Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Vate's Pharma Scope
•
ติดตาม
16 มิ.ย. เวลา 13:30 • สุขภาพ
เสียงกระซิบจากร่างกาย เมื่อการไอไม่ใช่แค่เรื่องน่ารำคาญ
กาลครั้งหนึ่ง...
ผมยังจำสายตาที่อ่อนล้าและแฝงไปด้วยความกังวลของชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่เดินมาหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์ยาได้เป็นอย่างดี เขาไม่ได้มาเพื่อซื้อยา แต่มาพร้อมกับคำถามสั้นๆ ที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่าย "เภสัชครับ... ทำยังไงให้ผมหยุดไอได้สักที" เขาเล่าว่าอาการไอแห้งๆ นี้อยู่กับเขามาเกือบสามเดือนแล้ว มันกลายเป็นเพื่อนเก่าที่ไม่ได้รับเชิญ คอยรบกวนการนอนหลับ ทำให้การประชุมเป็นเรื่องน่าอึดอัด และที่สำคัญที่สุดคือ มันสร้างความหวาดระแวงให้ทั้งตัวเองและคนรอบข้าง
เรื่องราวของเขาไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในร้านยาเลยครับ ในฐานะเภสัชกร ผมได้พบเจอกับ "ปริศนาไอเรื้อรัง" เช่นนี้อยู่เสมอ และมันทำให้ผมตระหนักว่า การไอไม่ใช่แค่ปฏิกิริยาทางกายภาพ แต่มันคือ "เสียงกระซิบ" จากร่างกายที่พยายามจะสื่อสารอะไรบางอย่างกับเรา วันนี้ ผมจึงอยากจะชวนทุกท่านมาลองสวมบทบาทเป็นนักสืบสุขภาพ และไขปริศนานี้ไปพร้อมๆ กันดูครับ
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจตัวตนของ "การไอ" เสียก่อน มันไม่ใช่ผู้ร้ายครับ แต่เป็นยามเฝ้าประตูที่ซื่อสัตย์ของระบบทางเดินหายใจ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีผู้บุกรุก ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง เชื้อไวรัส หรือเสมหะเหนียวข้น ยามคนนี้จะส่งเสียงเตือนดัง "ค่อกแค่ก" เพื่อขับไล่สิ่งแปลกปลอมออกไปให้พ้นทาง ป้องกันไม่ให้มันลุกลามลงไปสร้างความเสียหายในปอด นี่คือกลไกป้องกันตัวอันน่าทึ่งที่ธรรมชาติสร้างมา
แต่จะเกิดอะไรขึ้น... เมื่อยามเฝ้าประตูคนนี้เกิด "ขยันผิดปกติ" เมื่อเสียงเตือนดังขึ้นไม่หยุดหย่อนนานนับเดือน จนกลายเป็นการรบกวนชีวิตประจำวัน ในทางการแพทย์ เราจะเรียกภาวะนี้ว่า "ไอเรื้อรัง" เมื่อมันเกิดขึ้นในผู้ใหญ่นานเกิน 8 สัปดาห์ และนี่คือจุดเริ่มต้นของการสืบสวนของเราครับ
จากการสืบค้นแฟ้มคดีของผู้ป่วยไอเรื้อรังจำนวนมาก ผมพบว่าผู้ต้องสงสัยมักจะวนเวียนอยู่ไม่กี่ราย และบ่อยครั้งที่พวกเขาทำงานร่วมกันเป็นทีม ผู้ต้องสงสัยรายแรกที่มักจะถูกมองข้ามคือ "น้ำมูกที่เดินทางผิด" หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า Post-nasal Drip
ลองนึกภาพตามนะครับ แทนที่น้ำมูกจะไหลออกมาทางจมูกตามปกติ มันกลับเลือกเดินทางผิดทิศ ไหลย้อนลงไปหยดแหมะๆ ที่ด้านหลังลำคอของเราอย่างเงียบๆ การหยดลงคออย่างต่อเนื่องนี้เองที่ไปกระตุ้นให้เรารู้สึกระคายเคืองและไอออกมาไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะในเวลากลางคืนหรือตอนตื่นนอน ซึ่งตัวการสำคัญที่อยู่เบื้องหลังน้ำมูกเดินทางผิดนี้ก็คือโรคภูมิแพ้ หรือภูมิแพ้อากาศที่คนไทยคุ้นเคยกันดี
แต่เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้น บางครั้งผู้ร้ายก็ซ่อนตัวได้แนบเนียนกว่าที่คิด เรามีผู้ต้องสงสัยรายที่สองคือ "โรคหืดชนิดซ่อนเร้น" หลายคนอาจคิดว่าโรคหืดต้องมาพร้อมกับอาการหอบเหนื่อย หายใจมีเสียงวี้ด แต่ในความเป็นจริง มีโรคหืดชนิดหนึ่งที่อาการแสดงออกมีเพียงการไอเรื้อรังอย่างเดียวเท่านั้น โดยไม่มีอาการหอบเลย มันเปรียบเสมือนญาติขี้อายของโรคหืดทั่วไป ที่ไม่ชอบแสดงตัว แต่ส่งเสียงไอเป็นสัญญาณแทน
และผู้ต้องสงสัยรายสุดท้ายที่มักจะมาจากที่ที่เราคาดไม่ถึง นั่นคือ "กรดจากกระเพาะอาหาร" หรือโรคกรดไหลย้อน (GERD) เรื่องนี้อาจฟังดูไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ไอระเหยของกรดที่ไหลย้อนขึ้นมาจากกระเพาะ สามารถเดินทางขึ้นสูงมาถึงบริเวณลำคอและกล่องเสียงได้ มันไปสร้างความระคายเคืองให้กับปลายประสาทรับรู้การไอโดยตรง ทำให้เกิดอาการไอแห้งๆ แสบคอ หรือรู้สึกเหมือนมีอะไรจุกๆ อยู่ในลำคอ ที่น่าสนใจคือ การไอแรงๆ และบ่อยครั้ง ก็สามารถกระตุ้นให้กรดไหลย้อนรุนแรงขึ้นได้อีก กลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่ยากจะหยุดยั้ง
สิ่งที่ทำให้การสืบสวนซับซ้อนขึ้นไปอีก คือผู้ต้องสงสัยทั้งสามนี้ไม่ชอบทำงานคนเดียวครับ พวกเขามักจะรวมตัวกันเป็นทีม มีการศึกษาพบว่าคนไข้ไอเรื้อรังจำนวนไม่น้อยมีสาเหตุมาจากทั้งภูมิแพ้และกรดไหลย้อนร่วมกัน หรือบางรายก็มีครบทั้งสามอย่างเลยทีเดียว
นอกเหนือจากสามผู้ต้องสงสัยหลักนี้ ยังมีอีกสถานการณ์หนึ่งที่พบบ่อย คือ "เงาของการเจ็บป่วยในอดีต" หรืออาการไอที่ยังคงหลงเหลืออยู่เนิ่นนานหลังจากเราหายจากไข้หวัดไปแล้ว เรื่องนี้อธิบายได้ว่า หลอดลมของเราเปรียบเสมือนสนามรบที่เพิ่งสงบศึก แม้มันจะปราศจากเชื้อโรคแล้ว แต่ก็ยังคงบอบช้ำและไวต่อสิ่งกระตุ้นอย่างมาก แค่เพียงอากาศเย็นๆ หรือกลิ่นน้ำหอมจางๆ ก็อาจกลายเป็นชนวนให้ไอโขลกๆ ได้อีกครั้ง ร่างกายต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการฟื้นฟูตัวเองให้กลับมาเป็นปกติ
เมื่อเผชิญหน้ากับอาการไอที่ไม่ยอมหายสักที หลายคนอาจเลือกทางลัดด้วยการซื้อยาปฏิชีวนะมารับประทาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การกระทำเช่นนี้มักไม่ช่วยอะไร เพราะต้นตอของปัญหาคือ "การระคายเคือง" ไม่ใช่ "การติดเชื้อ" ครับ
ก่อนจะพึ่งพายาเคมีฤทธิ์แรง ผมอยากให้ลองกลับมาพึ่งพาเหล่า "ฮีโร่จากธรรมชาติ" ที่มักถูกลืมกันก่อน ไม่ว่าจะเป็น การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ เพื่อชะล้างสารก่อภูมิแพ้ การสูดดมไอน้ำอุ่นๆ เพื่อให้เสมหะอ่อนตัวลง หรือแม้กระทั่ง น้ำผึ้ง สักหนึ่งช้อนชา ที่มีงานวิจัยรองรับว่าสามารถเคลือบลำคอและบรรเทาอาการไอได้ดีอย่างน่าทึ่ง
แน่นอนว่าการไอเป็นกลไกที่ซับซ้อน และในบางครั้ง มันก็อาจเป็นเสียงเตือนภัยของโรคร้ายแรง เช่น มะเร็งปอด หรือการติดเชื้อที่ผิดปกติได้ แม้จะพบได้ไม่บ่อยนักก็ตาม ดังนั้น การสืบสวนของเราจึงต้องมีจุดที่ต้องยอมรับว่าถึงเวลาส่งต่อคดีให้ผู้เชี่ยวชาญ นั่นคือการไปพบแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเสียงไอของคุณมาพร้อมกับ "สัญญาณอันตราย" เหล่านี้ ได้แก่ การไอเป็นเลือด หอบเหนื่อยมากผิดปกติ น้ำหนักลดฮวบฮาบ มีไข้เรื้อรัง หรือกลืนลำบาก สัญญาณเหล่านี้คือธงแดงที่ร่างกายกำลังโบกสะบัด และเราต้องไม่เพิกเฉยโดยเด็ดขาด
ท้ายที่สุดนี้ เรื่องราวของอาการไอเรื้อรังได้สอนให้เรารู้ว่า ร่างกายของเรานั้นฉลาดกว่าที่เราคิด มันพยายามสื่อสารกับเราอยู่เสมอ ผ่านสัญญาณเล็กๆ น้อยๆ ที่เราอาจมองว่าเป็นเพียงความน่ารำคาญ การไอที่ไม่หายอาจเป็นเพียงเสียงกระซิบที่บอกให้เราดูแลตัวเองจากโรคภูมิแพ้ หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินเพื่อลดกรดไหลย้อน แต่ในบางครั้ง มันก็อาจเป็นเสียงตะโกนเตือนถึงภัยเงียบที่กำลังคุกคามอยู่ภายใน
ทุกวันนี้ คุณตั้งใจ "ฟัง" เสียงกระซิบจากร่างกายของคุณเอง มากพอแล้วหรือยัง
แหล่งอ้างอิง:
King, D. (2025, June 10). Why won't my cough go away? Medical Xpress. Retrieved from
https://medicalxpress.com/news/2025-06-wont.html
สุขภาพ
การแพทย์
ความรู้รอบตัว
8 บันทึก
16
6
7
8
16
6
7
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย