9 มิ.ย. เวลา 11:30 • ประวัติศาสตร์

ทำไม แมนยู vs ลิเวอร์พูล ถึงเป็นคู่รัก คู่แค้นตลอดกาล?

จบไปแล้วสดๆร้อนๆกับการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2024/25 ที่สุดท้ายแล้วทีมลิเวอร์พูลสามารถคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 20 ได้สำเร็จ
ซึ่งเทียบเท่ากับสถิติของทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดที่ได้แชมป์ลีกสูงสุดอยู่ทีมเดียวมานานหลายปี ซึ่งต่อจากนี้ทีมไหนจะเป็นผู้นำสถิติได้ก่อนกัน เป็นเรื่องที่แฟนบอลทั้งสองทีมต่างอดใจรอดูผลลัพธ์ในฤดูกาลต่อๆไปไม่ไหวกันแล้ว
ซึ่งแน่นอนว่าทันทีที่สิ้นเสียงนกหวีดการแข่งขันนัดสุดท้าย แฟนบอลก็ระเบิดศึก Keyboard War กันทันที โซเชียลแทบลุกเป็นไฟ ทั้งฝั่งหงส์แดงลิเวอร์พูลที่ฉลองแชมป์กันอย่างสุดชีวิต และฝั่งปีศาจแดงแมนยูที่ต้องจำใจก้มหน้ายอมรับ แต่ก็พร้อมจะทวงคืนในฤดูกาลต่อไป
แต่เชื่อหรือไม่?
ความเดือดนี้ของทั้งสองทีมนี้ ไม่ได้เริ่มจากสนามบอลเลยด้วยซ้ำ!
แต่มันกินลึกไปถึงประวัติศาสตร์ระดับ “เมืองต่อเมือง” ที่มีมานานกว่า 100 ปีที่แล้ว
คอนเทนต์นี้เลยอยากพาทุกคนย้อนเวลากลับไปดูว่า
ทำไม แมนยู vs ลิเวอร์พูล ถึงกลายเป็น "ศึกแห่งศักดิ์ศรี" ที่ไม่มีวันจบ?
เลื่อนลงมาอ่านให้จบ แล้วจะเข้าใจเลยว่า...เกมนี้มันมากกว่าฟุตบอล
📍จุดเริ่มต้น : ศึกเศรษฐกิจแห่งศตวรรษที่ 19
ย้อนกลับไปช่วงปลายทศวรรษ 1800 เมือง ‘ลิเวอร์พูล’ ถือว่าเป็นเมืองท่าที่สำคัญของอังกฤษ ที่มีท่าเรือเพื่อเชื่อมการค้าขายกับโลกด้วยเรือบรรทุกสินค้า ในขณะเดียวกันเมือง ‘แมนเชสเตอร์’ เป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมคอยผลิตผ้าฝ้ายและสินค้าต่างๆไปขายทั่วโลก
แต่ปัญหาอยู่ที่ ‘แมนเชสเตอร์’ ต้องส่งสินค้าผ่านท่าเรือของ ‘ลิเวอร์พูล’ และก็ต้องเสียค่าผ่านท่าที่มีราคาแพงลิบ พูดง่ายๆว่า ‘ลิเวอร์พูล’ ได้รับเงินจาก ‘แมนเชสเตอร์’ เป็นจำนวนมากโดยที่แทบไม่ต้องผลิตสินเค้าอะไรเองเลยด้วยซ้ำ ถือว่าเป็น Passive Income เลยทีเดียว
พอนานวันผ่านไป ‘แมนเชสเตอร์’ กลับรู้สึกว่า
“ทำไมถึงต้องมาจ่ายค่าผ่านท่าให้กับลิเวอร์พูลด้วย”
จึงไม่ขอทนอีกต่อไป เลยเกิดการแก้ปัญหาแบบเจ็บๆขึ้นมา
นั่นก็คือในปี 1894 “แมนเชสเตอร์ขุดคลองขึ้นมาเป็นของตัวเองซะเลย”
ชื่อว่า Manchester Ship Canal เพื่อให้เรือจากแมนเชสเตอร์วิ่งตรงไปทะเลได้เลย ไม่ต้องง้อลิเวอร์พูลอีกต่อไป
1
ผลคือ…ท่าเรือลิเวอร์พูลซบเซาอย่างหนัก รายได้หด เมืองขาดทุนยับ
นั่นแหละ คือจุดเริ่มต้นของความ "งอน" และ "แค้น" ระหว่างสองเมืองนี้
‘แมนเชสเตอร์’ มองว่าลิเวอร์พูลขูดรีด
‘ลิเวอร์พูล’ ก็มองว่าแมนเชสเตอร์หักหลัง
นี่แค่จุดเริ่มต้นนะ ต่อจากนี้เข้มข้นขึ้นแน่นอน ตามไปอ่านต่อกันเลย
📍จุดตั้งต้น : สโมสรฟุตบอลตัวแทนการแข่งขันประจำเมือง
เข้าสู่ต้นศตวรรษที่ 20 กีฬาฟุตบอลเริ่มเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอันดับหนึ่งในอังกฤษ เริ่มมีทีมฟุตบอลท้องถิ่นเกิดขึ้น
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Manchester United F.C.) ก่อตั้งขึ้นในปี 1878 โดยใช้ชื่อเดิมว่า Newton Heath LYR Football Club ซึ่งเป็นทีมของพนักงานการรถไฟ Lancashire and Yorkshire Railway
ซึ่งต่อมาในปี 1902 หลังประสบปัญหาทางการเงินและมีการเข้ามาเทคโอเวอร์จากนักธุรกิจท้องถิ่น สโมสรจึงเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนถึงทุกวันนี้
ลิเวอร์พูล (Liverpool Football Club) ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1892 โดยผู้ก่อตั้งคือ John Houlding เจ้าของสนาม Anfield ในขณะนั้น ก่อนหน้าจะเป็นทีมลิเวอร์พูล สนามแอนฟิลด์เคยเป็นสนามเหย้าของทีม Everton มาก่อน
แต่เนื่องจากมีความขัดแย้งเรื่องค่าเช่าระหว่าง Everton กับ John Houlding ทำให้เอฟเวอร์ตันย้ายออกจากสนาม Houlding จึงตัดสินใจตั้งทีมใหม่ของตัวเองขึ้นมาเพื่อใช้สนามต่อไป และนั่นก็คือกำเนิดของ Liverpool F.C. จนถึงทุกวันนี้
ในช่วงแรก ลิเวอร์พูลเหนือกว่าแบบไม่เห็นฝุ่น คว้าแชมป์ลีกครั้งแรกในปี 1901 และกลายเป็นทีมยักษ์ใหญ่เร็วกว่าแมนยูหลายปี แต่เรื่องมันเริ่มพลิกตอนกลางศตวรรษ...
📍จุดพลิก : แมนยูยุคทอง แต่โดนโชคชะตาเล่นงาน
ยุค 1950 แมนยูเริ่มเป็นทีมที่โดดเด่น ในยุคของผู้จัดการทีม ‘เซอร์แมตต์ บัสบี้’ (Sir Matt Busby) ที่สร้างทีมเด็กหนุ่มดาวรุ่งที่น่าจดจำคือ “Busby Babes” คำว่า “Babes” หรือ “เด็กๆ” สื่อถึงทีมที่ประกอบด้วยนักเตะอายุน้อย โดยหลายคนมาจากระบบเยาวชนของสโมสร ซึ่งในยุคนั้นถือว่าเป็นแนวคิดที่ล้ำหน้า เพราะทีมใหญ่ๆ มักจะซื้อนักเตะที่มีประสบการณ์มากกว่าจะสร้างดาวรุ่งเอง
ทำให้แมนยูเดิมทีที่เคยเป็นทีมธรรมดา กลายเป็นสโมสรที่เล่นฟุตบอลสวยงามและมีสไตล์ดุดันแบบอังกฤษแท้ๆ พวกเขาคือจุดเริ่มต้นของ “เอกลักษณ์ความกล้าและเกมรุก” ของแมนยู ทำให้แฟนบอลหลั่งไหลเข้าสนามและกลายเป็นแฟนขาประจำของแมนยูในระยะยาว
แต่แล้ว วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1958 🖤ก็เกิดโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่ เครื่องบินที่บรรทุกทีมแมนยูหลังจบการแข่งขันที่ยูโรปาเกิดอุบัติเหตุขณะพยายามบินขึ้นจากสนามบินมิวนิก ประเทศเยอรมนี ทำให้มีนักเตะ เสียชีวิต 8 คน จากทีมชุดนั้น ผู้จัดการทีมแมตต์ บัสบี้ บาดเจ็บสาหัส ต้องพักฟื้นยาว
แต่อีก 10 ปีต่อมา (1968) บัสบี้ก็สร้างทีมใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง และพาแมนยูคว้าแชมป์ ยูโรเปียนคัพ (แชมเปียนส์ลีกยุคก่อน) ได้สำเร็จ กลายเป็นทีมอังกฤษทีมแรกที่คว้าถ้วยยุโรปได้
📍จุดหงส์แดงขอเอาคืน : ลิเวอร์พูลขึ้นบัลลังก์
ยุค 1970-1980 ใครเกิดยุคนั้นคงรู้ดี เรียกว่า “ยุคที่ลิเวอร์พูลคือของจริง” เพราะลิเวอร์พูลสามารถประสบความสำเร็จได้มากมาย คว้าแชมป์ลีกสูงสุด (First Division) ได้ถึง 11 สมัย , คว้าแชมป์ยุโรป (ยูโรเปียนคัพ/แชมเปียนส์ลีก) อีก 4 สมัย ช่วงนั้นแฟนหงส์แทบจะร้องเพลง “You’ll Never Walk Alone” ทุกสุดสัปดาห์แบบไม่ขาดตอน
ปัจจัยความสำเร็จช่วงนั้นคือการเปลี่ยนผ่านผู้จัดการทีมที่ต่อเนื่องและทรงพลัง ตั้งแต่ บิลล์ แชงคลีย์ (Bill Shankly) , บ็อบ เพสลีย์ (Bob Paisley) , โจ เฟแกน (Joe Fagan) และผู้เล่นที่กลายเป็นตำนานอย่าง เคนนี่ ดัลกลิช (Kenny Dalglish) ตำนานกองหน้าอัจฉริยะ , แกรม ซูเนสส์ (Graeme Souness) กัปตันผู้ทรงอิทธิพล
📍จุดผีแดงทวงคืน(บ้าง) : ป๋าเฟอร์กี้มาแล้ว! ศึกเริ่มแดงเดือดแบบจริงจัง
ปี 1986 แมนยูได้แต่งตั้ง “เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน” เข้ามาคุมทีม และเขาได้ประกาศชัดเจนว่า “ผมจะทำให้ลิเวอร์พูลตกจากบัลลังก์”
แฟนๆลิเวอร์พูลยุคนั้นขำก๊ากแน่ๆ เพราะว่าในช่วงแรกที่ป๋าแกเข้ามาคุมทีมก็ไม่ได้สวยหรูค่อนข้างลำบากกับปัญหาของทีม เช่น สภาพทีม “ไม่ฟิต-ขาดวินัย” , ผลงานในสนาม “ต่ำกว่ามาตรฐาน” , การปรับเปลี่ยนผู้เล่นภายในทีม จนเกือบจะถูกไล่ออกแล้วด้วยซ้ำ
แต่สุดท้ายป๋าแกก็พลิกโฉมยกเครื่องแมนยูใหม่ จนสามารถทำได้อย่างที่พูดเอาไว้ในตอนแรก เป็นคนพูดจริงทำจริงซะด้วย ทำให้ในปี 1992/93 แมนยูสามารถคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 26 ปี และหลังจากนั้นก็เหยียบคันเร่งไล่เก็บแชมป์แบบต่อเนื่องไม่หยุด
ป๋าเฟอร์กี้พาแมนยูคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก / ดิวิชัน 1 เดิม (รวม 13 สมัย) , FA Cup (5 สมัย) , League Cup (หรือ EFL Cup / คาราบาวคัพ) 4 สมัย , UEFA Champions League (UCL) 2 สมัย รวมถึง ทริปเปิลแชมป์ในปี 1999 (แชมป์ 3 รายการในฤดูกาลเดียว) ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีทีมอังกฤษไหนทำได้อีก
ลิเวอร์พูลช่วงนั้นเหมือนคนหลงทาง เปลี่ยนโค้ชบ่อย มีนักเตะดีแต่ยังไม่ลงตัว
ไม่เคยได้แชมป์ลีกอีกเลยตลอดช่วงเวลาที่ ‘ป๋าเฟอร์กี้’ คุมแมนยูเป็นเวลารวมๆเกือบ 30 ปี
📍จุดลิเวอร์พูลขอคัมแบ็ค: การมาของคล็อปป์เปลี่ยนทุกอย่าง
ปี 2015 ลิเวอร์พูลได้แต่งตั้ง ‘เจอร์เก้น คล็อปป์’ เป็นผู้จัดการทีม ซึ่งหลังจากที่เขาได้คุมทีม เขาก็เริ่มค่อยๆเปลี่ยนแปลงลิเวอร์พูลให้กลับมาเป็นทีมที่เล่นฟุตบอลได้มันส์ ดุดัน สไตล์ Heavy Metal พร้อมชนกับทุกทีม
