12 มิ.ย. เวลา 10:33 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

THE BRUTALIST (อัจฉริยะ-สัจจะ-แลก-วิญญาณ)

The Brutalist ภาพยนตร์มหากาพย์แนวดราม่าย้อนยุคของผู้กำกับ เบรดี คอร์เบ็ต (Brady Corbet) ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงจากนักวิจารณ์ คือการสำรวจลึกลงไปในจิตใจของสถาปนิกผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ผ่านการดิ้นรนเพื่อสร้างชีวิตและผลงานชิ้นเอกในดินแดนแห่งความหวังอย่างอเมริกา และเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมอีกเรื่องนึงจากค่าย A24
2
ภาพยนตร์เรื่อง "The Brutalist" ประสบความสำเร็จอย่างงดงามบนเวทีรางวัลระดับโลก โดยได้รับรางวัลสำคัญจากสถาบันต่างๆ มากมาย สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพที่ยอดเยี่ยมทั้งในด้านการกำกับ การแสดง และองค์ประกอบศิลป์ของภาพยนตร์
รางวัลออสการ์ (Academy Awards) ครั้งที่ 97
ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าชิงถึง 10 สาขา และสามารถคว้ามาได้ 3 รางวัลใหญ่ ได้แก่
- นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Best Actor): เอเดรียน โบรดี (Adrien Brody)
- กำกับภาพยอดเยี่ยม (Best Cinematography): โลล ครอว์ลีย์ (Lol Crawley)
- ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Original Score): แดเนียล บลัมเบิร์ก (Daniel Blumberg)
1
นอกจากนี้ "The Brutalist" ยังได้รับรางวัลจากสมาคมนักวิจารณ์และเทศกาลภาพยนตร์อื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน
ตัวผู้เขียนเองได้มีโอกาสดูในโรงหนัง House เนื่องในโอกาสที่นำมาฉายอีกครั้งจากการเข้าชิงรางวัลออสการ์ ด้วยส่วนตัวมีความสนใจในงานสถาปัตยกรรม และเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ทำให้พลาดไม่ได้เลยกับหนังเรื่องนี้
***คำเตือน*** จากนี้จะตรงนี้จะเป็นการ spoil เนื้อหาของหนัง The Brutalist เนื่องจากหนังมีความยาว รวมทั้งสิ้น 3 ชั่วโมง 35 นาที และมีรวม 15 นาทีช่วงพักครึ่ง ทำให้เนื้อหาค่อนข้างยาว (จริงๆคือยาวมาก) แต่ด้วยเป็นการเล่าจากความทรงจำ ทำให้อาจจะมีบางช่วงบางตอนผิดพลาดไปบ้างต้องขออภัยมา ณ ที่นี้
สามารถข้าวในส่วนของสปอยล์ ไปพาร์ทวิเคราะห์วิจารย์ ได้ในช่วงท้ายสุดของบทความ :)
Part 1: The Enigma of Arrival (ภาค 1: ปริศนาแห่งการมาถึง)
ปี 1947 ณ ชานชะลารถไฟ ชายผู้หนึ่งนามว่า ลาสโล ทอธ (László Tóth, รับบทโดย เอเดรียน โบรดี - Adrien Brody) ได้เดินทางมาเหยียบประเทศอเมริกา ประเทศที่ได้ชื่อว่าเป็นความหวัง และทางออกสำหรับเหล่าผู้แสวงหาทางรอดของชีวิต
เขาไม่ใช่นักเดินทางธรรมดา เขาคือผู้รอดชีวิต คือเศษเสี้ยวจากประวัติศาสตร์อันดำมืดของยุโรป สถาปนิกอัจฉริยะชาวฮังการีเชื้อสายยิว ผู้จบการศึกษาจากสถาบันเบาเฮาส์อันทรงเกียรติ แต่เกียรติยศนั้นถูกบดบังด้วยความทรงจำจากค่ายกักกันนาซี ที่ซึ่งความเป็นมนุษย์ถูกเหยียบย่ำจนแทบไม่เหลือชิ้นดี
ลาสโลเดินทางมายังฟิลาเดลเฟียตามคำเชิญของ อัตติลา (Attila, รับบทโดย อเลสซานโดร นิโวลา - Alessandro Nivola) ญาติผู้พี่ที่อพยพมาก่อนหน้าและประสบความสำเร็จในการสลัดคราบอดีตทิ้งไปจนหมดสิ้น
ลาสโล อัลติลา
อัตติลาได้กลายเป็นชาวอเมริกันเต็มตัว มีธุรกิจออกแบบและตกแต่งภายในเป็นของตนเอง บ้านของเขาคือสัญลักษณ์ของ "อเมริกันดรีม" ที่ลาสโลใฝ่ฝันถึง ข้อตกลงระหว่างพวกเขานั้นเรียบง่าย มันสมองและพรสวรรค์ในการออกแบบของลาสโล แลกกับที่พักพิงและโอกาสในการเริ่มต้นชีวิตใหม่
ทว่าความเป็นจริงกลับไม่ได้งดงามเช่นนั้น ลาสโลพบว่าตัวเองต้องใช้ทักษะชั้นสูงจากเบาเฮาส์ไปกับการออกแบบเฟอร์นิเจอร์และงานตกแต่งเชิงพาณิชย์ที่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ มันคือการประนีประนอมที่กัดกร่อนตัวตนของเขาในทุกๆ วัน
แต่เขาก็จำต้องยอมรับเพื่อความอยู่รอด ท่ามกลางความอัดอั้นนั้น แสงแห่งความหวังอันริบหรี่ก็สาดส่องเข้ามา เมื่อเขาได้รับโอกาสผ่านทางอัตติลา ให้เข้าไปรับงานชิ้นหนึ่งที่แตกต่างออกไป นั่นคือการปรับปรุงห้องสมุดภายในคฤหาสน์ของตระกูลอภิมหาเศรษฐี "แวน บิวเรน" ซึ่งลูกชายของตระกูล แฮรี่ ลี แวน บิวเรน ต้องการจะมอบเป็นของขวัญให้แก่บิดาของเขา
แสงแห่งความหวัง และแรงบันดาลในการออกแบบงานสถาปัตยกรรมลุกโชนในใจของ ลาสโล นี่คืองานแรกที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้กลับมาเป็นนักออกแบบอีกครั้ง
ลูกชายของ แวนบิวเรน ไม่ได้สนใจรูปแบบของห้องสมุดที่จะออกมา แค่ขอให้มันรีโนเวทใหม่ ให้ดูว้าวสำหรับพ่อเค้าที่สุดก็พอ
ในที่สุดโครงการที่เค้าปลุกปั้นก็มาถึงช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการปิดจบงานห้องสมุด แวนบิวเรนคนพ่อ แฮริสัน ลี แวน บิวเรน กลับมาบ้านพร้อมเสียงอันดัง กับคำพูดด่าทอไม่พอใจ เค้าไล่ช่างก่อสร้างทุกคนออกจากบริเวณบ้าน รวมทั้งตัวของ ลาสโล ด้วย
แวน บิวเรน คนพ่อไม่ต้องการให้ใครก็ตามมายุ่งกับห้องสมุดในคฤหาสถ์ของเค้า และดุด่าว่ากล่าวลูกชายตัวดีที่ยื่นมือมาจัดการในสิ่งที่เค้าไม่ร้องขอ ทีมของอัลติลา และลาสโลถูกรีเจคออกจากโปรเจค ทั้งที่ยังได้เงินไม่ครบ
หลังจากการถูกขับไล่ แฮร์รีผู้เป็นลูกชายก็ปฏิเสธที่จะจ่ายเงินค่าจ้าง
กลางดึกนั้นเองลาสโลที่เหนื่อยล้ากำลังหลับไหล แต่ก็ต้องถูกปลุกให้ตื่นโดยอัลติลา และได้รับข้อเสนอให้ไปหาที่อยู่ใหม่ เนื่องจากภรรยาของอัลติลา กล่าวว่าเค้าล่วงเกินเธอ และอัตติลาโทษว่าเป็นความผิดของลาสโลสำหรับโครงการที่ล้มเหลว
ในชั่วข้ามคืน จากสถาปนิกผู้มีความหวัง ลาสโลกลายเป็นคนพเนจรไร้บ้าน ทรัพย์สินติดตัวแทบไม่มี ความฝันอเมริกันของเขาสลายไปในพริบตา เขาถูกผลักไสลงสู่ก้นบึ้งของสังคม
ต้องยังชีพด้วยการเป็นกรรมกรแบกหามในไซต์ก่อสร้างต่างๆ ร่างกายที่เคยถูกฝึกฝนให้สร้างสรรค์สิ่งสวยงาม ต้องมาทำงานใช้แรงงานอันหนักหน่วงกลางแจ้ง
เวลาผ่านไปอีกหลายปี ลาสโล ได้กลายเป็นกรรมกรขนถ่านหินโดยสนบูรณ์ อีกทั้งยังติดเฮโรอีนที่ได้แหล่งซื้อจากเพื่อนผิวดำ
ลาสโล
โชคชะตาก็ได้เล่นตลกอีกครั้ง แฮริสัน ลี แวน บิวเรน (Harrison Lee Van Buren, รับบทโดย กาย เพียร์ซ - Guy Pearce) ประมุขแห่งตระกูลแวน บิวเรน ผู้เป็นเจ้าของห้องสมุดที่ลาสโลได้เป็นผู้ออกแบบไว้
ไม่เคยลืมเลือนวิสัยทัศน์อันโดดเด่นที่เขาได้เห็นในแบบร่างของลาสโล เขาสัมผัสได้ถึงอัจฉริยภาพและความไม่ธรรมดา ได้ออกตามหาสถาปนิกผู้ออกแบบห้องสมุดให้เค้ามาโดยตลอด
แฮร์ริสัน ลี แวน บิวเรน ได้มาพบกับลาสโลในสภาพที่มอมแมมแทบไม่เหลือเค้าสถาปนิกผู้หยิ่งทะนงคนที่เค้าเคยเจอ แต่แทนที่แวน บิวเรนจะแสดงความรังเกียจ
แวน บิวเรน กล่าวว่าเค้าชอบผลงานการออกห้องสมุดของ ลาสโล มาก และไม่ใช่แค่เค้า ทุกคนที่มาที่บ้านเค้าต่างให้คำวิจารย์ที่ไปในทางเดียวกัน ว่างานออกแบบนี้มันช่างยอดเยี่ยม เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ลาสโล ได้รับการเชิญชวนไปที่บ้าน เพื่อรวมงานปาตี้สุดหรูของ แวน บิวเรน เค้าพบกับมหาเศรษฐีมากมากย แวน บิวเรน แนะนำเค้าในฐานะสถาปนิกฝึมือดี ที่เป็นคนออกแบบห้องสมุด
*** ห้องสมุดนั้นมีโครงสร้างสถาปัตยกรรมแบบยุดคลาสสิค เป็นทรงโดม ที่มีแสงเข้าค่อนข้างมาก แนวคิดของลาสโล เรียบง่ายแต่ใช้งานได้เป็นอย่างดี เนื่องจากหนังสือแต่ละเล่มมีความบอบบางต่อแสงแดง เค้าจะทำชั้นหนังสือที่สามารถ เปิดปิดบานตู้ได้พร้อมๆกันแบบครีบปลา เพื่อที่จะปิดตู้ได้ในเวลาที่จำเป็น และเปิดเมื่อจะต้องใช้งาน
BAUHAUS
แวน บิวเรน ถามไถ่ความเป็นมาของ ลาสโล และได้รู้ว่าเค้าจบจาก เบาเฮาส์ โรงเรียนสอนออกแบบในเยอรมนี และเป็นผู้ลี้ภัย ที่กำลังพยายามติดต่อภรรยา และหลานสาว
แวน บิวเรน เห็นในจุดนี้ และให้คนเข้าช่วยเหลือลาสโล ในเรื่องนี้ เพื่อซื้อใจ และในที่ แวน บิวเรน ก็ได้พาทุกคน (มหาเศรษฐีเพื่อนๆที่มาร่วมงานเลี้ยง) เดินขึ้นไปยังเนินเขาที่อยู่ติดกับคฤหาสถ์
ลาสโล แฮริสัน
ณ ที่ตรงนั้นเอง ข้อเสนอที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของลาสโลก็ได้ถูกยื่นให้ แวน บิวเรนไม่ต้องการเพียงห้องสมุด แต่ต้องการสร้าง "ศูนย์วัฒนธรรม" โครงการเมกะโปรเจกต์ที่จะเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจและรสนิยมของเขา และเป้าหมายที่จะสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานให้กับแม่ผู้ล่วงลับของเค้าเองด้วย
เขาต้องการให้ลาสโลเป็นผู้ออกแบบ มันคือการฉุดลาสโลขึ้นมาจากขุมนรกและมอบท้องฟ้าทั้งผืนให้แก่เขา
Part 2: The Hard Core of Beauty (ภาค 2: แก่นแท้แห่งความงาม)
โครงการศูนย์วัฒนธรรมได้เริ่มต้นขึ้น และมันได้กลายเป็นโลกทั้งใบของลาสโล เขาอุทิศทุกอณูของชีวิตและจิตวิญญาณให้กับมัน การประชุมกับแวน บิวเรน ในเรื่องรายละเอียดการออกแบบกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน ขณะเดียวกัน เมื่อโครงการเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
ในที่สุด สิ่งที่ลาสโลคาดหวังมาตลอดก็เกิดขึ้นจริง เค้าได้พบกับ ภรรยา และหลานสาวอีกครั้ง
แต่การกลับมาพร้อมหน้า ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขอย่างที่หวัง แอร์เฌแบ็ต (Erzsébet, รับบทโดย เฟลิซิตี้ โจนส์ - Felicity Jones) ภรรยาของเขา เดินทางมาในสภาพที่ร่างกายต้องพึ่งพารถเข็นอย่างถาวร เนื่องจากโรคกระดูกพรุน ซึ่งเป็นผลพวงมาจากสงคราม
ขณะเดียวกัน โซเฟีย (Zsófia, รับบทโดย แรฟฟีย์ แคสซิดี - Raffey Cassidy) หลานสาวผู้รอดชีวิตมาพร้อมกัน ก็ตกอยู่ใน "ภาวะไม่พูด" (Mutism) อย่างสมบูรณ์ เธอสูญเสียความสามารถในการสื่อสารด้วยเสียงไปจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่ได้ประสบมา โซเฟียกลายเป็นผู้สังเกตการณ์ที่เงียบงัน
เธอมองเห็นความทุกข์ของน้าสาวและความหมกมุ่นของน้าชาย แต่ความเจ็บปวดทั้งหมดนั้นถูกกักเก็บไว้ในความเงียบของเธอ
แต่ละวันผ่านไปอย่างยากเย็น ลาสโลเองต้องประสบปัญหาจากการทำงานร่วมกับผู้อื่น เนื่องจากงานออกแบบที่คนอื่นไม่เข้าใจ และต้องการที่จะลดค่าใช้จ่ายบางส่วนลงเนื่องจากงบประมาณจะเริ่มเกินจากที่ตั้งไว้
ความ Perfectionist ของลาสโล ทำให้ไม่มีใครชื่นชอบ
ในที่สุดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น มีอุบัติเหตุจากการขนส่งวัสดุก่อสร้าง และนั่นทำให้ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างยิ่งบานปลาย
แฮริสันไม่พอใจกับเหตุการณ์นี้ เป็นอย่างมาก และตัดสินใจไล่ ลาสโล ออก และล้มเลิกโครงการทั้งหมด !!!!
ลาสโล แอร์แฌเบ็ต และโซเฟีย ตัดสินใจย้ายไปนิวยอร์ก เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ลาสโลได้กลับไปใช้ชีวิตกับงานออกแบบ ในบริษัทสถาปนิกที่นั่น ส่วน แอร์แฌเบ็ต ก็ได้ไปทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์อย่างที่เธอต้องการ
โซเฟีย กลับมาพูดได้อีกครั้ง และมาแจ้งข่าวกับน้าของเธอว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ และอยากจะย้ายไปจากที่นี่กลับไปสู่ที่ที่ชาวยิวอยู่ คือเยรูซาเล็ม ทั้งน้าชายน้าสาว ต่างอาลัยอาวรณ์เธอ แต่ก็รู้ดีว่าคงไม่เหมาะที่จะฉุดรั้งไว้ ทั้งคู่อวยพรให้เธอโชคดี และหลานที่กำลังจะเกิดมามีสุขภาพแข็งแรง
1
หลังจากนั้น ชีวิตของ ลาสโล ก็ต้องมาผลิกผันอีกครั้ง เขาได้รับการติดต่อจากแฮริสัน ว่าเค้าอยากจะทำโปรเจกต์ให้จบ และต้องการกลับมาว่าจ้างลาสโลเป็นสถาปนิกใหญ่อีกครั้ง
แฮริสัน ชวนลาสโลไปเลือกหินอ่อน ที่ต่างเมืองด้วยกัน
และแล้วเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากจะให้เกิดก็เกิดขึ้น ด้วยฤทธิ์เหล้าและเฮโรอีนที่ลาสโลได้เสพย์เข้าไป ทำให้เค้าไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองจากการถูกล่วงละเมิดโดยแฮริสันได้ ระหว่างที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น แฮริสัน ก็ได้พูดจาดูแคลนตัวของลาสโล ราวกับว่าเค้าก็เป็นเพียงทรัพย์สมบัติอีกชิ้นนึงของแฮริสัน ที่เค้าจะทำอะไรก็ได้
การกลับเข้ามาในโปรเจคครั้งนี้ ลาสโล มีแต่ความคับแค้นใจ เค้าแตกสลาย หงุดหงิดกับทุกอย่างในชีวิต พูดจาหยาบคายกับทุกคน และแข็งกร้าวมากขึ้น จนถึงขึั้นไล่เพื่อนสนิทที่เคยแบกหามด้วยกันมาก่อน ออกจากโปรเจกต์นี้
คืนนึงเค้าเค้าเคยเกือบฆ่าภรรยาด้วยความไม่ตั้งใจ เนื่องจากเป็นห่วงภรรยาอยากให้หายจากความเจ็บปวดจากโรคกระดูกพรุน จึงให้เธอลองเสพย์เฮโรอีน และให้จนเกินขนาด
ลาสโล แอร์แฌเบ็ต
หลังจากเหตุการณ์นั้น แอร์แฌเบ็ตชวนเค้าไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้งกับโซเฟีย ทำให้เค้าได้สารภาพเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นในอเมริกา ทั้งการดูถูกดูแคลนสารพัด รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เค้าไม่อยากพูดถึงอย่างการกระทำอันเลวร้ายขอแฮริสัน
คืนถัดมานั้นเอง ในคฤหาสถ์หลังใหญ่บนยอดเขา กำลังมีมื้ออาหารค่ำสุดหรูของตระกูล แวน บิวเรน ทุกคนในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
แขกผู้ไม่ได้รับเชิญ แอร์แฌเบ็ต ก็บุกเข้ามาพร้อมก่นด่า แฮริสัน แบบไม่ให้ตั้งตัว บอกกับแขกทุกคนที่มาร่วมมื้อค่ำว่า แฮริสัน เป็นนักข่มขืน แฮรี่ ลูกชายโกรธจัดและเข้าไปใช้กำลังบังคับให้เธอออกจากคฤหาสถ์ จนแอร์แฌเบ็ตล้มลง แม็กกี้ พี่สาวมาช่วยพาแอร์แฌเบ็ตออกจากพื้นที่ตรงนั้นไป
ด้วยความอับอาย ไม่มีข้อแก้ตัวใดออกจากปาก แฮริสัน ลี แวน บิวเรน เศรษฐีผู้มั่งคั่งลุกออกจากโต๊ะอาหาร และหายลับเข้าป่าไป ทุกคนในบ้านต่างออกตามหา แต่ไม่มีใครทราบชะตากรรมของเค้าอีกเลยหลังจากนั้น
Epilogue: The First Architecture Biennale (บทส่งท้าย: สถาปัตยกรรมเบียนนาเล่ครั้งแรก)
เวลาล่วงเลยไปหลายปี ณ อาคารทรงโมเดิร์น ที่ ประดับไปด้วยภาพ sketch และผลงานออกแบบมากมาย
นิทรรศการแสดงผลงานย้อนหลังของลาสโลขึ้นที่งาน Venice Biennale of Architecture ครั้งแรก นิทรรศการได้จัดแสดงโครงการต่างๆ ที่เขาสร้างขึ้นทั่วโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงศูนย์วัฒนธรรม แวน บิวเรน ซึ่งสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 1973
ศูนย์กิจกรรมและการสร้างสรรค์ มากาเร็ต ลี แวน บิวเรน
โซเฟียในวัยผู้ใหญ่ พร้อมลูกสาว และลาสโลที่แก่ชราขึ้นมากจนต้องนั่งรถเข็น ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ที่เปิดเผยความจริงว่า ลาสโลได้ออกแบบพื้นที่ในศูนย์วัฒนธรรม แวน บิวเรน ให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับ ค่ายกักกันบูเคนวัลด์ (Buchenwald) และดาเคา (Dachau) ที่เป็นบาดแผลภายในจิตใจเค้ามาตลอด พร้อมกับปิดจบด้วยคำสอน จาก ลาสโล และแอร์แฌเบ็ต ว่า
"ไม่ว่าใครจะพยายามขายอะไรให้ลูกก็ตาม
สิ่งสำคัญคือจุดหมายปลายทาง ไม่ใช่การเดินทาง"
(No matter what the others try and sell you,
it is the destination, not the journey.)
Zsofia (The Brutalist 2024)
ประโยคในหนัง credit : https://www.imdb.com/title/tt8999762/quotes/
บทสรุป
The Brutalist ปิดฉากลงโดยทิ้งให้ผู้ชมขบคิดถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างศิลปะ ชีวิต และสังคม ภาพยนตร์เรื่องนี้คือบทพิสูจน์ว่าผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มักถือกำเนิดขึ้นจากความทุกข์ทรมานที่ลึกซึ้งที่สุด
และ "ความงาม" ในบางครั้งก็อาจปรากฏในรูปแบบที่ดิบกระด้างและจริงแท้ที่สุด ดั่งเช่นสถาปัตยกรรมบรูทัลลิสต์ ที่ยืนหยัดท้าทายกาลเวลาและความหมายที่ผู้คนจะตีความมันไปอีกนานเท่านาน
Brutalist architecture คืออะไร ???
dsignsomthing.com ให้นิยามว่า
"แนวคิดหลักของ Brutalist Architecture คือการแสดงเนื้อแท้ของวัสดุที่ก่อรูปมาเป็นตัวของมันเองอย่างชัดเจน ในที่นี้คือคอนกรีต การนำเสนอสัจจะ
ไม่ปะหน้าหรือแต่งเติมสิ่งอื่นนอกจากเนื้อแท้ของวัสดุที่ใช้ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างนั้น จึงเป็นคุณค่าหนึ่งที่ทำให้ Brutalist Architecture มีเอกลักษณ์และกลายเป็นต้นแบบทางความคิดสืบต่อกันมา"
สถาปนิกที่ยึดแนวทางนี้ในการออกแบบได้แก้
หลุยส์ คาห์น (Louis Kahn)
Jatiyo Sangshad Bhaban,Dhaka, Bangladesh
ด้วยภาพลักษณ์ที่ดูแข็งกระด้างและไม่เป็นมิตร ทำให้บรูทัลลิสต์กลายเป็นสถาปัตยกรรมที่ถูกถกเถียงมากที่สุดแขนงหนึ่ง
มีทั้งคนที่หลงใหลในความดิบเท่และความซื่อตรงของมัน และคนที่ไม่ชอบเพราะมองว่ามันดูน่ากลัว, เย็นชา, และสื่อถึงอำนาจแบบเผด็จการ
ดังเช่นในเรื่อง "The Brutalist"
คำพูดสุดท้ายของ โซเฟีย ที่เป็นคำสอนของลาสโล สะท้อนตัวตนเค้าในท้ายที่สุดว่า
แม้ "การเดินทาง" ในชีวิตของลาสโลจะเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน, การถูกกระทำ, และความสูญเสีย แต่ในท้ายที่สุด "จุดหมายปลายทาง" ของเขากลับประสบความสำเร็จอย่างงดงาม โลกทั้งใบต่างชื่นชมผลงานที่เขาสร้างขึ้น :)
ความคิดเห็นเพิ่มเติม
หนังดูเพลิน ทุกฉากทุกมุมสวยงาม ทั้งงานสถาปัตยกรรม มุมกล้อง รวมไปถึงแสงที่ใช้ในหนังถูกจัดวางมาเป็นอย่างดี ไม่แปลกใจเลยที่จะได้รับเสียงวิจารย์ในเชิงบวก และการันตีด้วยรางวัลมากมาย
ตัวนักแสดงในเรื่องทุกคนถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างสมจริงเหลือเชื่อ ประวัติของลาสโลสถาปนิกชาวยิวผู้นี้ มีอยู่หลายครั้งในใจขณะที่ดู หลงคิดว่าเค้าอาจจะมีตัวตนจริงอยู่ในประวัติศาสตร์ในฐานะสถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่ที่เราไม่เคยได้เรียนถึง
เป็นหนังยาว 3 ชั่วโมงครึ่งที่อิ่มเอมไปด้วยความงดงามของศิลปะในหลายๆแขนง การที่หนังมีช่วงให้ได้พักเบรก 15 นาที ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมาก เพราะไม่อยากพลาดแม้แต่ฉากเดียว
หนังทำให้เราได้เห็นประวัติชีวิตของคนคนนึงที่ต้องผ่านบททดสอบ ทั้งทางกาย และที่มากมายที่สุดคือทางจิตใจ ตั้งแต่หลุดพ้นเพื่อแสวงหาโชคในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย การปรับตัวเข้ากับคนอื่น การถูกยอมรับและไม่ยอมรับ แม้ว่าหนังจะไม่ได้เล่าตั้งแต่ลาสโลเกิดมา แต่ส่วนตัวผู้เขียนเองรู้สึกว่า วินาทีที่ลาสโลมาถึงอเมริกา นั่นแหละคือจุดกำเนิดชีวิตของเค้าที่แท้จริง
ตัวอย่างหนัง
11/10 จาก Before U Go (เหลือเกิน)
สุดท้ายหากทุกคนมีประเด็นไหนที่อยากพูดคุยหรือเล่าเสริม สามารถเขียนคอมเม้นมาได้เลยนะ ถ้ามีพิมพ์ผิดพิมพ์พลาด หรือมีช่วงไหนตกหล่นก็ต้องขออภัยมานะที่นี้
ฝากกดไลค์ กดแชร์เป็นกำลังใจด้วยน้า
#TheBrutalist #เดอะบรูทัลลิสต์ #Oscar #MoviesReview #OscarReview #Architecture #Architect
Before you go
12.06.2023
โฆษณา