8 มิ.ย. เวลา 03:30 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

ถ้าเสี่ยวหยูไม่ขายหุ้น ณ วันที่ Thunder Express มูลค่า30,000 หุ้นของเธอที่มีจะมีมูลค่าเท่าไหร่?

จากบทความก่อนหน้า เราได้ตั้งคำถามทำนองเดียวกันว่า มูลค่าหุ้นส่วนของเจ๊อลิซ หวัง ที่ลงทุนในบริษัทของพวกพระเอกนั้นจะมีมูลค่าเท่าไหร่กัน ณ วันที่บริษัทมีมูลค่า 30,000 ล้านบาท เราพอได้ตัวเลขคร่าวๆประมาณว่าจะอยู่ราวๆแถว 3,000 กว่าล้านบาท ซึ่งในมูลค่านี้มีสัดส่วนหุ้นของเสี่ยวหยูนางเอกของเราอยู่ เป็นสัดส่วน5% ณ วันก่อตั้งบริษัท
แต่บริษัทเกิดจำเป็นต้องการใช้เงินเพิ่ม บริษัทมีเงินสดไม่น่าพอจะยืนสู้ถึงวันแคมเปญ 11.11 ของบริษัทอีคอมเมิร์ซที่ต้องการหาดีลพันธมิตรในการส่งสินค้าปีหน้าเป็นเวลา1 ปี หากได้ดีลดังกล่าวจะทำให้บริษัทรอดพ้นจากวิกฤตต่างๆได้ เหตุการณ์ก็ดำเนินไปตามแบบบทละคร เนื้อเรื่องจะดำเนินไปยังไงนั้นคงไม่ขอลงในรายละเอียดตรงนี้ แต่สรุปว่าเสี่ยวหยูได้นำหุ้นของตัวเองไปขายให้กับอลิซ หวัง เพื่อที่จะได้เงินมาให้บริษัทใช้พยุงตัวและสู้ต่อในแคมเปญดังกล่าว นั่นจึงทำให้เสี่ยวหยูไม่มีหุ้นในบริษัทอีก
มีประเด็นนึงที่ชวนคิดก่อนที่เราจะไปกันต่อ ณ วันที่ เจ๊อลิซ หวัง เข้ามาถือหุ้น15% ด้วยเงินลงทุน15ล้านดอลลาร์ นั่นแปลว่า ทำให้บริษัทมีมูลค่าเทียบเท่า 100 ล้านดอลลาร์ หรือราว 3,300 ล้านบาท งั้นเรามาทบทวนสัดส่วนการถือหุ้น ณ ก่อนเจ๊อลิซ หวัง เข้ามาลงทุนจะเป็นดังนี้
สันติ 65%
รุ่ยเจี๋ย 30%
เสี่ยวหยู 5%
โครงสร้างหุ้นของ Thunder Express หลังได้มีการออกหุ้นใหม่ 15% จะทำให้หุ้นเก่าของสามคนแรกจะถูกเจือจางลง(Dilution) [จะคำนวณด้วย %ถือหุ้นใหม่ = %ถือหุ้นเก่า*(1-%หุ้นที่ออกใหม่)*100)] หมายความว่าเพิ่มหุ้นใหม่มา15% ก็ให้เอา85% (มาจาก1-15%) ไปคุณ%หุ้นของคนก่อนหน้าได้เลย จึงเป็นดังนี้
สันติ 65%*(85%)=55.25 % 
รุ่ยเจี๋ย 30%*(85%)=25.5 %
เสี่ยวหยู  5%*(85%)=4.25  %
อลิซ หวัง = 15%
มูลค่าบริษัท คือ 3,300 ล้านบาท
หากใครยังจำได้ในวันที่เสี่ยวหยูมาสัมภาษณ์งานกับสันติและรุ่ยเจี๋ยบอกไว้ว่าขอเวลาสองปีจะพาบริษัทไปที่มูลค่า2พันล้าน แม้ในซีรี่ส์ไม่ได้กล่าววันเวลาไม่ชัดเจน ความจริงแล้วในเวลาไม่ถึง 1 ปีด้วยซ้ำมูลค่าบริษัทก็อยู่ที่3,300 ล้านบาทแล้ว หากคิดมูลค่าหุ้นของที่เสี่ยวหยูมีจะเท่ากับ 3,300 ล้านบาท*4.25 % = 140.25ล้านบาท หมายความว่านางเอกสามารถไปหาใครมาซื้อหุ้นของเธอในราคาประมาณนี้ยังได้เลย หรือ ยอมขายที่ราคาต่ำกว่าประเมินสัก50% คือ 70.12 ล้านบาท ก็ยังพอได้อยู่
ในตามเนื้อเรื่องเสี่ยวหยูสามารถขายได้เพียง 34 ล้านกว่าบาท ก็นับว่าน้อยมากจากมูลค่าบริษัท ณ 3,300 ล้านบาท
จุดนี้เสี่ยวหยูขายถูกไปไหม ทำไมเจ๊แกโหดเหี้ยมเช่นนี้ นังงูพิษ! (ด่าแบบรุ่ยเจี๋ย)
แต่เราต้องไม่ลืมว่ามูลค่าที่ได้มานั้นเป็นเพียงการให้ราคามาจากสายตาของเจ๊อลิซ หวัง เพียงคนเดียวเท่านั้น (เพราะเป็นคนวงนอกคนเดียวที่ถือหุ้นบริษัทนี้อยู่)
จะมีฉากหนึ่งที่ทางพวกพระเอกได้ไปขอกู้เงินจากเจ๊อลิซ หวัง 100 ล้านบาท โดยจะคืนให้ในหนึ่งปีพร้อมดอกเบี้ย เจ๊อลิซไม่มีปัญหาที่จะให้กู้เงินก้อนนี้ แต่มีเงื่อนไขคือต้องคืนภายหกเดือน หากทำไม่ได้จะต้องแลกกับหุ้น(เปลี่ยนหนี้เป็นหุ้น)ให้เจ๊อลิซ หวัง อีก 15% นั่นแปลว่าในสายตาของเจ๊ให้ค่าอยู่ที่ประมาณ 666 ล้านบาท ณ ตอนที่มาขอเงินกู้
ดังนั้นการที่เสี่ยวหยูขายหุ้นได้ที่ 34 ล้านกว่าบาทจากสัดส่วนที่ตัวเองมีอยู่ (4.25% หลัง Dilution แล้ว) ในสายตาของเจ๊อลิซก็ควรซื้อไม่เกินที่ 666ล้านบาท*4.25% = 28.33 ล้านบาท แต่นี่ยอมซื้อที่ส่วนต่างแพงขึ้นเกือบๆ 6 ล้านบาท
ถ้าขยี้ต่อในจุดนี้อีกนิด แสดงว่าเจ๊อลิซให้ค่าบริษัทนี้อยู่ที่ 800 ล้านบาท (34ล้านบาท/800ล้านบาท=4.25%)
มีฉากก่อนหน้าที่นางเอกจะไปขายหุ้นให้เจ๊อลิซ คือเจ้าสัวคณินมาเสนอซื้อทั้งบริษัท ณ ที่ 1,200 ล้านบาท ซึ่งเจ้าสัวพูดด้วยซ้ำว่าประเมินจากกระแสเงินสดน่าจะอยู่แถวพันล้าน แต่นี่ปราณีให้เลยเสนอราคานี้ให้ ถ้าจะจริงที่เจ้าสัวปราณีกว่าเยอะจริงๆ
เจ๊อลิซ เขี้ยวลากดินกว่าเยอะนะ ณ จุดนี้ ไม่แปลกใจที่เจ๊แกจะสร้างผลตอบแทนให้ตัวเองมากมายมหาศาลจากบทความก่อนหน้าที่เราเคยเขียนถึง
ทีนี้เรากลับมาที แล้ว ถ้านางเอกไม่ได้ขายสัดส่วนของตัวเอง โดยสมมติให้มีแหล่งเงินกู้ยืมจากที่อื่นจนพระเอกและพวกชนะแคมเปญดังกล่าว แล้วดำเนินกิจการต่อไปอย่างที่เราเคยตั้งสมมติฐานไว้ว่า ได้มีการระดมทุนจากซีรี่ส์B C และD โดยในแต่ละขั้นแลกกับหุ้น15% ยืนพื้นจากเจ๊อลิซให้นับเป็นซีรี่ส์A ต่อจนจบที่E ได้เงินมา4,700 ล้านบาท ดันมูลค่าเกิน33,000 ล้านบาท

โดยจะขอคำนวณแบบรวบรัดซีรี่ส์B C D ดังนี้ 4.25%*(85%)(85%)(85%)=2.61% คือสัดส่วนหุ้นที่เสี่ยวหยูจะเหลืออยู่ หลังการระดมทุนซีรี่ส์D เสร็จ
1
มาต่อที่ซีรี่ส์E จากแหล่งข่าวที่ทำให้รู้ว่าบริษัท Flash Express ที่เป็นแรงบัลดาลใจให้ซีรี่ส์เรื่องนี้ระดมทุนได้จริงที่ 4,700 ล้านบาท ดันมูลค่าเกิน33,000 หมายความว่าในซีรี่ส์E แลกหุ้นไป 4,700/33,000=14.2%
ดังนั้นสัดส่วนของเสี่ยวหยูจะเป็น 2.61%*(1-14.2%)=2.24%
เพราะฉะนั้นเราจึงรู้ว่ามูลค่าของเสี่ยวหยู ณ วันที่บริษัทมีมูลค่า30,000ล้านบาท (ณ จบตอนของเรื่อง) จะเท่ากับ 30,000ล้านบาท*2.24%=672 ล้านบาท
672 ล้านบาท!!! แม้จะถือหุ้นเพียง2.24% เสี่ยวหยูปิดหนี้ให้พ่อได้6รอบเลยนะนั่น ยังมีเงินเหลือพอไปซื้อบ้านในฝันอะไรของเธอได้อีกมั้งนั่น 

งั้นมาคิดต่ออีกหน่อย เท่าที่เรารู้เพิ่มเติมบริษัท Flash Express ระดมเงินมาได้อีก 15,000 ล้านบาท ดันให้มูลค่าบริษัทเป็น 70,000 ล้านบาท ในซีรี่ส์F นั่นเท่ากับว่าแลกหุ้นไป 15,000/70,000=21.4% ส่วนของเสี่ยวหยูก็จะเป็น 2.61%*(1-21.4%)=2.05% มูลค่าก็จะเปลี่ยนเป็น 70,000ล้านบาท*2.05%=1,435 ล้านบาท
ถ้าเสี่ยวหยูมีตัวตนจริงและถือหุ้นจนถึงตอนนี้ได้ เธอก็คือเศรษฐนีพันล้านนี่เอง
แต่อย่างที่เธอกล่าวไว้ ธันเดอร์ไม่ใช่ทุกอย่างสำหรับเธอ เธอเองมีความฝันของเธอเหมือนกัน ความฝันของเธอไม่ใช่ใช้หนี้ให้พ่อ แต่คือเลียม ผู้ชายที่รักเธอแบบแท้จริง และเธอก็รักเลียมจริงๆ (ไม่นับรวมเรื่องเผลอใจนะ) เรื่องของเธอก็สอนในมุมที่ว่า คุณจะเลือกทางไหนก็แล้วแต่ไม่มีผิดหรือถูก แต่คุณต้องแน่วแน่และชัดเจนในสิ่งที่คุณเลือก
อย่างที่เธอเลือกมาทำธันเดอร์ก็พิสูจน์อย่างหนึ่งว่า มันจะสำเร็จจริงๆได้นะ อย่างน้อย ครอบครัวสามีจะไม่สามารถดูแคลนเธอได้อีก แบบที่เธอรู้สึกว่าต้องเป็นหนูตกถังข้าวสารที่ต้องแต่งกับเลียม (ส่วนตัวเดาว่าเลียมน่าจะช่วยเหลือเรื่องหนี้สินที่บ้านของเสี่ยวหยู)
ส่วนสันติแม้จะไม่ได้ลงเอยที่ได้รักกัน แต่ในสายตาของเสี่ยวหยู สันติคือชายดีที่มีความน่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ เพราะสันติคือคนที่พร้อมจะแก้ไขในสิ่งผิดเสมอและพร้อมจะเรียนรู้เพื่อให้ตัวเองดียิ่งขึ้น ผลลัพธ์คือสันติคืนหนี้ให้เสี่ยวหยูพร้อมดอกเบี้ยเป็น 200 ล้านบาท (ดอกเบี้ย500% รุ่ยเจี๋ยไม่ด่าตายหรอนั่น)
เอาจริงเลียมเองก็ให้ค่าสันติไว้ไม่น้อยเลยนะ 500 ล้านบาท แลกกับหุ้น10% (มูลค่าบริษัท 5,000 ล้านบาท) ถ้าเทียบกันระหว่างเจ๊อลิซ และเจ้าสัวคณิน เลียมให้มูลค่ามากที่สุด หรืออาจจะเป็นราคาที่จ่ายเพื่อให้แฟนตัวเองไม่ต้องทำงานลำบากนะ? 

มูลค่าแท้จริงของชีวิตคือเท่าไหร่?
「勝可知,而不可為勝。」
“แม้จะสามารถรู้ได้ว่าเราจะชนะ แต่ไม่อาจฝืนทำให้ชนะได้” – ซุนวู
ในสนามรบธุรกิจ เสี่ยวหยู “ขายหุ้น” ในวันที่หลายคนบอกว่า “ขายขาดทุน” -> นี่ “คือแม้จะสามารถรู้ได้ว่าเราจะชนะ”
แต่ถ้ามองในสายตาของคนที่ต้อง“ยื้อชีวิตบริษัททั้งบริษัท” นี่คือการ “จ่ายเพื่อรอด” ->นี่คือ “แต่ไม่อาจฝืนทำให้ชนะได้"
เพราะถ้า Thunder ล้มไปวันนั้น มูลค่าหุ้นของเธอและทุกคน = 0 บาท
บางครั้งชัยชนะไม่ใช่การรักษาหุ้นไว้จนรวย
แต่คือการตัดสินใจยอมเสียอะไรบางอย่าง เพื่อรักษาสิ่งที่ใหญ่กว่าไว้ — นั่นคือ “โอกาสของทีม”
เธอไม่ได้รวย แต่เธอเป็นคนที่ “กล้าพอจะเลือก” และ “แน่วแน่กับสิ่งที่เลือก”
ไม่ต่างจากแม่ทัพที่รู้ว่า “ชัยชนะ ไม่ได้อยู่ในสนามเดียวเสมอไป”
1
เสี่ยวหยู อาจไม่ได้ชนะในเกมหุ้น แต่เธอชนะในเกม “ชีวิตของเธอเอง”
และสุดท้าย… Thunder ก็ “อยู่รอด”
สันติก็ “เติบโต”
เลียมก็ “เข้าใจ”
แม้หุ้นจะหาย แต่เธอก็ได้ “ศักดิ์ศรีที่ไม่มีใครซื้อได้ด้วยเงิน”
"หุ้นอาจถูกเจือจาง... แต่จิตใจที่แน่วแน่ไม่มีอะไรเจือจางได้"
ทิ้งท้ายก่อนจาก ว่ากันว่าอีกไม่นาน Flash Express คงจะเข้าIPO ในเร็วๆนี้ มีการคาดการณ์ว่าอาจจะอยู่ที่มูลค่าบริษัท 100,000 ล้านบาท คำถามคือหากเป็นเช่นนั้นจริง คุณคิดว่ามูลค่าสัดส่วนหุ้นของเสี่ยวหยูเป็นที่เท่าไหร่ (ในกรณีที่ Flash Express แลกกับหุ้น 20%)
โฆษณา