จนในที่สุดลิเวอร์พูลก็กลับมาเป็นสุดยอดทีมของโลกอีกครั้ง นำความสำเร็จกลับสู่ทีมอย่างมากมายภายใต้การคุมทีมของเขาผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกที่รอคอยมา 30 ปี หรือแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกสมัยที่ 6 และแชมป์บอลถ้วยในประเทศอีกมากมาย
ก่อนที่สุดท้ายแล้ว ‘เจอร์เก้น คล็อปป์’ อำลาตำแหน่งผู้จัดการทีมไปในนัดสุดท้ายวันที่ 19 พฤษภาคม 2024
“การมาของคล็อปป์ไม่ได้พาแค่ได้แชมป์นะ แต่มาเปลี่ยน DNA ของทีมเลย จากทีมที่เคยอยู่กลางตาราง กลายเป็นทีมที่ทั้งยุโรปกลัว ยุคนี้ลิเวอร์พูลกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งเพราะคล็อปป์ล้วน ๆ”
1
ปัจจุบัน ‘ลิเวอร์พูล’ ภายใต้การคุมทีมของ อาร์เน่ สลอต (Arne Slot) ได้คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2024/25 เพิ่มมาอีกหนึ่งแชมป์ ทำให้ตอนนี้สถิติแชมป์พรีเมียร์ลีกสูงสุด 20 สมัย ตกเป็นของทั้ง ‘ลิเวอร์พูล’ และ ‘แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด’ จำนวนเท่ากัน
’ไม่ว่าทีมไหนจะอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง ก็ไม่มีคำว่า “ยอม” กันเลย
นี่คืออีกหนึ่งสีสันระหว่างสองทีม ที่มีประวัติศาสตร์กันมาอย่างยาวนาน
🎯 สุดท้ายแล้ว "แดงเดือด" ไม่ใช่แค่เกมฟุตบอล แต่มันคือสงครามแห่งศักดิ์ศรี
ที่ผูกพันตั้งแต่รากของเมือง เศรษฐกิจ ความเชื่อ ความแค้น และความภูมิใจ
และศรัทธาที่ว่า “ทีมเราคือเบอร์หนึ่งเท่านั้น
ไม่ว่าใครจะชนะในสนาม แต่สิ่งที่แน่ๆ คือ...
ทุกครั้งที่สองทีมนี้เจอกัน โลกจะต้องหยุดหมุนเพื่อศึกแดงเดือด
แมนยู VS ลิเวอร์พูล คู่รัก คู่แค้นตลอดกาล
ใครเป็นแฟนบอลทีมไหนมาคอมเมนต์รายงานตัวกันหน่อย
คอมเมนต์แซวกันพอเป็นสีสันนะ ไม่ต้องถึงขั้นเปิด War กันเลยเราต่างเป็นชาว blockdit เหมือนกัน
📌แชมป์ลีกสูงสุด = ต้องนับรวมทั้งยุคดิวิชั่น 1 และพรีเมียร์ลีก
🔴 ลิเวอร์พูล
• ดิวิชั่น 1: 18 สมัย
• พรีเมียร์ลีก: 2 สมัย (2019/20, 2024/25)
= รวม 20 สมัย
⚫ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
• ดิวิชั่น 1: 7 สมัย
• พรีเมียร์ลีก: 13 สมัย (ตั้งแต่ 1992/93 ถึง 2012/13)
= รวม 20 สมัย
------------
📊ชวนตอบแบบสำรวจประสบการณ์การใช้งานแอปฯ Blockdit
ใช้เวลาไม่นาน 1 - 2 นาทีเท่านั้นเอง
📌 ทำแบบสำรวจ 👉 https://bit.ly/4iTuZtx
⭐️โปรโมตแบรนด์ให้ตรงเป้า เข้าถึงคนจริง แบบมีคุณภาพ บนแพลตฟอร์ม Blockdit
สนใจกรอกฟอร์ม 📲 https://bit.ly/497KSYM

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา