22 มิ.ย. เวลา 02:45 • นิยาย เรื่องสั้น

ยอดหญ้า ลานทราย และควายตัวโต

ลืมกำพืด แล้วยังข่ม รากเหง้า
อวดเข้า ว่ารวย สวยหรู
อากง ของข้า คือครู
คนไม่รู้ อย่าอ้าง แกล้งอำ
ในประดาหมู่วงศ์ญาติที่เหมือนไม่ใช่ญาติ ไม่ได้มีแค่คนหนึ่งที่เป็นแบบที่เห็น แต่มีคนหนึ่งและคนอีกกลุ่มหนึ่งที่แสดงให้เห็นอย่างที่ควรจะได้เห็น
อาฮู ยังไม่มีการมีงานทำดีพอ นอกจากโดนป๊าด่าแล้ว ก็มีญาติๆ ของป๊านี่แหละเป็นตัวโหม
เขาว่ากันว่าหลานชายคนโตก็เหมือนลูกชายคนเล็กของอากง
แต่ทว่าตอนนี้ลูกชายคนเล็กแท้ๆ ของอากงกำลังยืนล้วงกระเป๋าทำท่าราวกับเจ้าสัว ปากบนอันเรียบกริบกำลังเกลี่ยยิ้มด้วยความโอหัง เจ้าคนนี้แหละที่กำลังอวดโอ่ลูกสาวของตนว่าได้ที่ทำงานอันแสนมีเกียรติ พอสาธยายความสมบูรณ์แบบของลูกตัวเองให้ญาติๆ ที่มาร่วมไหว้เช็งเม้งฟังแล้ว อาซี๊ก็เข้าประเด็น
“อาฮู ทำการทำงานอะไรตอนนี้” อาซี๊พูดทั้งๆ ที่สืบข้อมูลมาแล้ว ถ้าไม่มีข้อเท็จจริงจากปากของอาจู๋พี่ชายปากหมาก็คงไม่กล้ามาพูดเช่นนี้ท่ามกลางประดาญาติที่ออกันหน้าสุสานของอากง
วงศาคณาญาติเริ่มผสมโรง บางคนที่ดีหน่อยก็อยู่เงียบๆ
อาฮูเป็นคนไม่อยากเสียมารยาทอยู่แล้วจึงได้แต่บอกเสียงอ้อมแอ้มแทบจะไม่มีใครได้ยิน ปลีกตัวมาเงียบๆ มาเฝ้าชุดไก่ไหว้เจ้ากับเนื้อหมูต้มและปลาหมึกแห้ง กลัวหมาแถวนั้นมาคาบไปกิน ได้แต่มองหลังคาศาลพระภูมิที่ทำด้วยสังกะสีตีตัวเรือนด้วยไม้แล้วทำใจ ที่อันห่างไกลปล่อยให้อาซี๊ตั้งกระทู้ให้อาจู๋ชงแล้วให้ญาติๆ ผสมโรง
อาฮวยน้องสาวอาฮูเดินมาหา
“รำคาญชิบหายเฮีย พวกนั้นพูดจาข่มเฮียกันให้สนุกปาก ตอนนี้เขาเรียกเฮียไปไหว้อากงอีกรอบ”
อาฮูผละเดินไป จุดธูปไหว้อากงเป็นครั้งที่สองพลางอธิษฐาน
ด้วยจิตคารวะของอั๊วะ ขอให้อากงคุ้มครอง
“ถ้าทำอะไรไม่ได้ ไปเลี้ยงควายดีไหม” อาซี้พูด แกมยิ้มสะใจ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “ควายตัวหนึ่งราคาไม่ใช่ย่อยนา”
ประโยคแรกเป็นการดูถูกที่คนในยุคนั้นชอบพูดกัน ประโยคหลังเป็นการแก้ทางประโยคข้างหน้าเพื่อให้ตนรอดพ้นการกล่าวหาคนอื่นด้วยการประเมินค่าควายขึ้นมากลบ แล้วตบด้วยรอยยิ้มที่ดูประหนึ่งจะกล่าวโดยไม่กล่าวว่า “กูแน่”
อาจู๋ปากหมาด่าไปเยอะจึงเลยยืนกอดอก รอลับหลังอาฮูสักนิดค่อยด่าอีกรอบ แต่กระนั้นก็อดไม่ได้ที่จะด่าต่อหน้าเพื่อให้อาฮูเสียหน้าอีกหน
“ส่งเรียนขนาดนี้แล้ว เอาตัวเองไม่รอด”
อาฮูงง คิดในใจ “เงินทองของอากงหาใช่ของใครอื่นไม่ เราได้เรียนก็เพราะอากงเค้า”
ญาติบางคนไม่กล่าวต่อแค่ยิ้มเคอะเขิน ญาติบางคนแสดงความชังอาฮูออกมาทางสีหน้า
อาฮูมองไปที่สุสานสีขาวของอากง คิดถึงยามที่ท่านยังมีชีวิต
“อากง นั่งเรือจากเมืองจีนมากี่วัน” นั่นเป็นคำถามในเส้นทางการเดินเล่นในยามราตรียังอ้อยอิ่ง อีกไม่นานฟ้ากำลังจะสางพร้อมการมาเยือนของรุ่งอรุณ
“เจ็ดวัน สมัยนั้นถือว่าเร็วที่สุดแล้ว”
อาฮูอยากถามต่อ แต่อากงไม่พูดอะไรแล้ว นั่นเป็นครั้งแรกที่อาฮูเข้าใจคำว่า “ความทุกข์” จริงๆ เพราะก่อนหน้านั้นมีญาติคนหนึ่งมาเล่าความทุกข์ให้ฟัง พูดไปน้ำตาไหลไป แล้วก็แกล้งฝืนยิ้ม อย่างกะละครหลังข่าวที่เด็กๆ ไม่เคยได้รับรู้เพราะนอนหลับไปก่อนแล้ว
ความทุกข์ที่ไม่อาจบอกออกมาได้ของอากงจึงมีค่ามหาศาลสำหรับอาฮู เพราะนั่นคือบทเรียนที่แท้จริงของคนโง่อย่างอาฮู ซึ่งในวันที่เขาถามอากงอายุเขาก็แค่ 17 ปี
แต่อากงเล่า...ต้องรับอะไรหลายๆ อย่างตั้งแต่อายุ 16 แล้ว
นานครั้ง...อากงจะปริปากเล่าอะไรให้ฟัง
“สมัยก่อนที่ยังเด็ก อั๊วะไปเลี้ยงควาย มันคือการงานที่เรารับผิดชอบก่อนที่จะมาเมืองไทย ที่เมืองจีนลำบากมาก การศึกษาอะไรเราก็ต้องเรียนรู้กันเอง ตอนนั้นเอาวัวไปกินหญ้า ฉกฉวยเวลาช่วงนั้นไปเอากิ่งไม้เขียนบนทรายเป็นอักษร พี่ก็สอนน้อง น้องก็จำต่อๆ มา”
อาฮูค่อยๆ เข้าใจ
วันที่เขาเขียนคำว่า เปา บุ้น จิ้น ตามละครจีนหลังเลิกเรียนผิด เป็นอากงที่มาแก้ให้เขา
และก็เป็นอากงที่สอนเขาเขียนตัวขีดเดียวที่แทนเลขหนึ่ง
ยังคงเป็นอากงที่สอนเขียนชื่อของเขาเองในภาษาจีน
ฮู ไม่ใช่แปลตามตัวว่า ฮูเสียงลมที่พ่นออกจากจมูก มันอาจแปลว่าควายก็ได้ยามที่ฮึดฮัดลมออกจมูก อาฮูคิดไปเรื่อย แต่กระนั้นก็ยังบรรเทาเบาบางความโง่ไปได้บ้าง
อาฮูเห็นอาซี๊ทำหน้าโอหัง
เขาคิดในใจ ช่างเตี่ย ช่างแม่ง ลืมไปว่านั่นก็อากงอาม่าเขาทั้งสิ้น ตบปากตัวเองแรงๆ ทั้งที่ยังไม่ได้พูด แค่คิดในใจก็ละอายแล้ว
“ไปคิดเอาเองเถอะอาฮู สมัยอาเจ๊กซี๊อาเจ๊กจู๋อ่ะ ลำบากกันแค่ไหน”
อาฮูคิด...ลำบากเรื่องเรียนคำถากถางมากเลยสินะ
ยอดหญ้าหน้าสุสานอากงไหวปลิว อาฮูรับรู้ถึงสายลมอ่อน ลานทรายที่อาฮูเห็นในจินตนาการ ลากเส้นสี่เส้นเป็นคำว่าท้องฟ้า ขณะเดียวกันก็พลันรำลึกถึงควายตัวหนึ่งที่ไม่มีความผิดอะไรแต่กลับถูกแทนคำว่าโง่จากใครสักคนที่คิดว่าตนฉลาด

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา