10 มิ.ย. เวลา 09:25 • ปรัชญา

บทที่8:ไม้กระดกของความสมดุล ระหว่างความความทุกข์และความสุข

📌ธรรมชาติของการแกว่งไปมา
ชีวิตมนุษย์เป็นเหมือนไม้กระดกที่แกว่งไปมาระหว่างความสุขและความทุกข์ ความสำเร็จและความล้มเหลว ความหวังและความผิดหวัง ความรักและความเกลียด เมื่อเราอยู่ในช่วงเวลาดี เราต้องการให้มันคงอยู่ตลอดไป เมื่อเราอยู่ในช่วงเวลาเลว เราต้องการให้มันจบลงโดยเร็ว
แต่การพยายามหยุดการแกว่งนี้กลับทำให้เราเป็นทุกข์มากขึ้น เหมือนกับการพยายามจับไม้กระดกที่กำลังแกว่งให้หยุดนิ่ง ยิ่งเราพยายามจับ มันยิ่งแกว่งแรงขึ้น
การเข้าใจธรรมชาติของการแกว่งนี้จะทำให้เราเรียนรู้ที่จะ "ขี่" ไม้กระดก แทนที่จะพยายามหยุดมัน เราเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเปลี่ยนแปลง ไม่ยึดติดกับขั้วใดขั้วหนึ่ง
ความสมดุลไม่ได้หมายความว่าไม่มีการแกว่ง แต่หมายความว่าเราไม่ถูกการแกว่งนั้นโยนล้ม
ความสมดุลไม่ได้หมายความว่าไม่มีการแกว่ง
แต่หมายความว่าเราไม่ถูกการแกว่งนั้นโยนล้ม
📌การหาจุดศูนย์กลาง
ในทุกไม้กระดก มีจุดศูนย์กลางที่ไม่เคลื่อนไหว แม้ว่าปลายทั้งสองข้างจะแกว่งอย่างรุนแรง จุดศูนย์กลางนั้นจะคงที่ ในชีวิตเราก็เช่นเดียวกัน มีจุดศูนย์กลางในตัวเราที่ไม่เคลื่อนไหว ไม่ว่าสถานการณ์ภายนอกจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร
จุดศูนย์กลางนี้คือจิตสำนึกที่เป็นสักขีพยาน ที่เฝ้าดูความคิด ความรู้สึก และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ โดยไม่ถูกครอบงำ มันเป็นส่วนของเราที่รู้ว่าเรากำลังโกรธ แต่ไม่ใช่ความโกรธนั้นเอง ส่วนของเราที่รู้ว่าเรากำลังเศร้า แต่ไม่ใช่ความเศร้านั้นเอง
เมื่อเราพบจุดศูนย์กลางนี้ เราจะสามารถดูการแกว่งไปมาของชีวิตด้วยความสงบ เราจะไม่ถูกความสุขพัดไปจนลืมตัว และไม่ถูกความทุกข์กดลงจนสิ้นหวัง
การหาจุดศูนย์กลางคือการหาบ้านที่แท้จริงในตัวเราเอง
การหาจุดศูนย์กลางคือการหาบ้านที่แท้จริงในตัวเราเอง
V
📌ความทุกข์เป็นครู
ในสังคมปัจจุบัน เราถูกสอนให้หลีกเลี่ยงความทุกข์ เราใช้ความบันเทิง สิ่งเสพติด การซื้อของ การกิน การนอน เพื่อหนีจากความทุกข์ แต่การหนีจากความทุกข์ทำให้เราพลาดโอกาสในการเรียนรู้จากมัน
ความทุกข์เป็นครูที่เข้มงวดแต่มีประสิทธิภาพ มันบอกเราว่าเรากำลังยึดติดกับสิ่งที่ไม่ควรยึดติด มันบอกเราว่าเรากำลังขัดขวางธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง มันบอกเราว่าเรากำลังใช้ชีวิตในลักษณะที่ไม่สอดคล้องกับความจริง
เมื่อเราเรียนรู้ที่จะอยู่กับความทุกข์โดยไม่หนี ไม่ต่อสู้ แต่ดูมันด้วยความสงสารม เราจะพบว่าความทุกข์มีข้อความที่จะบอกเรา และเมื่อเราได้รับข้อความนั้นแล้ว ความทุกข์ก็จะค่อยๆ แปรสภาพเป็นภูมิปัญญา
ความทุกข์ที่ไม่ได้รับการรักษาจะกลายเป็นความเจ็บปวด แต่ความทุกข์ที่ได้รับการโอบกอดจะกลายเป็นเมตตา
📌ความสุขที่ไม่ยึดติด
เช่นเดียวกับความทุกข์ ความสุขก็มีบทเรียนให้เรียนรู้ ความสุขที่เราไม่ยึดติดจะไม่ทำให้เราหลงทาง ความสุขที่เรายึดติดจะกลายเป็นเหตุแห่งความทุกข์เมื่อมันหายไป
เมื่อเราประสบความสำเร็จ เราสามารถเฉลิมฉลองโดยไม่ต้องยึดติดกับความสำเร็จนั้น เมื่อเราได้รับความรัก เราสามารถเพลิดเพลินโดยไม่ต้องครอบครองความรักนั้น เมื่อเราเจอสิ่งสวยงาม เราสามารถชื่นชมโดยไม่ต้องต้องการเป็นเจ้าของ
ความสุขที่ไม่ยึดติดเป็นความสุขที่แท้จริง เพราะมันไม่มีความกลัวการสูญเสียปะปนอยู่ มันเป็นความสุขที่เกิดจากการให้ มากกว่าการได้รับ เกิดจากการเป็น มากกว่าการมี เกิดจากการรัก มากกว่าการถูกรัก
เมื่อเราไม่ยึดติดกับความสุข ความสุขจะมีอิสระที่จะไหลผ่านชีวิตเราได้อย่างเป็นธรรมชาติ
📌ศิลปะแห่งการสมดุล
การใช้ชีวิตอย่างมีสมดุลไม่ได้หมายความว่าเราต้องหาจุดกึ่งกลางในทุกเรื่อง แต่หมายความว่าเราเรียนรู้ที่จะตอบสนองต่อแต่ละสถานการณ์อย่างเหมาะสม
บางครั้งเราต้องแข็งแกร่ง บางครั้งเราต้องอ่อนโยน บางครั้งเราต้องกล้าหาญ บางครั้งเราต้องระมัดระวัง บางครั้งเราต้องให้ บางครั้งเราต้องรับ บางครั้งเราต้องพูด บางครั้งเราต้องเงียบ
ศิลปะแห่งการสมดุลคือการรู้ว่าเมื่อไหร่ควรทำอะไร ไม่ใช่จากกฎเกณฑ์ที่ตายตัว แต่จากปัญญาที่เกิดจากการอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างเต็มที่
เหมือนกับนักเดินเชือกที่เก่งที่สุด ไม่ได้คิดว่าเท้าซ้ายต้องออกแรงเท่าไหร่ เท้าขวาต้องออกแรงเท่าไหร่ แต่รู้สึกถึงความสมดุลและปรับตัวในทุกช่วงเวลา
ความสมดุลที่แท้จริงเป็นความสมดุลแบบไดนามิก
ไม่ใช่ความสมดุลแบบคงที่
โฆษณา