9 มิ.ย. เวลา 01:38 • ความคิดเห็น
ความสงบที่ได้จากความไม่รู้ มีข้อดีคือ จะทำให้รู้สึกสุข สบายจิตใจ และออกแนวสโลว์ไลฟ์ ถ้าจะเปรียบคำทางพุทธก็คือ สงบแบบสมถะ สงบแต่ไม่รู้ ได้แต่สงบ สงบไปเรื่อยๆ จริงๆก็ไม่ได้แย่ แต่ความสงบนี้ถ้ามีอะไรมารบกวนก็จะถึงแก่ความสั่นคลอนและสูญเสียเอกภาพได้ง่าย ผิดกับการที่เราผ่านพ้นการวิตกวิจารใคร่ครวญทุกเหตุการณ์จนรู้ได้ว่า อ่อ โลกนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากการหลอกให้ขันธ์๕ของเราจมอยู่ในวังวนโลกวัฏจักรซึ่งเป็นแค่ของไม่มีแก่นสาร มีแต่ความเสื่อมลงทุกขณะแล้วก้าวสู่ความดับหรือความตายเพียงอย่างเดียว
3
การใคร่ครวญพิเคราะห์จนรู้ว่าทุกสิ่งอย่างล้วนโหดร้ายดิ้นรน ไม่มีสภาพที่คงทนสถาพร แต่สักแต่จะเสื่อมๆๆและดับๆๆ ก็เปรียบได้กับการวิปัสสนาในทางพุทธ สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การรู้อยู่ซื่อๆ แต่มันเป็นการรู้แบบผ่านการเข้าถึงในธรรมชาติที่ไปรู้มาจนหมดจดแล้ว เปรียบประหนึ่งว่าได้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติและสรรพธาตุทุกอณู ทำให้เป็นการรู้ที่หมดการยึดมั่น สิ้นติดใจ ไร้พันธนา เป็นการรู้ในแบบที่พาเราหนีออกไปจากโลกวัฏฏะได้ และเป็นการรู้ที่ดีที่สุดที่มนุษย์จำเป็นต้องรู้ ภาษาพระจะเรียก "วิชชา"
3
การรู้แบบวิชชา มันเป็นสิ่งที่สถาพร คงอยู่ตลอดไป อาจจะใช้อีกศัพท์ว่า "อริยทรัพย์ปฏิลาภา" หรือ การได้มาซึ่งทรัพย์แท้สูงสุด การรู้แบบนี้ดีกว่าการรู้ทุกประเภท เพราะจะทำให้เราสิ้นอาวรณ์กับภพภูมิและภพชาติ หลุดแล้วซึ่งการเวียนเกิดเวียนตายมาทนทุกข์กับกายสังขารของเรา เพราะฉะนั้น ในฐานะมนุษย์ผู้สร้างสมปัญญาได้ง่ายกว่าสัตว์ในภพภูมิใด เราต้องไม่ทิ้งการเจริญปัญญาเพื่อให้เกิดวิชชา อันมีเป้าหมายสูงสุดคือรำงับดับกำหนัด ขจัดไม่เหลือ เป็นไปเพื่อเฉพาะนิพพาน
2
โฆษณา