13 มิ.ย. เวลา 13:30 • สิ่งแวดล้อม

ใบสั่งยาสีเขียว เมื่อคุณหมอต้องเลือกระหว่าง "ดีต่อเรา" กับ "ดีต่อโลก"

ชีวิตประจำวันของผมเต็มไปด้วยการให้คำปรึกษาเพื่อให้ผู้ป่วยใช้ยาได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยที่สุด เราทุกคนต่างรู้ดีว่ายาคือปัจจัยสำคัญที่ช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บและทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่เคยสงสัยกันไหมครับว่า... หลังจากที่ยาเข้าไปทำหน้าที่ในร่างกายของเราแล้ว ส่วนที่เหลือของมันเดินทางไปที่ไหนต่อ?
ถ้าใครได้อ่านบทความที่ผมเขียนก่อนหน้านี้ที่ชื่อว่า ยาที่เราใช้...ไปไหนต่อ? และส่งผลกระทบอย่างไร ก็พอจะทราบว่ายาที่ถูกขับออกจากร่างกายหรือยาที่ถูกทิ้งอย่างไม่ถูกวิธีนั้น ไม่ได้หายไปไหน แต่มันจะปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำและสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า "มลพิษจากยา" ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและอาจย้อนกลับมาส่งผลต่อสุขภาพของเราได้ในระยะยาว
วันนี้ผมจึงอยากจะพาทุกท่านไปสำรวจเบื้องหลังความคิดของคุณหมอ ผ่านงานวิจัยชิ้นล่าสุดจากประเทศสวีเดนที่ชื่อว่า "Towards greener prescribing?" ซึ่งศึกษาว่าเหล่าคุณหมอที่คลินิกใกล้บ้าน (General Practitioners) มีมุมมองต่อเรื่องนี้อย่างไร และพวกเขาพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนการสั่งยาเพื่อ "โลก" ของเรามากน้อยแค่ไหน
โจทย์สุดท้าทาย เมื่อคุณหมอต้องเลือกยา
ทีมวิจัยได้สร้างสถานการณ์สมมติขึ้นมา 3 กรณี คือ การรักษาอาการปวด, การลดความดันโลหิตสูง และการคุมกำเนิด จากนั้นให้คุณหมอเลือกระหว่างยาสมมติ 2 ชนิด คือ
ยา A: มีประสิทธิภาพในการรักษาสูง แต่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาก
ยา B: มีประสิทธิภาพในการรักษาต่ำกว่าเล็กน้อย แต่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า
ผลลัพธ์ที่ได้น่าสนใจมากครับ
สำหรับเคส การรักษาอาการปวด และ การลดความดันโลหิตสูง คุณหมอส่วนใหญ่ถึง 77% หรือเกือบ 8 ใน 10 คน ยอมเลือกยาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า แม้ประสิทธิภาพจะลดลงเล็กน้อยก็ตาม นี่เป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นว่าคุณหมอจำนวนมากตระหนักและให้ความสำคัญกับปัญหาสิ่งแวดล้อม พวกเขามองว่าการลดประสิทธิภาพลงนิดหน่อยเพื่อแลกกับการรักษาระบบนิเวศนั้นเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ โดยเฉพาะในการรักษาที่ไม่ต้องการความแม่นยำถึงขีดสุด
แต่สำหรับเคส การคุมกำเนิด ผลกลับต่างออกไป คุณหมอเพียง 50% เท่านั้นที่เลือกยาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เหตุผลนั้นตรงไปตรงมาและเข้าใจได้ไม่ยากครับ เพราะเป้าหมายหลักของการคุมกำเนิดคือการป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งประสิทธิภาพของยาต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง การลดประสิทธิภาพลงแม้เพียงเล็กน้อยก็อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่ต้องการได้
ในโลกความจริง... อะไรคือปัจจัยสำคัญในการสั่งยา?
งานวิจัยไม่ได้หยุดอยู่แค่สถานการณ์สมมติ แต่ยังถามคุณหมออีกว่าในชีวิตจริง พวกเขาให้ความสำคัญกับปัจจัยอะไรบ้างเมื่อต้องเขียนใบสั่งยา ผลปรากฏว่า
คำแนะนำจากคณะกรรมการยา (DTCs): มาเป็นอันดับหนึ่ง คุณหมอถึง 86% บอกว่าพวกเขาพิจารณาปัจจัยนี้บ่อยหรือเสมอ
ต้นทุนค่ารักษา: เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ถูกพิจารณาอย่างมาก
ความสะดวกของผู้ป่วย: เช่น จำนวนครั้งที่ต้องกินยาต่อวัน
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: น่าเสียดายที่ปัจจัยนี้ถูกจัดให้อยู่ในอันดับท้ายสุด โดยมีคุณหมอเพียง 24% ที่บอกว่านำมาพิจารณาบ่อยหรือเสมอ
ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่าง "ความตั้งใจ" กับ "การปฏิบัติจริง" แม้คุณหมอส่วนใหญ่ (กว่า 68%) จะเห็นด้วยว่าแพทย์ควรพิจารณาเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ในทางปฏิบัติกลับทำได้ยาก เหตุผลส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการเข้าถึงข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมของยาแต่ละตัวนั้นยังทำได้ยากและต้องใช้เวลา ซึ่งไม่เหมาะกับสถานการณ์ในห้องตรวจที่ต้องดูแลผู้ป่วยจำนวนมาก
แล้วใครควรเป็นผู้รับผิดชอบหลัก?
นี่คือคำถามสำคัญที่สุดของเรื่องนี้ และมุมมองของคุณหมอสวีเดนก็น่าสนใจมากครับ พวกเขาส่วนใหญ่มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ความรับผิดชอบหลักควรอยู่ที่ "ผู้มีอำนาจและภาคอุตสาหกรรม" มากกว่าจะผลักภาระมาให้แพทย์หรือผู้ป่วยเพียงฝ่ายเดียว
94% เห็นด้วยว่า บริษัทผู้ผลิตยา ควรถูกบังคับให้ออกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น
92% เห็นด้วยว่า บริษัทผู้ผลิตยา ควรต้องเปิดเผยข้อมูลผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของผลิตภัณฑ์ตัวเอง
78% เห็นด้วยว่า หน่วยงานภาครัฐ ควรนำปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมมาพิจารณาในการอนุมัติยาใหม่ๆ
ในขณะเดียวกัน ความคิดเห็นที่ได้รับการสนับสนุนน้อยที่สุดคือการให้ "ผู้ป่วย" เป็นฝ่ายร้องขอยาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจสะท้อนว่าคุณหมอรู้สึกว่านี่เป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ป่วยที่กำลังเจ็บป่วยมากเกินไป
บทสรุปและก้าวต่อไปของ "ใบสั่งยาสีเขียว"
เรื่องราวจากสวีเดนบอกเราอย่างชัดเจนว่าเหล่าบุคลากรทางการแพทย์ทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงปัญหามลพิษจากยาแล้ว พวกเขา "เต็มใจ" ที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลง แต่ความเต็มใจอย่างเดียวอาจไม่พอ พวกเขาต้องการการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ
การจะทำให้ "ใบสั่งยาสีเขียว" เกิดขึ้นได้จริงนั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่ภาครัฐที่ต้องออกนโยบายและกฎหมายที่เอื้ออำนวย, บริษัทยาที่ต้องมีความรับผิดชอบในการผลิตและเปิดเผยข้อมูล, ไปจนถึงการสร้างเครื่องมือที่ช่วยให้คุณหมอเข้าถึงข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมของยาได้ง่ายและรวดเร็วในระหว่างการตรวจ
สำหรับพวกเราในฐานะผู้ป่วยและประชาชนทั่วไป การรับรู้และเข้าใจถึงปัญหานี้คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด การจัดการยาเหลือใช้อย่างถูกวิธี เช่น การนำไปคืนที่โรงพยาบาลหรือร้านยาที่มีโครงการรับยาคืน (ไม่ทิ้งลงชักโครกหรือถังขยะทั่วไป) ก็เป็นสิ่งเล็กๆ ที่เราทุกคนสามารถทำได้เพื่อช่วยลดผลกระทบต่อโลกของเรา
สุดท้ายนี้ ผมอยากทิ้งท้ายด้วยคำถามให้ทุกท่านได้ลองขบคิดกันดูครับว่า หากวันหนึ่งคุณหมอให้ตัวเลือกระหว่างยาที่ออกฤทธิ์ดีที่สุดกับยาที่เป็นมิตรต่อโลกที่สุด... คุณจะเลือกอะไร? คำตอบของท่านอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยกำหนดทิศทางของวงการแพทย์และสาธารณสุขในอนาคตได้ครับ
แหล่งอ้างอิง:
Villén, J., Laux, J., Wettermark, B., Kälvemark Sporrong, S., Nekoro, M., & Håkonsen, H. (2025). Towards greener prescribing? Swedish general practitioners' support for policies to reduce pharmaceutical pollution. British Journal of Clinical Pharmacology, 91(6), 1623-1631.
โฆษณา