22 มิ.ย. เวลา 14:35 • ความคิดเห็น
เรื่องเจอกัน พบกัน ที่ว่า เกิดมาวันหนึ่งเราก็ต้องจากลากัน ถึงยาม ใกล้เวลาที่จะจากลากกัน เราก็มีเรื่องราวราว หนึ่ง เรื่องของครูขาอาจารย์ สังขารท่านชราไป เวลาก็น้อยลงไป วันหนึ่งท่านบอกเรื่อละ สังขาร เรากขออาราธนา ครั้งที่สอง ก็ขออาราธนา ครั้งที่สามท่านก็ว่าครั้งนี้ ไม่ได้อยู่ที่ตัวฉัน ขึ้นอยู่กับผู้ใหญ่ ท่านจะให้อยู่ต่อหรือไม่อยู่ต่อ เรากายไปขอ ท่านบอกว่าเลยเส้นที่สามมาแล้ว จนที่สุดท่านก็ละสังขาร
คราวนี้ เรื่องแม่เราก็ อยู่ๆก็นอนติดเตียง เสียเฉยๆ พี่ชายก็ดูแลอาบน้ำ ดูแลให้ ส่วนเราก็สวดมนต์ ทำบุญ เดินจงกรม ขอรับเวทนาแม่มาบ้าง เวลาเดินจงกรม ที่แปลก ก็คือ แม่ไม่มีอาการแผลกดทับ ไม่ค่อยหิว ไม่วุ่นวายกระสับกระส่าย เวลาไปถามว่าแม่หิวมั้ย แม่ก็บอกเฉย บางที่ก็เล่าเรื่องแปลกให้ฟัง
เวลาไปวัด ก็แวะเยี่ยมแม่ ชวนแม่ทำบุญ แม่ก็บอกให้หยิบตังค์ ส่งให้แม่ อธิษฐานทำบุญ เราก็ชวนแม่ทำตลอด ..แม่จะได้อนุโมทนา ด้วยตัวเอง
คราวนี้เรานั้น ไม่ได้ดูแล แม่ พี่ชายดูแล ..เราก็อาศัยเรื่องกายพ่อแม่ ที่จิตเราอาศัย ม่าสร้างบุญกุศล ขอรับเวทนาของแม่ ขณะที่เดินจงกรม เวลาไปเยี่ยมแม่ ก็พูดคุยกันได้เป็นปกติ พอถึงเวลาที่แม่จากไป เราก็ทำบุญส่งแม่
เวลาที่มีน้องๆที่ทำง่าน พ่อหรือแม่ป่วย มักบอกเค้าให้นำผ้าไตร เอาไปให้คนป่วย ให้เค้าสร้างบุญกุศล เค้่พูดไม่ได้ ก็พูดข้างหูเค้า ให้จิตเค้าได้ยิน ..เมื่อรู้ว่า เวลาเหลือน้อย ก็ช่วยส่งเสริม ช่วยให่เค้ามีบุญกุศล ติดไปกับจิตของเค้่า จะได้มีเสบียงติดตัวไป ต้องทำแบบไม่เรียกร้องเอาคืน
เช่น เราถวายพระ เวลาอุทิศกุศล ก็อย่าไปยึด ว่าจะให้ร่ำรวย ทำให้เป็นบุญบริสุทธิ์ อุทิศให้พ่อแม่ ผู้ที่อุปการะ อุปถัมภ์ เจ้ากรรมนายเวร ..บุญกุศลนั้นไม่ได้หายไปไหน เป็นขิงจืตดวงนั่น บันทึกเรื่องราวการสร้างบุญกุศล ที่ว่า ธาตุทั้งสี่เป็นสักขีพยานให้ เวลาทำบุญ เราทำที่บ้านหน้าพระก่อน ..ไม่ต้องรีบร้อน กราบพระ ถวายผ้าไตรจีวร ต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พูดให้ตัวเราได้ยิน ..ค่อยๆทำ ไม่รีบร้อน ถวายเสร็จก็วางที่หน้าพระ ..กรวดน้ำ อุทิศกุศล ..พอจะไปวัด เราก็เข้าไปกรายพระ ขอลา ..ไปถวายพระที่วัดอีกที่หนึ่ง
ทำบุญหน้าพระ เราทำได้ ทุกวัน ไปนั่งกราบพระ สวดมนต์ ทำบุญ .กรวดน้ำ ทำเวลาไหนก็ได้ ที่เราสะดวก ไม่ต้องรีบร้อน .. ทำให้กายนิ่ง จิตนิ่ง ไม่มีอารมณ์ เสียก่อน จึงค่อยๆ กราบพระ เอาจิตที่ดีๆกิริยาท่าทาง ดีมากราบพระ เหมือนเราเอากายพ่อแม่ที่เราอาศัยมากราบ สร้างบุญกุศล ..กรวดน้ำ ..หากมองลึก ก็เป็นเรื่องราวที่จะช่วยให้เร่ไม่ยึดกาย เพราะกายนี้พ่อแม่เราอนุเคราะห์ให้จิตเรามาอาศัยชั่วขณะหนึ่ง ที่ว่าชั่วขณะหนึ่ง เราก็ใช้กายนี้มามาสร้างสะสมบุญกุศลบารมีไปกับจิต เมื่อกายนี้หมดลมไป
เรื่องที่พี่เราดูแลแม่ พี่ชายก็ได้เรื่องราวของความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ ติดไปกับจิตของเค้า ถึงเวลาจากกายนี้ เค้่าก็ได้ สิ่งนี้ไปกับจิต ..ไม่อนู่ในที่ลำบาก ที่ว่า พ่อแม่เป็นพระอรหันตของบุตรธิดา..จิตเค้าก็อานิสงส์ที่ดูแลแม่.
ส่วนพ่อเรา นั้นจากไปก่อนแม่ ..แต่เราก็ได้ไปดูแลพ่อ ในคืนที่จากไป ..ตอนนพ่อจะจากไป เราก็ได้เห็นสีของเวทนา ผูดขึ้นมาที่ตัว ผุดขึ้นมา กระจายเหมือนแมงกระพรุน ผุดที่ตัว เป็นสีม่วง .พ่อแม่พูดจาอะไร เราก็ได้แต่นึกคิด ว่าหากถึงเวลาพ่อต้องจาก ก็ขอให้จากละกายนี้ไป ไม่ต้อวห่วงอะไรทั้งสิ้น พอพ่อลุกนั่งที่ขอบเตียง ก็พยายามจะดึงพ่อลุกจากเตียง ที่นั่งโองเอียงเหมือนจะลุกไปเข้าห้องนอน
.แต่ไม่รู้ว่า เกิดอะไร พ่อเรากลับดึงตัวเราลงไปนั่ง พับเพียบด้วยกัน เรานั่งข้างหลัง ..เห็นยกมือไหว้พระ แล้ววางที่ตัก ความเงียบ ..เกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่ง จนแม่ยกมือพ่อขึ้น มือนั่นก็ตกลงที่หน้าตัก .แม่กร้อง ..พ่อไปแบ้วหรือๆ เราก็ขยับเข้ามาดู เอ้า..พ่อยังนั้นคอตั้งบ่า ตัวแจ็ง ..ไปเลย ..พ่อก็นั่งในท่าพับเพียบ คอตั้งบ่า เราลุกออกมา กายที่ไม่มีลมก็ยังนั่งอยู่อย่างนั้น .พอเวลาผ่านไป เราก็เข้ามา จับพ่อนอน..แข้งขามันยึดไปหมด.
เราก็ไปถามพระที่เรานับถือ ว่าพ่อไปลำบากมั้ย ท่านก็บอกว่า ไม่ลำบาก ..เราถามว่า พ่อละสังขารตอนไหน ..ท่านกบอกส่าตอนที่เริ่มเจ็บแน่นกหน้าอก เค้าพาตัวไปจิตออกจากร่าง ..พอไปถึงที่ บ่อน้ำ ก็ให้กระโดดลงบ่อ . พอโดดลงไป ร่างในเมืองมนุษย์ก็หมดลม จบไปหนึ่งชาติ จากโลกนี้ไปตามอายุขัย ที่เค้าให้มา .
โฆษณา