12 มิ.ย. เวลา 06:56 • การศึกษา
สมมุติ กับ วิมุตติ
เรื่องของการเรียนรู้ ของจิตนั่น จิตของคนเรา อยู่ที่ไหน ก็ยึด ..ยึดกาย ยึดอารมณ์ ยึดทรัพย์สินเงินทอง อยากมีอะไร มันใหญ่โต มีบ้านใหญ่ มีคนรับใช้ มีคนพลอยพยัก มีคนยกสำรับกับข้างชว มาให้กิน กินแล้ว อิ่มแล้ว ก็ลุกจากไป ไม่ต้องล้างไม่ต้องเช็ดถูถ้วยชามกาละมัง มันชอบสบายอย่างนั้น . เอ..ไปดูหมาแมว ที่เลี้ยง โอ้ว ..สบายจัง ถึงเวลา ก็มีคน เอาข้าว เอาขนม มาใส่กาลามัง ร้อง.เหมียวเสียหน่อย ..คนก็เอาอาหารให้ อุปการะอุปถัมภ์กันไป กินแล้ว ก็ไม่ต้องล้างถ้วยล้างชาม ..
นี่เพราะเราเป็นคน เราก็ต้องรู้จัก เรื่องสะอาดไม่ สะอาดสะอ้านได้ เรารู้จักแล้ว เราก็ล้างถ้วย ล้างชาม เนื้อตัวสกปรกคราบเหงื่ิอไคลให้หลุดลอกออกไป แต่เรื่องที่จะเอาของจิต จิตคลุกจมอยู่กับโคลมตม หากเราไม่รู้ว่าจิตนั่นจมกับโคลนตม มันก็ไม่มีเหตุผลอะไร ไม่รู้ว่า จะต้องเสาะแสวงหาอะไรมาชำระสะสางจิตที่จมอยู่กับโคลนต้ม เราอาบน้ำฟอกกาย เอาอะไร ห่อหุ้มกาย ตกแต่งได้ เอาน้ำหอมน้ำปรุงมาใส่ที่ผิวกายได้ แต่มันก็เข้าไปไม่ถึงข้างในกาย ที่จิตอาศัยได้
คราวนี้ คนที่เค้า เรียนรู้จัก เค้าสร้างบุญกุศลขึ้นมาได้ ปฏิบัติธรรม ฟังธรรมจากพระที่ท่าน ปฏิบัติธรรมตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่า ให้เกิด สมาธิปัญญา .จิตเหมือนถูกจุดขึ้นมา กายนั้นเป็นต้นเทียน จิตนั้นไปไส้เทียน ที่ถูกจุดด้วยธรรม เกิดแสงสว่างที่ไส้เทียน
จิตที่สว่าง ก็มองเห็นต้นเทียน คือกายนั้น มีอะไรอยู่ มีอะไรเกิดขึ้น รู้จักว่า ว่า จะทำความสะอาดต้นเทียน คือกายที่จิตอาศัยนั้น ต้องทำอย่างไร ..สิ่งเหล่านี้ แหละ ที่จะเป็นเหตุผล สอนจิตให้หมั่นเพียร พยายาม ชำระสะสาง กายและจิต ให้สะอาดสะอ้าน ด้วยอารมณ์ น้ำธรรม หล่อเลี้ยงกายและจิต ที่ว่า กุศลบารมี เราก็พูดคำว่า กุศลบารมีได้ แต่ใครเล่าที่จะเข้าใจ ทำไปถึงคำที่เป็นสมมุติ ให้ถึงความจรืงที่เป็นวิมุตติ
โฆษณา