Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Witly. - เปิดโลกวิทย์แบบเบา ๆ
•
ติดตาม
24 มิ.ย. เวลา 00:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
🧠 ADHD ไม่ได้ 'ระบาด' อย่างที่คิด เจาะเบื้องหลังสถิติที่เพิ่มขึ้น และความจริงของผู้ป่วยที่ 'ถูกลืม'
ช่วงนี้ไม่ว่าหันไปทางไหน เรามักจะได้ยินเรื่องโรคสมาธิสั้น (ADHD) บ่อยขึ้นเรื่อยๆ จนหลายคนอาจสงสัยว่า "ทำไมเด็กสมัยนี้เป็น ADHD กันเยอะจัง?" หรือแม้แต่ตัวเราเองก็อาจจะสงสัย...
แต่ถ้าเราบอกว่า งานวิจัยล่าสุดที่น่าเชื่อถือที่สุดกลับชี้ไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง และความจริงเบื้องหลังสถิติที่พุ่งสูงขึ้นนั้นซับซ้อนกว่าที่เราเห็นมากนักล่ะครับ?
💡 สรุปสั้นๆ สำหรับคนใจร้อน
ความจริงคืออัตราผู้มีภาวะ ADHD ที่แท้จริง ไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่สิ่งที่เพิ่มคือ "การตระหนักรู้" และ "การเข้าถึงการวินิจฉัย" ทำให้คนที่เคยถูกมองข้าม (โดยเฉพาะผู้หญิงและผู้ใหญ่) เพิ่งจะถูกนับรวมในสถิติอย่างเป็นทางการครับ
🤯 ความจริงที่สวนกระแส: ADHD ไม่ได้เพิ่มขึ้น
แม้รายงานข่าวมากมายอาจทำให้เรารู้สึกว่า ADHD กำลัง "ระบาด" แต่ผลการประเมินงานวิจัยหลายพันชิ้นตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา กลับให้ข้อสรุปที่น่าประหลาดใจว่า: ไม่มีหลักฐานว่าอัตราความชุก (prevalence) ของ ADHD ในเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมีความหมาย
"จากข้อมูลที่ดีที่สุดที่เรามี ชี้ว่าไม่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของอัตราความชุกของ ADHD" อเล็กซ์ มาร์ติน (Alex Martin) จาก King’s College London กล่าว
แต่เดี๋ยวก่อน... เรื่องราวมันซับซ้อนกว่านั้นมาก เพราะทีมวิจัยของมาร์ตินกลับพบปัญหาที่ใหญ่กว่าซ่อนอยู่ นั่นคือ "วิกฤตข้อมูลคุณภาพต่ำ"
📉 ปัญหาที่ใหญ่กว่า: เมื่อข้อมูลส่วนใหญ่เชื่อถือไม่ได้
ทีมวิจัยเริ่มต้นด้วยงานวิจัยกว่า 9,000 ชิ้น แต่หลังจากคัดกรองอย่างละเอียด พบว่ามีงานวิจัยที่ "มีคุณภาพสูง" และปราศจากอคติร้ายแรง (เช่น การวินิจฉัยทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ) อยู่ เพียง 4 ชิ้นเท่านั้น!
"งานวิจัยส่วนใหญ่นั้นมีอคติมากเกินไปจนไม่สามารถนำมาสรุปผลได้" มาร์ตินกล่าว นี่คือความจริงที่น่ากังวลของวงการวิจัยสุขภาพจิต และมันทำให้การหาข้อสรุปที่แท้จริงเป็นไปได้ยากมาก
แล้วถ้าอัตราการเกิดภาวะนี้ไม่ได้เพิ่มขึ้น... ทำไมเรารู้สึกว่าคนรอบตัวไปวินิจฉัย ADHD กันเยอะขึ้นล่ะ?
🔍 จุดหักมุม: ไม่ใช่การระบาด แต่คือการ "ตามเก็บงานเก่า"
นี่คือคำตอบที่สำคัญที่สุดครับ ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่การระบาดครั้งใหม่ แต่มันคือการ "ตามเก็บงานเก่า" (Playing Catch-up)
ฟิลิป ชอว์ (Philip Shaw) และ เอ็ดมันด์ โซนูกา-บาร์ค (Edmund Sonuga-Barke) ผู้เชี่ยวชาญอีกทีมหนึ่งอธิบายว่า "ประวัติศาสตร์ของ ADHD คือประวัติศาสตร์ของการถูกมองข้ามและวินิจฉัยต่ำกว่าความเป็นจริงมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กผู้หญิงและผู้หญิงวัยผู้ใหญ่"
ดังนั้น การที่จำนวน "การวินิจฉัย" เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จึงเป็นเหมือนการ "รีเซ็ต" ของระบบสาธารณสุข ที่เพิ่งจะเริ่มตระหนักรู้และเข้าใจภาวะนี้ในกลุ่มคนที่เคยถูกละเลย
ชอว์เสริมว่า "ตอนนี้สังคมเรามีการตระหนักรู้เพิ่มขึ้น และที่น่ายินดีอย่างยิ่งคือมลทิน (stigma) ที่เกี่ยวกับ ADHD ลดน้อยลง ซึ่งหมายความว่าผู้คนกำลังก้าวออกมารับการประเมินมากขึ้น"
พูดง่ายๆ คือ คนที่ถูกวินิจฉัยเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ "ผู้ป่วยรายใหม่" ที่เพิ่งมาเป็น แต่คือ "ผู้ป่วยรายเก่า" ที่มีภาวะนี้มานานแล้ว แต่เพิ่งจะเข้าถึงความเข้าใจและการวินิจฉัยที่ถูกต้องได้นั่นเอง
🏡 ปรากฏการณ์ "ตามเก็บงานเก่า" ในสังคมไทย
เรื่องนี้สะท้อนสถานการณ์ในประเทศไทยได้อย่างน่าสนใจครับ แม้เราอาจจะยังไม่มีงานวิจัยเรื่องความชุกของ ADHD ในระดับประเทศที่มีคุณภาพสูง แต่ปรากฏการณ์ "Playing Catch-up" นี้ก็ดูเหมือนจะเกิดขึ้นในบ้านเราเช่นกัน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การพูดคุยเรื่องสุขภาพจิตและภาวะ Neurodiversity (ความหลากหลายทางระบบประสาท) ในโซเชียลมีเดียมีเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z มีความตระหนักรู้และเข้าใจภาวะ ADHD มากขึ้น ประกอบกับมลทินที่ลดลง ทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่กล้าที่จะไปปรึกษาแพทย์เพื่อรับการประเมินมากขึ้น สิ่งนี้เองที่อาจสร้าง "ภาพ" ว่ามีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และนำไปสู่ภาวะคิวยาวในโรงพยาบาลหลายแห่ง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับในต่างประเทศอย่างมาก
🎯 สรุปประเด็นสำคัญ
✅ ความจริงสวนกระแส: งานวิจัยคุณภาพสูงล่าสุดชี้ว่า "อัตราความชุกที่แท้จริง" ของ ADHD ในเด็ก "ไม่ได้เพิ่มขึ้น" อย่างที่เชื่อกัน
✅ วิกฤตข้อมูล: ปัญหาใหญ่คือข้อมูลงานวิจัยส่วนมากมีคุณภาพต่ำและมีอคติสูงมาก ทำให้การหาข้อสรุปที่แท้จริงเป็นไปได้ยาก
✅ ปรากฏการณ์ "ตามเก็บงานเก่า": จำนวน "การวินิจฉัย" ที่เพิ่มขึ้น ไม่ได้แปลว่ามี "ผู้ป่วย" เพิ่มขึ้น แต่มาจากการที่คนซึ่งมีภาวะนี้อยู่แล้วแต่ไม่เคยถูกตรวจ เพิ่งจะเข้าถึงการประเมินได้
✅ มลทินที่ลดลง: การที่สังคมเปิดกว้างและเข้าใจ ADHD มากขึ้น คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้คนกล้าไปพบแพทย์
✅ เช็คก่อนเชื่อ: เราควรตั้งคำถามกับสถิติความชุกของ ADHD เสมอ และตรวจสอบที่มาและความน่าเชื่อถือของข้อมูลก่อนจะสรุปผล
💖 มาช่วยกันขับเคลื่อน "Witly" กันครับ!
ท่ามกลางข้อมูลข่าวสารที่ถาโถมในยุคนี้ การแยกแยะระหว่าง "กระแส" กับ "ความจริง" เป็นเรื่องที่ต้องใช้สมาธิและพลังงานอย่างยิ่ง
เป้าหมายของ Witly ก็เช่นกัน คือการ "โฟกัส" ไปที่งานวิจัยคุณภาพ, กลั่นกรองข้อมูลที่ซับซ้อน, และนำเสนอความจริงที่ลึกซึ้งกว่าพาดหัวข่าว
ทุกการสนับสนุนผ่าน "ค่ากาแฟ" ของคุณ คือพลังที่ช่วยให้เราสามารถทำงานที่ต้องใช้ความละเอียดและสมาธิสูงนี้ต่อไป เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับสังคมครับ
💬 แล้วคุณล่ะครับ...
การที่สังคมมีความตระหนักรู้เรื่อง ADHD มากขึ้น ส่งผลกระทบต่อมุมมองของคุณหรือคนรอบข้างอย่างไรบ้างครับ? คุณคิดว่านี่เป็นสัญญาณที่ดีที่ทำให้เราเข้าใจ "ความหลากหลายของมนุษย์" มากขึ้นหรือไม่?
มาแบ่งปันมุมมองกันในคอมเมนต์... และถ้าคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์ ลองบันทึกเก็บไว้อ่าน 📌 หรือแชร์ให้เพื่อนๆ ได้เข้าใจเรื่องนี้มากขึ้นด้วยกันนะครับ 💖
🔎 แหล่งอ้างอิง
1. Martin, F. A., et al. (2025. The changing prevalence of ADHD? A systematic review. Journal of Affective Disorders.
https://doi.org/pqrf
วิทยาศาสตร์
จิตวิทยา
สุขภาพ
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
NEWS BRIEF
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย