขึ้น จึงไม่ได้แสดงแสงประทีปให้ปรากฏ
เหล่าฤาษีนอกนั้นไม่เห็นแสงประทีปของท่าน จึงได้มาประชุมกันยังที่อยู่ของราคะฤาษีกันทั้งหมด แม้ฤาษีเหล่านั้นจะช่วยกันรักษาอย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถจะรักษาอาการป่วยของราคะฤาษีให้ทุเลาลงได้ และได้ถึงแก่อนิจกรรมไปในที่สุด
ราคะฤาษีเมื่อตายไปแล้วก็ไปเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดินในเมืองแห่งหนึ่ง ปกครองไพร่ฟ้าประชาชีอย่างสงบร่มเย็น
ต่อมาพระองค์เกิดประชวรปวดพระเศียรอย่างแรงกล้า แม้พวกแพทย์หลวงจะถวายการรักษาอย่างไรก็ตามอาการประชวรก็ไม่สงบ พระองค์จึงรับสั่งให้บวงสรวงเทวดา ตกกลางคืนเทวดาบันดาลให้พระองค์ทรงพระสุบินว่า
ข้าแต่มหาบพิตร อาการประชวรปวดพระเศียรของพระองค์ ถ้าจะให้หายขาดนั้น พระองค์จะต้องนำเอาแก่นจันทน์ไปขอขมาลาโทษหมู่ฤาษีที่อาศัยอยู่ที่ภูเขาสิง ฆุตตระโน้น
ครั้นรุ่งอรุณพระองค์ทรงรับสั่งให้หมู่เสนามาตย์นำเอาแก่นจันทน์ขาวประมาณ ๗ ลำเรือมุ่งหน้าไปสู่ “ภูเขาสิงฆุตตระ” เมื่อเสด็จไปถึงที่อยู่ของหมู่ฤาษี หมู่ฤาษีจึงถามขึ้นว่า พระองค์พากันมาจากสถานที่แห่งไหนหรือ
พระราชาตรัสถามว่า พระคุณท่านไปไหนกันหมดหรือ เรามาเพื่อจะขอขมาลาโทษพระคุณท่านทั้งหลาย หมูฤาษีได้ฟังพระองค์ตรัสอย่างนั้น จึงพากันหัวเราะ แล้วทูลกับพระองค์ว่า ในอดีตกาลชาติที่ผ่านมาแล้วนั้น พระองค์เป็นอาจารย์ของพวกเรา มีชื่อว่า ราคะฤาษี เมื่อพระองค์ได้จุติไปแล้ว ด้วยเหตุที่พระองค์มีใจผูกพันอยู่กับทรัพย์สิ่งของ จึงได้ไปเกิดเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
แล้วบอกต่อไปอีกว่า แก่นจันทน์ขาวที่พระองค์นำมานั้น ขอให้พระองค์นำไปฝนที่บริเวณพระเศียรของพระองค์เถิด พระราชาจึงนำแก่นจันทน์ขาวไปฝนที่พระเศียรของพระองค์ ปรากฏว่าอาการปวดพระเศียรหายขาดเป็นปลิดทิ้ง
พระองค์พร้อมด้วยพฤฒามาตย์ราชบริพาร ได้เสด็จประพาสชมบริเวณรอบ ๆ ภูเขาแห่งนั้น พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นกอง “งาช้าง” ที่ “ตะขาบ” ทำรังไว้ที่เชิงภูเขาแห่งนั้นเข้า
จึงรับสั่งให้ราชบริพารที่ติดตามเสด็จขนงาช้างงาลงเรือจนเต็ม ๗ ลำเรือแล้ว พระองค์ก็ทูลลาหมู่ฤาษีแล้วเสด็จกลับยังพระนคร
ขณะที่เรือกำลังแล่นออกไปนั้น ก็พอดีกับเวลาที่ “ตะขาบ” ได้กลับมาจากกันเที่ยวหาช้างกินเป็นอาหาร มันไม่พบรังของมันซึ่งแต่เดิมตั้งตระหง่านประมาณ ๗ ชั่วลำตาล มันเที่ยวตามหาบนบกจนทั่วก็ไม่พบ จึงตามไปที่ทะเลก็ได้พบกับเรือ ๗ ลำที่บรรทุกงาช้างของตนกำลังแล่นออกไป มันจึงไล่ตามไปอย่างกระชั้นชิด
ณ บริเวณกลางทะเลใหญ่ที่เรือแล่นไปนั้น มี “ปูยักษ์” อาศัยอยู่ตัวหนึ่ง มีชื่อว่า “คันธัพพะ” ปูมันเหลือบไปเห็นตะขาบที่กำลังไล่ตามเรือมาด้วยความโกรธ ปูจึงคิดในใจว่า น่าจะมีเหตุไม่ดีบางประการ และเป็นอันตรายกับตนเป็นแน่ จึงได้อ้าก้ามค้างไว้เพื่อป้องกันตัว
ปรากฏว่าเรือทั้ง ๗ ลำมีขนาดเล็กกว่าช่วงระยะอ้าก้ามของปูจึงลอดไปได้โดยไม่กระทบกับก้ามปูแต่ อย่างใด ส่วนตะขาบด้วยเหตุที่มันตัวใหญ่มากเมื่อไล่ตามเรือไปตัวของมันกระทบถูกก้าม ปูเข้า ปูจึงได้หนีบตะขาบจนขาดเป็น ๓ ท่อน ตาย ณ ที่ท่ามกลางทะเลใหญ่นั้น
เนื้อตะขาบที่ขาดจมลงไปนั้น “กุ้งมังกร” มีชื่อว่า “โกสะ” กินจนหมดสิ้น
พระราชาครั้นเสด็จถึงพระนครแล้ว ก็รับสั่งให้ขนงาช้างที่นำมาแต่ภูเขาสิงฆุตตระสร้างเป็นปราสาท ๗ ชั้น ในอาณาบริเวณพระราชวังของพระองค์
อยู่มาวันหนึ่ง พระองค์ทรงสุบินว่า มีตะขาบยักษ์ตัวหนึ่งจะมาทำลายปราสาทที่พระองค์สร้างไว้ เมื่อพระองค์ตื่นจากบรรทมแล้วก็รับสั่งให้โหรหลวงทำนายสุบินของพระองค์
โหรหลวงได้ถวายคำทำนายว่า เหตุที่พระองค์ทรงสุบินเช่นนั้น เป็นเพราะพระองค์ได้นำเอางาช้างซึ่งเป็นรังที่อยู่อาศัยของตะขาบมาทำปราสาท และเป็นสาเหตุให้ตะขาบต้องจบชีวิตลงด้วยถูกปูหนีบ จึงเกิดความอาฆาตในพระองค์
พระราชาจึงตรัสถามว่า แล้วเราจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร โหรหลวงจึงได้ถวายคำแนะนำว่า ขอให้พระองค์นำเอา “ผ้าผืนใหญ่” เขียนเป็นรูป “ตะขาบ” แล้วนำไปแขวนไว้บนยอดปราสาท เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่า ตะขาบเป็นเจ้าของปราสาทหลังนี้
เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลไปให้ตะขาบ และเป็นการขอขมาลาโทษ จะได้หมดเวรหมดกรรมต่อกัน
จากประวัติความเป็นมาข้างต้น ก็แสดงให้รู้ถึงว่า คติความเชื่อเรื่องธงตะขาบนั้น เป็นความเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับ “การตอบแทนคุณ” และ “การอุทิศผลบุญ” แก่ผู้มีคุณซึ่งล่วงลับไปแล้ว ตามหลักของพระพุทธศาสนาของชาวมอญโดยทั่วไป
ซึ่งในปัจจุบันก็ยังมีหลักฐานให้ได้เห็นอยู่ ในพิธีกรรมการเก็บอัฐิ และการทำบุญบังสุกุลในเทศกาลสงกรานต์ให้แก่ผู้มีพระคุณซึ่งล่วงลับไปแล้ว วัสดุที่จะขาดเสียไม่ได้ ก็คือ “ธง” (ตะขาบ - แอดมิน)
ผู้ที่เป็นลูกหลานญาติพี่น้องจะนำ “ธงตะขาบ” ไปปักบริเวณที่บรรจุอัฐิบรรพบุรุษของตน เพื่อเป็นการน้อมระลึกถึงบุญคุณ และอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน เช่นเดียวกับการที่พระราชารับสั่งให้แขวน “ธงตะขาบ” ไว้ที่ยอดประสาทของพระองค์
(จบ ตำนานธงตะขาบมอญ - พระมหาจรูญ ญาณจารี) 📖
……………………………………… ]
“ธงตะขาบ” บนเสา (ที่ไม่มีหงส์) ยังพบใน “ภาพวาด” ทางพุทธศาสนาของจีนโบราณเมื่อราว ๑๖๐๐ ปีก่อน ที่เขียนขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๑ หลายภาพด้วยกัน
และเป็นองค์ประกอบสำคัญ “ควบคู่” ไปกับภาพ “พระพุทธเจ้า” เสมอ (ดูภาพประกอบ)
ส่วนภาพ “เสาหงส์” ปรากฏอย่างเด่นชัดอยู่ในรูป “เชตวันมหาวิหาร” ของหลวงจีนเต้าซวน (และภาพที่ถ้ำตุนหวงอีกหลายภาพ) จึงค่อนข้างชัดเจนว่า “เสาหงส์ - ธงตะขาบ” มีมาแล้วอย่างน้อยตั้งแต่แรกมีพระพุทธศาสนา หรือมากกว่า ๒๕๐๐ ปีมาแล้วครับ
…
สำหรับภาพ “เสาหงส์ - ธงตะขาบ” ที่แอดมินนำเสนอมาทั้งหมดนี้ ในมุมมองของ fc “อินเดีย” ท่านอาจจะมองเป็นอย่างอื่นก็ได้ ซึ่งแล้วแต่มุมมองของใครของมันครับไม่ว่ากัน
ส่วนแอดมอง “หลายรอบ” แล้ว กี่รอบ ๆ ก็ยังเห็นเป็น “เสาหงส์ - ธงตะขาบ” เหมือเดิม
คงต้องฝากแฟนเพจช่วยดูกันอีกทีครับ
…
เรื่องราวของ “เชตวัน” ยังไม่หมดแค่นี้
เพราะภาพ “เชตวันมหาวิหาร” ที่แอดมินค้นหามาได้ นอกจากจะมีของ “จีน” แล้ว ยังมีของชาว “ญี่ปุ่น” ที่เคยมา “ชมพูทวีป” อีกด้วย
แต่ “เชตวันมหาวิหาร” ของชาว “ญี่ปุ่น” จะมีหน้าตาเป็นอย่างไรนั้น ติดตามกันต่อได้ใน Ep หน้านะครับ
…
🙏 ขอบพระคุณแฟนเพจทุกท่าน ที่ติดตามอ่านกันมาโดยตลอด
🚕🚲🚐🛺มาเที่ยวชมพูทวีปบนแผ่นดินไทยกันดีกว่า ❤️ เที่ยวไม่ต้องแย่งใคร … ได้อานิสงส์เท่ากันครับ 🙏🙏🙏
…
📖 ธงตะขาบมอญ - คติความเชื่อเรื่องตอบแทนบุญคุณ
https://www.openbase.in.th/node/10034
บันทึก
2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ตามหาสาวัตถี
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย