20 มิ.ย. เวลา 03:00 • ประวัติศาสตร์
กัมพูชา

กัมพูชา ตอนที่ 1 จากเงาฝรั่งเศสสู่จุดเริ่มแห่งความขัดแย้ง

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ประเทศไทยกลับสู่ความสงบสุข แต่เพื่อนบ้านรอบๆ ของเรานั้น กลับมีปัญหาเยอะแยะเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการต่อสู้เพื่อเอกราชกับจักรวรรดินิยม โดยเฉพาะฝรั่งเศส หรือแม้แต่ความแตกแยกในอุดมการณ์ทางการเมือง ซึ่งคนในชาติเหล่านั้นต่างก็จะมีมุมมองภาพอนาคตประเทศของตัวเองแตกต่างกันออกไปตามแต่ขั้วอำนาจที่คอยหนุนหลังอยู่ โดยเป็นการสุมฟืนไฟจากมหาอำนาจที่ใช้ตัวแทนในแต่ละประเทศ จนเกิดเป็น “สงครามตัวแทน” ในแต่ละภูมิภาค และถือเป็นส่วนหนึ่งของสมรภูมิ “สงครามเย็น”ด้วยเช่นกัน
1
ดังที่เราได้เคยไล่เรียงกันมาแล้วในซีรีย์เรื่อง “ประเทศเมียนมา อาณาจักรพุกาม” และในขณะนี้ประเทศไทยกำลังมีประเด็นใหญ่กับเพื่อนบ้านทางขวามือซะเหลือเกิน ทำให้เกิดความสงสัยว่า.. ประวัติของเพื่อนบ้านเรานั้นเป็นมายังไงกัน??? ใช่ครับ.. ผมกำลังหมายถึง ” ประเทศกัมพูชา หรือ เขมร “ นั่นเอง
ซึ่งในอดีตเคยมีภาพยนตร์เกี่ยวกับสงครามกลางเมืองของกัมพูชามาแล้วเรื่องหนึ่ง ได้รับรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 57 มีชื่อว่า “The Killing Fields” ชื่อไทยคือ “ทุ่งสังหาร“ ออกฉายในปี พ.ศ. 2527 เชื่อว่าคนไทยหลายคนอาจจะเคยได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้กันมาบ้าง เป็นเรื่องราวในช่วงกรุงพนมเปญแตกและชัยชนะของเขมรแดง แต่ว่าเรื่องราวที่เป็นมูลเหตุปฐมบทของเหตุการณ์เหล่านั้นล้วนมีความโยงใยเกี่ยวข้องกับสงครามเวียดนามแบบชนิดที่เรียกว่า “แกะกันไม่ออก” เลยทีเดียว
The Killing Fields ชื่อไทยคือ “ทุ่งสังหาร“ ออกฉายในปี พ.ศ. 2527
หลังจากการพ่ายแพ้ของเขมรแดงต่อกองทัพเวียดนามยังคงเป็นเรื่องราวที่ควรค่ากับความสนใจในรายละเอียด และหากมีการพูดถึงกัมพูชา เช่น คำว่า “รัฐบาลเขมร 3 ฝ่าย” หรือ “รัฐบาลเขมร 4 ฝ่าย” หลายท่านก็อาจจะตั้งคำถามว่า.. แล้วตกลงฝ่ายไหนกันบ้างล่ะ!! และบริบทของรัฐบาลผสมเขมร 3 ฝ่ายในทศวรรษที่ 80 กับเขมร 4 ฝ่าย ในยุคทศวรรษ 90 ล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง ??
ต้องบอกว่าซับซ้อนไม่แพ้วรรณกรรม 3 ก๊กของล่อกวนตงเลย ขอไปตั้งหลักเริ่มต้นกันในยุคที่ฝรั่งเศส หรือสาธารณรัฐที่ 3 นั้นได้เข้ามารุกรานอินโดจีน โดยยึดครองประเทศต่างๆในภูมิภาคเหล่านี้เป็นเมืองขึ้น เริ่มจากเวียดนามตกเป็นเมืองขึ้นประเทศแรก ต่อมาก็ถึงคิวของกัมพูชา ในปี ค.ศ.1863 (พ.ศ.2406) ซึ่งตรงกับช่วงปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 4 ของบ้านเรา และไม่ต่างจากประเทศอื่นที่ถูกรุกรานก่อนหน้า เพราะวิทยาการที่ทิ้งห่างของ 2 ซีกโลกนั้น ทำให้แทบจะไร้การต้านทาน
1
รูปแบบการปกครองกัมพูชา ภายใต้การคุ้มครองของฝรั่งเศส มีชื่อว่า “the french protectorate of cambodia” ต่อมาก็เช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านอีก 2 ประเทศ คือ เวียดนาม และลาว ที่ได้รับอิทธิพลด้านการศึกษามาจากเจ้าอาณานิคมคือ ฝรั่งเศส มีการตั้งโรงเรียนหลักสูตรฝรั่งเศส เช่น ที่เวียดนามมี ”ลิเซ่ ก๊วก ฮอก“(Lycée Quốc Học) ของกัมพูชาก็มีลิเซ่ หรือโรงเรียนมัธยมที่มีชื่อว่า “ลิเซ่ สีสุวัต”(Lycée Sisowath) อยู่ที่เมืองหลวงก็คือกรุงพนมเปญ
2
โรงเรียนมัธยม“ลิเซ่ สีสุวัต”(Lycée Sisowath)
ก็จะมีบุคคลชั้นสูง รวมถึงบุคคลชั้นกลาง เข้ารับการศึกษาที่นี่ โดยบุคคลสำคัญที่มีบทบาท และเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนหลักสูตรนี้มีใครกันบ้าง ได้แก่ เอียง สารี (Ieng Sary) ,โศ เฮือง หรือ สาโรชโศ (Saros Sar / Khieu Samphan) ที่ต่อมาก็คือพอร์ต พต, คิว ทีริด (Khieu Thirith) , คิว พรรี่ (Khieu Ponnary) ที่เป็นภรรยาของทั้งสองคนข้างต้น และนอกจากนี้ ก็ยังมีอีกหนึ่งบุคคลที่ต่อมาจะมีบทบาทในการเมืองกัมพูชา ก็คือ เขียว สมพร (Khieu Samphan)
นอกจากนี้ยังมีสตรีลูกครึ่งฝรั่งเศส–อิตาเลียน–เขมรผู้สูงศักดิ์ในสังคมอย่าง ปอล-โมนีก อิซซี (Paule Monique Izzi) ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นพระชายาของเจ้านโรดมสีหนุ ที่เป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์กัมพูชา ก็เรียนที่นี่ เดียวเรามาไล่เรียงกันว่า การเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนแบบนี้ มีความเชื่อมโยงแบบนี้ ต่างฝ่ายต่างมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและกันอย่างไร??
มีหลายๆ คนสำเร็จการศึกษาจากที่นี่ ก็ได้ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเวียดนาม ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางของแหล่งการศึกษาในภูมิภาคนี้ บางคนมีโอกาสได้ไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศสแล้วก็กลับมาบ้านเกิด พร้อมด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองที่จะเปลี่ยนแปลงกัมพูชาตลอดไป
2
ปอล-โมนีก อิซซี (Paule Monique Izzi)
ส่วนรูปแบบการปกครองถึงแม้ว่า.. จะอยู่ภายใต้การคุ้มครองปกป้องโดยฝรั่งเศส แต่ฝรั่งขาวก็เลือกที่จะให้สถาบันกษัตริย์ของราชวงศ์ท้องถิ่นเป็นประมุข แต่เพียงในนามเท่านั้น ไม่ทรงมีพระราชอำนาจใดๆ ซึ่งที่เวียดนามพวกเขาก็มีจักรพรรดิ แห่งเหงวียนเป็นสัญลักษณ์อยู่ที่เมืองเว้ ส่วนที่กัมพูชาก็มีเจ้าสีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์ปกครองในระหว่างปี ค.ศ.1927~1941 (พ.ศ.2470~2484)
ต่อมาเมื่อพระองค์สวรรคตลง โดยฝรั่งเศสยังต้องการควบคุมสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อไป จึงสนับสนุนให้หลานตาของพระองค์คือ เจ้าชายนโรดมสีหนุ พระชนมายุเพียง 19 พรรษาและกำลังกำลังศึกษาอยู่ที่ลีเซ Chasseloup-Laubat ในไซ่ง่อน อีกทั้งเป็นผู้ที่มีสายโลหิตจากสองราชสกุลสำคัญ อันได้แก่ ราชสกุลนโรดม กับ ราชสกุลสีสุวัตถิ์ เสด็จขึ้นครองราชย์ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสด้วยมั่นใจอย่างยิ่งว่า.. จะสามารถคุมพระองค์ได้
1
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังคุกรุ่นอยู่นั้น ก็เช่นเดียวกันกับอีก 2 ประเทศในอินโดจีนคือ เวียดนาม ลาว ที่ฝรั่งเศสไม่สามารถรักษาอาณานิคมของตัวเองไว้ได้ จึงต้องปล่อยให้ญี่ปุ่นเข้าไปมีอิทธิพลในภูมิภาคนี้แทน
3
เจ้าสีสุวัตถิ์ มุนีวงศ์
จนกระทั่งเมื่อญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั่งเศสจึงได้กลับเข้าไปมีอิทธิพลในพื้นที่อินโดจีนเหมือนเดิม แต่ก็มีความแตกต่างเกิดขึ้นนั่นคือ ระดับการควบคุมไม่เหมือนกันในแต่ละประเทศแล้ว เช่น ฝรั่งเศสกลับเข้าไปปกครองเวียดนามอีกครั้งด้วยกรงเล็บเหล็กของพวกเขา
1
แต่ทว่ากลับค่อยๆให้อิสระกับลาว และกัมพูชาเพิ่มมากขึ้น จนทำให้กัมพูชาเริ่มต้นคิดวาดฝัน และวางพิมพ์เขียวในการก้าวเข้าสู่การเป็นประเทศเกิดใหม่ที่กำลังจะมีอธิปไตยเป็นของตัวเองในวันข้างหน้า ซึ่งก็เหมือนกับประเทศเกิดใหม่ทั่วๆไป
จึงต้องวางแผนเป็นประเทศที่จะมีประชาธิปไตย และมีอำนาจฟื้นคืนราชสำนักเดิมให้ดำรงตำแหน่งพระประมุขของประเทศสืบไป แต่แน่นอนว่า.. ตราบใดที่ฝรั่งเศสยังมิได้มีการมอบเอกราชให้อย่างสมบูรณ์แบบนั้น กัมพูชาก็ต้องทำเหมือนกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งสองนั่นคือ เวียดนามมีขบวนการเวียดมินห์ ลาวก็มีขบวนการลาวอิสระ กัมพูชาเองก็มีขบวนการชาตินิยมเขมรอิสระ ที่ต้องการจะปลดแอกจากฝรั่งเศสอย่างสมบูรณ์ในเวลาที่รวดเร็วด้วย
โดยได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือจากขบวนการชาตินิยมในประเทศเวียดนามซึ่งก็คือ เวียดมินห์ ดังนั้นขบวนการนี้จึงเรียกรวมกันว่า “ขบวนการเขมร เวียดมินห์” เป็นการแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของขบวนการชาตินิยมที่มุ่งต่อต้านจักรวรรดินิยมฝรั่งเศส และเป็นการต่อสู้ของชาวกัมพูชาที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งสองแห่งด้วยหัวอกเดียวกัน
ภูมิศาสตร์ของกัมพูชา
ก่อนที่เราจะเดินหน้าต่อไป ขอพูดถึงด้านภูมิศาสตร์ของกัมพูชาซักหน่อยว่า.. กัมพูชามีขนาด พื้นที่โดยประมาณก็ 1/3 ของประเทศไทยคือ 181,000 กว่าตารางกิโลเมตร พวกเขามี 28 จังหวัดด้วยกัน
โดยที่มีไทยกับลาวเป็นเพื่อนบ้าน มีพรมแดนทางตอนเหนือคือ จังหวัดบันเตียเมียนเจย (Banteay Meanchey), สตึงแตรง (Stung Treng) ตามลำดับ ในขณะที่ด้านฝั่งตะวันออกจรดตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศติดกับพรมแดนของเวียดนาม ได้แก่ จังหวัดรัตนคีรี (Ratanakiri), มณฑลคีรี (Mondulkiri), กระแจะ (Kratie), ตะบอง หรือ ตะวงศ์ (Svay Rieng)
พื้นที่ตรงนี้ต่อมากลายเป็นเส้นทางลำเลียงกำลังพลของเวียดกง และเวียดนามเหนือในชื่อว่า “เส้นทางโฮจิมินห์” สำหรับจังหวัดรัตนคีรี ที่อยู่ด้านทิศตะวันออกก็ติดประชิดกันกับพรมแดนประเทศเวียดนาม ซึ่งต่อมาเป็นจังหวัดที่เป็นฐานที่มั่นของเขมรแดง เดี๋ยวเราจะกลับมาอธิบายเรื่องตรงนี้กันภายหลัง
ในขณะที่กรุงพนมเปญเป็นนครหลวงอยู่บริเวณตรงกลางค่อนข้างไปทางตอนใต้ของประเทศ ส่วนจังหวัดที่มีชื่อขึ้นต้นว่า กำปงที่แวดล้อม เช่น กำปงชะนัง, กัมปงสปือ, กำปงจาม, กำปงทม, กัมปงโสม ล้วนอยู่บริเวณโดยรอบของกรุงพนมเปญ
ภาพถ่ายในช่วงที่เกิดการรบระหว่างฝรั่งเศสกับเวียดมินห์
เราจะพบว่า บุคคลสำคัญส่วนใหญ่ของกัมพูชาจะมาจากพื้นที่นี้ค่อนข้างเยอะ เพราะว่าเป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้กับศูนย์กลางของอำนาจก็คือ กรุงพนมเปญ และในปี ค.ศ.1953( พ.ศ.2496) ประเทศกัมพูชาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ เป็นพระราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างสมบูรณ์ ซึ่งในช่วงเวลานั้น ฝรั่งเศสกำลังรบกับกองกำลังเวียดมินห์ ของโฮจิมินห์อย่างเข้มข้นเลยทีเดียว
เพราะการสู้รบกับกองกำลังเวียดมินห์นั้น มีหลายสมรภูมิที่ยากต่อการเอาชนะได้ เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าดงดิบ และการสู้รบก็ยังดำเนินต่อไป จนในปี ค.ศ.1954( พ.ศ.2497) มีหนึ่งในสมรภูมิสำคัญที่เรียกว่า “ยุทธการเดียนเบียนฟู” ซึ่งถือเป็นสุดยอดการศึกในสงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 โดยฝรั่งเศสประเมินสถานะการณ์และกำลังรบของฝ่ายตรงข้ามต่ำเกินไป จนนำไปสู่การพ่ายแพ้อย่างหมดรูป และไม่กลับมามีอิทธิพลในอินโดจีนอีกต่อไป
ในช่วงเวลาที่ฝรั่งเศสกำลังรบกับเวียดนาม ได้มีการประชุมนานาชาติที่นครเจนีวา ส่งผลต่ออนาคตของประเทศทั้ง 3 ในอินโดจีน เรียกว่า “ข้อตกลงเจนีวา” การประชุมได้พูดถึงอนาคตของชาติเกิดใหม่ ซึ่ง 2ในชาติเกิดใหม่ก็คือ ลาว และกัมพูชา ที่มีจุดยืนทางการเมืองระหว่างประเทศ กล่าวคือ “ต้องวางตัวเป็นกลาง ต้องไม่เข้าข้างฝ่ายใด“ ต้องย้ำว่า สถานภาพการเมืองระหว่างประเทศที่มีจุดยืนเป็นกลางนี้ มีความสำคัญต่อพวกเขามากพอสมควร
ภาพถ่ายการประชุมข้อตกลงเจนีวา
ต่อมาเมื่อเวียดนามได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสแล้ว แต่ก็ถูกแบ่งประเทศออกเป็น 2 ส่วน กองกำลังเวียดมินห์ หรือแนวร่วมต่อต้านฝรั่งเศส ได้ถอนกำลังตัวเองออกจากประเทศเพื่อนบ้านแล้ว เอาเป็นว่า แนวร่วมอิสระของขบวนการชาตินิยม 3 ชาติต่อต้านฝรั่งเศส อันได้แก่ เวียดมินห์ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นรัฐบาลเวียดนามเหนือไปแล้ว ลาวอิสระ และเขมรอิสระ ก็ต้องยุติบทบาทลงอย่างน้อยที่สุดก็ในทางนิตินัย
ทีนี้เรากลับมาดูกันบ้างว่า.. ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านสำหรับกัมพูชา ประเทศที่ต้องมีความเป็นกลางทางการเมืองระหว่างประเทศนั้น แล้วการเมืองภายในบ้านของตัวเองล่ะ เป็นอย่างไร
ช่วงเวลานั้น กัมพูชาต้องการที่จะเริ่มต้นสร้างประชาธิปไตย โดยมีกษัตริย์เป็นพระประมุข ดังนั้นในปี ค.ศ.1955(พ.ศ.2498) หลังจากการได้รับเอกราช 2 ปี เจ้านโรดมสีหนุ กษัตริย์กัมพูชา ซึ่งตอนนั้นพระองค์มีพระชนมายุ 33 ปี ได้ตัดสินใจสละราชบัลลังก์ และให้พระชนกของพระองค์ ว่าง่ายๆ ก็คือ พ่อตัวเอง เจ้านโรดม สุรามฤต มาเป็นพระประมุขแทนพระองค์
2
พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดมสุรามฤต และพระนางเจ้าสีสุวัตถิ์กุสุมะ เมื่อปี 2498
ถามว่า.. ทำไมถึงต้องทำอย่างนั้นล่ะ?? คำตอบคือ เพราะพระองค์นั้น ต้องการลงสมัครรับเลือกตั้งภายใต้ระบอบประชาธิปไตยในยุคเริ่มต้นของกัมพูชา พร้อมกับได้มีการตั้งพรรคการเมืองของพระองค์ที่มีชื่อว่า “พรรคสังคมราษฎรนิยม” และในที่สุดพระองค์ก็ชนะการเลือกตั้งทั่วไปในปีนั้น และได้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีตามความประสงค์
1
จากประมุขของประเทศในฐานะกษัตริย์ ก็ได้กลายมาเป็นผู้บริหารที่มีอำนาจสูงที่สุดอยู่ในมือตามระบอบการปกครองสมัยใหม่ ซึ่งฟังดูแล้วก็โอเคมาก กับประเทศเกิดใหม่ที่มีนายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง ถึงแม้ว่าพระองค์จะเคยเป็นประมุขมาก่อน แต่ทรงเลือกที่จะกระชับอำนาจเอาไว้ที่ตัวพระองค์เองด้วยวิธีการนี้ และโดยการขจัดคู่แข่งทางการเมือง เช่น พรรคประชาชน อันเป็นพรรคฝ่ายซ้ายที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการเป็นแนวร่วมต่อต้านจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสในยุคสงครามอินโดจีน พูดง่ายๆ ก็คือ เริ่มกันมาจากกลุ่มเขมรอิสระ
1
เจ้าสีหนุพยายามสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่มีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว และมีอุดมการณ์แบบเดียวกัน คือ อนุรักษ์นิยม แต่สำหรับพรรคประชาชน หรือกลุ่มประชาชน ก็คือพรรคการเมืองของเหล่าฝ่ายซ้าย ต้องขอเล่าแบบย่อเลยก็คือ พวกเขาเป็นปีกหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดจีน อันหมายถึง เป็นพรรคการเมืองที่ก่อตั้งขึ้นในอินโดจีน มีเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ร่วมมือกัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดตั้งรัฐคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคนี้
เจ้านโรดมสีหนุ
เมื่อได้รับเอกราชแล้ว แนวทางของเขมรอิสระ หรือว่า เขมร-เวียดมินห์ แตกออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งเดินหน้าปฏิบัติการร่วมกับเวียดมินห์ในพื้นที่ชนบทต่อไป อีกส่วนหนึ่งเลือกที่จะเข้ามาเล่นการเมืองในระบบใหม่ของกัมพูชาภายใต้รัฐธรรมนูญนั้นก็คือ ระบอบประชาธิปไตย โดยใช้ชื่อพรรคว่า “กรมประชาชน” ได้คะแนนเสียง 4% ในการเลือกตั้งในปี ค.ศ.1956(พ.ศ.2499) ถึงแม้ว่าจะได้คะแนนเสียงไม่เยอะ
2
แต่ก็ทำให้เจ้าสีหนุที่ตอนนั้นกำลังกระชับอำนาจอยู่ ก็เริ่มต้นมองด้วยสายตาที่หวาดระแวง จนกระทั่ง ”กรมประชาชน“ ต้องออกไปอยู่นอกกรุงพนมเปญ แล้วกลับมาก่อตัวใหม่กลายเป็นพรรคที่ดุดันขึ้นมากกว่าเดิม ซึ่งต่อไปพวกเขาจะมีบทบาทในการพลิกแผ่นดินกัมพูชา กล่าวคือ ร่วมกันและก่อตั้ง ”พรรคคอมมิวนิสต์~กัมพูชา“ ซึ่งเจ้าสีหนุเรียกด้วยชื่อที่พระองค์นั้นเรียกขานเล่นๆว่า ”เขมรแดง“ แต่เป็นภาษาฝรั่งเศสว่า ”แคร์ รูฌฺ“(Khmers rouges)
ในเรื่องวิวัฒนาการ จากเขมรอิสระ ไปสู่ กรมประชาชน และไปสู่พรรคคอมมิวนิสต์~กัมพูชานั้น จะขออธิบายในตอนหน้า เรากลับมาที่ การเดินหน้าของเจ้าสีหนุในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ต้องเดาเลยว่า.. ความพยายามในการกระชับอำนาจจะนำไปสู่อะไร เพราะรูปแบบการปกครองตอนนั้นไม่ได้แตกต่างไปจากราชาธิปไตย จำแลงแปลงกายเลย
ภาพถ่ายของกลุ่มเขมรแดง เมื่อปี ค.ศ.1975
ในทศวรรษที่ 50 ชนชั้นกลางในกัมพูชามีการศึกษาที่มากขึ้น ได้เห็นโลกที่กว้างขึ้นกว่าเดิม และต้องการให้ประชาธิปไตยของกัมพูชา เป็นระบอบแห่งความหลากหลาย หรืออย่างน้อยที่สุดก็อยากให้มีพรรคการเมืองหลายๆ พรรค ดังนั้นการเลือกตั้งที่เดินหน้าไปพร้อม กับการกำจัดผู้เห็นต่างย่อมนำไปสู่ความแตกแยกในท้ายที่สุด และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ แต่จะเป็นจริงอย่างไรบ้าง โปรดติดตามได้ตอนหน้าครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา