24 มิ.ย. เวลา 07:16 • ธุรกิจ

📲 วัฒนธรรม “คุยงานผ่าน Line” กับดักความง่าย ที่องค์กรไทยต้องกล้าทบทวน

อย่าให้ความง่ายของ “ข้อความ”…ลบคุณค่าของ “ความเข้าใจ”
ทุกวันนี้ ไม่ว่าองค์กรไหน ต่างก็หลีกเลี่ยงไม่พ้นการสื่อสารเรื่องงานผ่าน text message…และถ้าเป็นองค์กรไทย…“LINE” กลายเป็น default ไปแล้ว
มันอาจไม่ใช่เครื่องมือที่ดีที่สุด แต่กลับถูกใช้มากที่สุด…เพราะเข้าถึงง่าย ไม่ต้องสอน และ “หัวหน้าใช้เป็นแน่นอน”
แต่คำถามที่องค์กรควรถามไม่ใช่แค่ “เราควรเปลี่ยนไปใช้ tools ไหน?” แต่คือ “เรารู้จักใช้มันอย่างมีวัฒนธรรมหรือยัง?”
📌 LINE ไม่ได้ผิด…แต่วิธีใช้ที่ไม่มีกรอบต่างหากที่ควรถูกตั้งคำถาม
แม้ในองค์กรระดับโลกหลายแห่งจะเปลี่ยนไปใช้ Slack หรือ Microsoft Teams…
แต่ถ้าคุณสังเกตให้ดี พวกเขาไม่ได้เลือก tools แล้วจบ…
แต่ลงทุนในการ ออกแบบวัฒนธรรมการสื่อสารร่วมกัน ก่อน…
ยกตัวอย่างเช่น
🔹 Google – ใช้ Google Chat ภายใน แต่กำหนดชัดว่า “chat message” คือช่องทางสำหรับ async update หรือ issue เฉพาะหน้าเท่านั้น (source: Google Workspace admin guidelines)
🔹 Atlassian – บริษัทเบื้องหลัง Jira และ Trello ใช้ Slack + Confluence โดยมี playbook ชื่อว่า “Working Agreements” ให้ทุกทีมตกลงร่วมกันว่าจะใช้เครื่องมือใด สำหรับเรื่องแบบไหน (source: Atlassian Team Playbook)
🔹 Buffer – องค์กร remote-first เต็มรูปแบบ ใช้ Slack, Notion และ Threads แต่มี internal policy ว่า “ไม่ใช้ Slack เพื่อสั่งงาน” และ encourage การส่ง Loom video แทนข้อความเมื่อสื่อสารเรื่องยาก (source: Buffer Open blog)
แต่ในองค์กรไทยจำนวนมาก LINE กลายเป็น “ทุกอย่าง” — ประกาศ, รายงาน, คำสั่ง, บ่น, สอบถาม, ฝากงาน, โยนปัญหา และทั้งหมดนี้…เกิดขึ้นโดยไม่มีใครเคยตกลงอะไรเลย?
✅ 9 หลักปฏิบัติที่องค์กรควรเข้าใจ ก่อนใช้ LINE คุยงาน
1. Audience Matters: อย่าส่ง message โดยไม่รู้ว่ากำลังพูดกับใคร
* ใน Atlassian มีคำแนะนำว่า ทุกข้อความควรตอบให้ได้ว่า “เรากำลังสื่อสารกับกลุ่มไหน”
* และปรับโทนให้เหมาะสม เช่น ระหว่าง stand-up note กับ request for approval
* องค์กรไทยควรเริ่มจากการทำให้ทีมรู้ว่า…”คุยกับลูกน้อง กับผู้ใหญ่ กับทีมข้ามสายงาน → ควรใช้ภาษาที่ต่างกัน”
2. Text ไม่ใช่พื้นที่พรรณนา
* ที่ Buffer หากใครต้องเล่าเรื่องที่ยาวหรือมี context มาก
* จะใช้ Loom (วิดีโออธิบายหน้าจอ + เสียง) เพื่อแทนข้อความยาวๆ เพราะเชื่อว่า “text อธิบายได้แค่ 60% ของสิ่งที่คนต้องเข้าใจ”
* องค์กรไทยจึงควรกล้าถามตัวเองว่า เรื่องไหนควร “พูด” มากกว่า “พิมพ์”?
3. Read ≠ Respond
* Read receipt ไม่ใช่ signal ของ availability จึงควรมี guideline ให้เขียน message พร้อม contextual header เช่น “[non-urgent] FYI only” หรือ “[response by EOD would help]”
* ลองปรับใช้กับ LINE โดยขึ้นต้นข้อความว่า “ไม่รีบนะครับ แค่แจ้งล่วงหน้าเฉยๆ” → สร้าง psychological safety ให้คนอ่านได้เยอะมาก
4. ลด Emoji spam ถ้าไม่อยากให้กลุ่มดูไม่มีชีวิต
* ที่ Slack HQ เอง มี internal policy ที่ discourages emoji flood เพราะมันทำให้สารจริงๆ จมหาย และกลายเป็น distraction
* องค์กรไทยที่ใช้ LINE ควรกล้าตั้ง rule ว่า “หากไม่เกี่ยวกับเนื้อหาหลัก ให้ใช้ emoji อย่างจำกัดในเวลาทำงาน”
5. เวลาส่ง = น้ำหนักของข้อความ
* ที่ Microsoft Teams มีฟีเจอร์ schedule message เพื่อแก้ปัญหานี้โดยตรง
* เพราะพวกเขาเชื่อว่า การส่งข้อความนอกเวลาโดยไม่มี context = ภาระที่ไม่ได้ตั้งใจ
* ในไทย ถ้าจะส่งงานหลังเลิกงาน ควรขึ้นต้นว่า “ส่งไว้กันลืม ไม่เร่งนะครับ เช้าค่อยอ่านได้เลย” แค่คำแบบนี้…ลดความกังวลลูกน้องได้มากกว่าที่คิด
6. การ Tag ไม่ใช่แค่การดึงความสนใจ แต่คือ “ความรับผิดชอบ”
* Atlassian แนะนำให้ทุกทีมใช้ R-A-S-I model เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างคนที่ “ต้องรับผิดชอบจริง” กับคนที่ “แค่ต้องรู้”
* องค์กรไทยควรหยุด tag @all หรือ tag คนในกลุ่มใหญ่ ถ้าไม่มีข้อตกลงว่าใครต้องทำอะไรหลังจากนั้น
7. LINE ไม่ได้ทำให้คุณดูทันสมัย ถ้าใช้อย่างผิดที่ผิดทาง
* Insight จาก Adobe Research (2023) พบว่า “Gen Z รู้สึก burnout จาก workplace messaging มากที่สุดในทุกช่วงวัย” และคนที่ส่งข้อความบ่อยแบบไม่เข้าเรื่อง = “สัญญาณของผู้นำที่ไม่เข้าใจจังหวะของคนทำงาน”
* ในขณะเดียวกัน 61% ของ Gen Z ชอบหัวหน้าที่ “นัดคุยเป็นเรื่องเป็นราว” มากกว่าการส่ง text ที่ไม่มี context หรือ backup
8. Tools ไหนก็ใช้ได้ ถ้าเรามี agreement ร่วมกัน
* องค์กรอย่าง GitLab, Shopify หรือ Doist แม้จะใช้เครื่องมือแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ทุกคนมี Playbook การสื่อสารที่ชัดเจน (เช่น “Message types”, “Urgency matrix”, “Preferred async channel”)
* องค์กรไทยควรเริ่มจากแค่ A4 ใบเดียวก่อน ว่าเราจะใช้ LINE แบบไหน ใช้เมื่อไร และใช้กับเรื่องอะไร?
9. ดูแลคน = ต้องใช้เสียง ไม่ใช่สติกเกอร์
* Google และ Salesforce เคยทำ survey พบว่า “ทีมที่หัวหน้าสื่อสารด้วย “เสียง” หรือ “เห็นหน้า” อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง” มีระดับ engagement สูงกว่าอีกกลุ่มที่ใช้ข้อความล้วน ถึง 23%
* อย่าหวังให้ LINE บริหารความรู้สึกของคนในทีม เพราะคนไม่ได้ต้องการ “chat ที่ active” แต่ต้องการ “หัวหน้าที่เข้าใจ”
✨ ดังนั้น องค์กรที่ดี…ไม่ได้วัดจากเครื่องมือที่ใช้ แต่จากวัฒนธรรมการใช้ที่เราตกลงร่วมกัน
การเปลี่ยนจาก LINE → Slack หรือ Teams อาจช่วยเรื่องฟังก์ชัน แต่ไม่เคยช่วยอะไรเลย…ถ้าคนในทีมยังไม่เข้าใจจุดร่วมของคำว่า “มืออาชีพ”
อย่าเริ่มที่คำถามว่า “องค์กรเราควรเปลี่ยน tools ไหม?” แต่ควรเริ่มที่คำถามว่า
“เวลาหัวหน้าทัก LINE ลูกน้องตอน 22.00 น. หรือวันหยุด — เขาจะรู้สึกยังไง?”
“เวลาคุยกันผ่านข้อความ — เราเคารพกันพอหรือยัง?”
“เรามีกติกาให้คนรู้ว่า ‘ไม่ตอบ’ ก็ไม่ผิดหรือยัง?”
เพราะเครื่องมือเปลี่ยนได้เสมอ…แต่วัฒนธรรมต้อง “สร้างร่วมกัน”
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#WorkplaceMessaging
#LineCulture
#SlackEtiquette
#LeadershipWithEmpathy
#CommunicationMatters
โฆษณา