27 มิ.ย. เวลา 13:30 • สุขภาพ

บทความพิเศษ สัปดาห์เภสัชกรรม EP 07 เภสัชพันธุศาสตร์ การใช้ยาที่แม่นยำตามพันธุกรรม

ผมเชื่อว่าหลายท่านคงเคยมีคำถามในใจ เวลาไปหาหมอแล้วได้รับยามาว่าทำไมยาตัวเดียวกัน เพื่อนเราใช้แล้วหาย แต่เราใช้แล้วไม่ดีขึ้นเลย? หรือ ทำไมเราถึงมีอาการข้างเคียงจากยาตัวนี้ ทั้งที่คนอื่นไม่เป็นอะไรเลย? คำถามเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คำตอบนั้นซ่อนอยู่ในร่างกายของเราทุกคนครับ และกุญแจสำคัญที่ว่านั้นก็คือ "DNA" ของเรานั่นเอง
วันนี้ผมจะพาทุกท่านไปรู้จักกับศาสตร์ที่น่าทึ่งที่เรียกว่า "เภสัชพันธุศาสตร์" (Pharmacogenomics) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการแพทย์ยุคใหม่ที่เรียกว่าการแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine) พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นการใช้ข้อมูลทางพันธุกรรม หรือ DNA ของเรา เพื่อเลือกยาและขนาดยาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเราคนเดียวโดยเฉพาะ เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุดและปลอดภัยที่สุด
เภสัชพันธุศาสตร์คืออะไร?
เภสัชพันธุศาสตร์ คือการศึกษาว่า DNA ของคนเราส่งผลต่อการตอบสนองต่อยาอย่างไร พูดให้เห็นภาพก็คือ DNA เป็นเหมือนคู่มือการใช้งานร่างกายฉบับเฉพาะบุคคล ซึ่งในคู่มือนี้จะบอกไว้หมดว่าร่างกายของเราจะจัดการกับยาที่ได้รับเข้าไปอย่างไร บางคนอาจมีรหัสพันธุกรรมที่ทำให้ย่อยสลายยาตัวหนึ่งได้เร็วมาก บางคนอาจจะช้ามาก หรือบางคนอาจจะไม่มีกลไกที่จำเป็นสำหรับยาตัวนั้นเลยก็ได้
ความเข้าใจในเรื่องนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยให้แพทย์สามารถ
✍️ ทำนายได้ล่วงหน้า ว่ายาชนิดใดมีแนวโน้มที่จะได้ผลดีกับคุณ
✍️ หลีกเลี่ยงยา ที่อาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์รุนแรง
✍️ กำหนดขนาดยา ที่พอเหมาะพอดีกับร่างกายของคุณโดยเฉพาะ
สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่ผลการรักษาที่ดีขึ้นและลดความเสี่ยงจากการใช้ยาได้อย่างมหาศาลเลยครับ
กลไกของ DNA ที่ควบคุมการทำงานของยาในร่างกาย
แล้ว DNA ของเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาได้อย่างไร? จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) ได้อธิบายกลไกหลักๆ ไว้ 3 รูปแบบ ซึ่งผมจะขอเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ นะครับ
1. ตัวรับยา (Drug Receptors)
ยาหลายชนิดจะออกฤทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อมันสามารถเข้าไปจับกับโปรตีนบนผิวเซลล์ที่เรียกว่า "ตัวรับ" (Receptor) ได้พอดี เหมือนลูกกุญแจ (ยา) ที่ต้องไขเข้าไปในแม่กุญแจ (ตัวรับ) ที่ถูกต้อง ประตู (การออกฤทธิ์ของยา) จึงจะเปิดออก
DNA ของเราเป็นตัวกำหนดว่าเซลล์จะมี "แม่กุญแจ" ชนิดใด และมีจำนวนมากน้อยแค่ไหน
✍️ มีตัวรับจำนวนมาก ร่างกายจะตอบสนองต่อยาได้ดี
✍️ มีตัวรับจำนวนน้อย การตอบสนองต่อยาก็จะน้อยลง อาจต้องใช้ยาในขนาดที่สูงขึ้น
✍️ ไม่มีตัวรับ หรือมีตัวรับผิดชนิด ยานั้นก็จะใช้ไม่ได้ผลเลย
ตัวอย่างที่ชัดเจน คือยารักษามะเร็งเต้านมชื่อ T-DM1 ยานี้จะออกฤทธิ์โดยการไปจับกับตัวรับชื่อ HER2 บนผิวเซลล์มะเร็ง ในผู้ป่วยบางราย เซลล์มะเร็งจะสร้างตัวรับ HER2 นี้ออกมาเยอะมาก (เรียกว่า HER2-positive) ทำให้ยา T-DM1 สามารถเข้าไปจับและทำลายเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ในทางกลับกัน หากเซลล์มะเร็งของผู้ป่วยมีตัวรับ HER2 น้อยหรือไม่มีเลย (HER2-negative) ยา T-DM1 ก็จะใช้ไม่ได้ผลครับ
2. การดูดซึมยาเข้าสู่เซลล์ (Drug Uptake)
ยาบางชนิดต้องอาศัยโปรตีนทำหน้าที่ "ขนส่ง" พาตัวยาเข้าไปในเซลล์เป้าหมาย เช่น เซลล์ตับ เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ได้ ซึ่ง DNA ของเราก็เป็นตัวควบคุมการสร้างโปรตีนขนส่งเหล่านี้เช่นกัน หากการขนส่งบกพร่อง ก็จะเกิดปัญหาตามมาได้
ตัวอย่างใกล้ตัวคือ ยาลดไขมันในเลือดกลุ่มสแตติน (Statins) เช่นยาซิมวาสแตติน (Simvastatin) ยานี้ต้องอาศัยโปรตีนที่สร้างจากยีน SLCO1B1 เพื่อขนส่งยาเข้าสู่เซลล์ตับ แต่ในผู้ที่มียีน SLCO1B1 ในรูปแบบที่ทำงานได้น้อยลง การขนส่งยาเข้าตับจะลดลง ทำให้ยาสะสมอยู่ในกระแสเลือดสูงกว่าปกติ เมื่อใช้ยาในขนาดสูง อาจเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงต่อกล้ามเนื้อ เช่น อาการปวดกล้ามเนื้อ หรือกล้ามเนื้อสลายได้ ดังนั้น การตรวจยีนนี้ก่อนเริ่มยาจะช่วยให้แพทย์พิจารณาเลือกชนิดหรือปรับขนาดยาได้อย่างเหมาะสม
3. การเผาผลาญยา (Drug Breakdown)
เมื่อยาเข้าสู่ร่างกายแล้ว ร่างกายของเราจะมีเอนไซม์ทำหน้าที่เปรียบเสมือน "ทีมทำความสะอาด" ที่คอยเปลี่ยนแปลงและกำจัดยาออกจากร่างกาย ซึ่งความเร็วในการทำงานของเอนไซม์เหล่านี้ถูกควบคุมโดย DNA
✍️ เผาผลาญยาเร็ว (Fast Metabolizer) เหมือนทีมทำความสะอาดที่ขยันเป็นพิเศษ ยาจะถูกกำจัดออกจากร่างกายอย่างรวดเร็วจนอาจไม่ทันได้ออกฤทธิ์เต็มที่ กรณีนี้อาจต้องใช้ยาในขนาดที่สูงกว่าคนทั่วไป หรือเปลี่ยนไปใช้ยาตัวอื่น
✍️ เผาผลาญยาช้า (Slow Metabolizer) เหมือนทีมทำความสะอาดที่ทำงานช้า ยาจะคงอยู่ในร่างกายนานกว่าปกติ ทำให้ระดับยาสะสมสูงจนอาจเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ กรณีนี้จำเป็นต้องใช้ยาในขนาดที่ต่ำกว่าปกติ
ตัวอย่างเช่น ยาต้านซึมเศร้า อะมิทริปไทลีน (Amitriptyline) ซึ่งถูกเผาผลาญโดยเอนไซม์ที่ควบคุมโดยยีน CYP2D6 และ CYP2C19 ผู้ป่วยที่มียีนรูปแบบที่เผาผลาญยาช้า หากได้รับยาในขนาดปกติก็อาจเกิดผลข้างเคียงรุนแรงได้ ในขณะที่ผู้ป่วยที่เผาผลาญยาเร็วมาก อาจไม่เห็นผลจากการรักษาเลย
ศาสตร์นี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับคนไทยอีกต่อไปครับ ปัจจุบันประเทศไทยมีการนำการตรวจยีนมาใช้ในโรงพยาบาลหลายแห่งแล้ว และมีบางรายการที่สามารถเบิกได้ตามสิทธิการรักษาพยาบาลด้วย
ตัวอย่างที่สำคัญและเห็นได้ชัดเจนที่สุดในคนไทย คือ การแพ้ยา Carbamazepine (คาร์บามาซีปีน) ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาโรคลมชักและอาการปวดปลายประสาท มีการค้นพบว่าการแพ้ยาตัวนี้อย่างรุนแรง ที่เรียกว่า กลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสัน (Stevens-Johnson Syndrome หรือ SJS) ซึ่งทำให้ผิวหนังและเยื่อบุทั่วร่างกายหลุดลอกเหมือนถูกไฟไหม้ และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้นั้น มีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับยีนที่ชื่อว่า HLA-B*15:02
ยีนนี้พบได้บ่อยในประชากรแถบเอเชียรวมถึงคนไทย โดยมีข้อมูลว่าคนไทยที่มียีน HLA-B*15:02 จะมีความเสี่ยงต่อการแพ้ยา Carbamazepine แบบรุนแรงสูงกว่าคนที่ไม่มียีนนี้ถึง 55 เท่า ด้วยเหตุนี้เอง ปัจจุบันในประเทศไทยจึงมีคำแนะนำให้ผู้ป่วยที่จะเริ่มใช้ยา Carbamazepine ควรได้รับการตรวจคัดกรองยีน HLA-B*15:02 ก่อนเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงดังกล่าว ซึ่งนับเป็นความสำเร็จของการนำเภสัชพันธุศาสตร์มาประยุกต์ใช้เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยอย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ ทางรัฐบาลไทยยังได้ริเริ่มโครงการ Genomics Thailand โดยตั้งเป้าถอดรหัสพันธุกรรมของคนไทย 50,000 คน เพื่อสร้างฐานข้อมูลทางพันธุกรรมของประชากรไทย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการวิจัยและผลักดันการแพทย์แม่นยำให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก
แม้ว่าปัจจุบันการตรวจทางเภสัชพันธุศาสตร์จะยังใช้สำหรับยาเพียงไม่กี่ชนิด แต่ศาสตร์แขนงนี้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ในอนาคตอันใกล้นี้ ภาพของการที่เราทุกคนมีข้อมูลพันธุกรรมของตัวเองเก็บไว้ และเมื่อเจ็บป่วย แพทย์สามารถใช้ข้อมูลนั้นเพื่อสั่งยาที่ "ใช่" ที่สุดสำหรับเราตั้งแต่แรก ไม่ใช่เรื่องไกลเกินฝันอีกต่อไป
ลองจินตนาการดูสิครับว่า วันหนึ่งข้างหน้า...ก่อนที่คุณจะได้รับใบสั่งยาใบแรก คุณอาจจะได้รับคำถามว่า "ขอผลตรวจยีนของคุณด้วยครับ" เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับคุณเพียงคนเดียว...คุณพร้อมสำหรับยุคสมัยที่การแพทย์ถูกออกแบบมาเพื่อคุณโดยเฉพาะแล้วหรือยังครับ?
แหล่งอ้างอิง:
ข้อมูลจากเอกสาร "Pharmacogenomics | Genomics and Your Health | CDC" เผยแพร่เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2024

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา