24 มิ.ย. เวลา 10:36 • ครอบครัว & เด็ก

ทางรอด

1 พงศ์กษัตริย์ 17:8-16 TH1971
[8] และพระวจนะของพระเจ้ามายังท่านว่า [9] <<ลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัทเถิด ซึ่งขึ้นแก่เมืองไซดอน และอาศัยอยู่ที่นั่น ดูเถิด เราได้บัญชาหญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นให้เลี้ยงเจ้า>>
[10] ท่านจึงลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัท และเมื่อมาถึงประตูเมือง ดูเถิด หญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นกำลังเก็บฟืน ท่านจึงเรียกนางว่า <<ขอน้ำเล็กน้อยใส่ภาชนะมาให้ฉัน เพื่อฉันจะได้ดื่มน้ำ>> [11] และขณะเมื่อนางจะไปเอาน้ำมา ท่านก็เรียกนางแล้วบอกว่า <<ขอนำอาหารใส่มือมาให้ฉันสักหน่อยหนึ่ง>>
[12] และนางตอบว่า <<พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ดิฉันไม่มีอะไรที่ปิ้งเสร็จ มีแต่แป้งสักกำมือหนึ่งในหม้อ และน้ำมันเล็กน้อยที่ในไห บัดนี้ดิฉันกำลังเก็บฟืนเล็กน้อย เพื่อจะเข้าไปทำสำหรับตัวดิฉัน และบุตรชายของดิฉัน เพื่อเราจะได้กินแล้วก็จะตาย>>
[13] และเอลียาห์บอกนางว่า <<อย่ากลัวเลย จงไปทำตามที่เจ้าพูด แต่จงทำขนมก้อนเล็กให้ฉันก่อน แล้วเอามาให้ฉัน ภายหลังจึงทำสำหรับตัวเจ้าและบุตรของเจ้า [14] เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า <แป้งในหม้อนั้นจะไม่หมด และน้ำมันในไหนั้นจะไม่ขาด จนกว่าจะถึงวันที่พระเจ้าทรงส่งฝนลงมายังพื้นดิน> >>
[15] นางก็ไปกระทำตามคำของเอลียาห์ นาง ตัวท่านและครอบครัวของนางก็รับประทานอยู่หลายวัน [16] แป้งในหม้อก็ไม่หมด น้ำมันในไหก็ไม่ขาด ตามพระวจนะของพระเจ้าซึ่งตรัสทางเอลียาห์
พระคำตอนนี้เข้ามาในใจของผมเมื่อสิบแปดปีที่แล้วครับ ตอนได้มาพบกับคริสตจักรข่าวประเสริฐใหม่ๆ กำลังอยู่ในช่วงที่มืดมนของชีวิต ไม่รู้เลยว่าจะไปยังไงกับชีวิต ก็เชื่อว่ามีพระเจ้าครับแต่ไม่รู้เลยว่ายังไง
เป็นช่วงที่กำลังเป็นทุกข์กับการที่ต้องถูกแยกจากภรรยาเก่าที่ไปฮาวายและผมไม่สามารถตามไปได้ ดิ้นรนหาเงินค่าเดินทางไปไม่ได้เลยตอนนั้น อาจารย์คิมฮักเชิลคนของพระเจ้าก็ให้พระคำนี้และชวนไปร่วมงานเวิรลแคมป์ที่มาเลเซียก่อน ตอนนั้นผมเหลือเงินติดตัวอยู่แปดพันก็เลยให้ไปหมดเลยกับคริสตจักรเพื่อเข้าร่วมงานนี้ครับ
ไปถึงที่นั่นประมาณสามทุ่ม ยังไม่ได้เข้าห้องประชุมเลยแต่ได้ยินพระคำเรื่องแม่ของโมเสส(อพยพ2)ให้ฝากลูกกับพระเจ้าแล้วจะรอด ผมปล่อยวางได้เลยกับเรื่องภรรยาช่วงอยู่ในงานประมาณอาทิตย์นึง กลับมาถึงบ้านก็รีบติดต่อกลับภรรยาและเริ่มรู้ว่าเธอไม่ปกติ จนในที่สุดก็ได้รู้ว่าเธอมีคนใหม่ ผมตกใจมากครับ อะไรห่างกันแค่เดือนเดียว?
ก็พยายามขอร้องให้เธอกลับมาแต่เธอไม่ยอมครับ สุดท้ายอาจารย์รู้ข่าวก็ส่งคนไปรับผมมาอยู่ที่โบสถ์ให้ผมฟังพระคำไปเรื่อยๆ จะออกจากความทุกข์ได้ แต่แรกๆผมไม่มีสติจะฟังเลยครับจมอยู่แต่กับความทุกข์เรื่องภรรยาเก่า ไปอยู่โบสถ์ก็เหมือนติดสินบนพระเจ้า มาอยู่โบสถ์ให้แล้วช่วยรีบส่งภรรยากลับคืนมาให้ด้วย ในใจคิดแต่แบบนี้พระคำก็เลยฟังไม่รู้เรื่องเลยครับ
แต่ภรรยาก็ไม่กลับมา พระคำก็ฟังไม่รู้เรื่องแต่คิดว่ารู้ จนผ่านไปได้เกือบห้าปีผมก็หนีออกจากโบสถ์ไปทำงานครึ่งปีแต่ก็ไปไม่รอดก็กลับไปอยู่ที่บ้านครับ ตอนนั้นก็ได้เข้าโรงเรียนมิชชันนารีแล้ว ก็อยู่ที่บ้านได้สักสามเดือนอาจารย์ก็ไปตาม แต่ผมไม่อยากกลับครับ ใจมันยังอยากไปตามใจตัวเอง
แต่ตอนฟังพระคำจากอาจารย์มันก็มีใจที่ลังเล(เรื่องคนถูกผีสิงที่เกดารากับเพลงคร่ำครวญ2:13) ก็ขอให้อาจารย์กลับไปก่อนแล้วผมจะตามไปทีหลัง แต่ใจกะจะกลับไปเป็นแค่สมาชิกทั่วไปไม่ขอเป็นนักเรียนมิชชันนารีครับ เพราะตอนนั้นมันเริ่มมีใจที่กลัวแล้วกับการจะเป็นผู้เผยแพร่
แต่พออาจารย์กลับไปแล้ว มันก็รู้สึกไม่สบายใจเลยที่จะกลับไปครับ คืนนั้นผมอธิษฐานกับเรื่องนี้ขอคำตอบจากพระเจ้า ประมาณตีสามพระเจ้าก็ให้ผมได้นึกถึงพระคำเรื่องของนางฮาการ์ครับ
ปฐมกาล 16:1-10 TH1971
[1] ฝ่ายนางซารายภรรยาของอับรามไม่มีบุตรให้ท่าน นางมีหญิงคนใช้ชาวอียิปต์คนหนึ่งชื่อฮาการ์ [2] นางซารายจึงพูดกับอับรามว่า <<ดูเถิด พระเจ้าไม่ทรงโปรดให้ฉันมีบุตร ขอจงเข้าไปหาคนใช้ของฉันเถิด บางทีฉันจะได้บุตรโดยนางนั้น>> อับรามก็ฟังเสียงนางซาราย
[3] เมื่ออับรามอยู่ในแคว้นคานาอันได้สิบปีแล้ว นางซารายภรรยาก็ยกฮาการ์คนอียิปต์หญิงคนใช้ ของตนให้เป็นภรรยาของอับรามสามีของนาง [4] อับรามเข้าไปหานางฮาการ์ นางก็ตั้งครรภ์ เมื่อนางรู้ว่าตั้งครรภ์แล้วก็ดูหมิ่นนายผู้หญิง
[5] นางซารายจึงบ่นต่ออับรามว่า <<ให้ความทุกข์ของฉันตกอยู่กับท่านเถิด ฉันให้หญิงคนใช้ไว้ในอ้อมอกของท่าน แต่เมื่อหญิงนั้นรู้ว่าตัวตั้งครรภ์แล้ว ก็ดูหมิ่นฉัน ขอพระเจ้าทรงตัดสินเรื่องของฉันกับท่านเถิด>> [6] อับรามพูดกับนางซารายว่า <<ดูเถิด หญิงคนใช้ของเจ้าอยู่ในอำนาจของเจ้า จงกระทำแก่เขาตามที่เจ้าเห็นควรเถิด>> นางซารายเคี่ยวเข็ญหญิงนั้น จนนางหนีไปให้พ้นหน้า
[7] ทูตพระเจ้าพบหญิงนั้นที่น้ำพุในถิ่นทุรกันดาร ข้างทางที่จะไปเมืองชูร์ [8] จึงถามว่า <<ฮาการ์ หญิงคนใช้ของนางซาราย เจ้ามาจากไหนและเจ้าจะไปไหน>> นางทูลตอบว่า <<ข้าพระองค์หนีมาให้พ้นหน้านางซาราย นายของข้าพระองค์>> [9] ทูตของพระเจ้าจึงสั่งว่า <<กลับไปหานายผู้หญิงของเจ้า และยอมอยู่ใต้บังคับเขาเถิด>> [10] ทูตพระเจ้ากล่าวแก่หญิงนั้นว่า <<เราจะให้พงศ์พันธุ์ของเจ้าทวีมากขึ้นจนนับไม่ถ้วน>>
พระคำเรื่องนี้ครับที่มาทำให้ผมขีดเส้นในใจที่จะต้องกลับไปที่โบสถ์ได้ เพราะพระคำนี้ทำให้ผมได้เห็นความผิดของตัวเองที่ไม่สามารถจะอยู่ร่วมหรือติดตามกับอาจารย์ได้ เพราะจิตใจผมมันอยู่สูงเหนือกว่าอาจารย์ครับ มันลืมไปหมดแล้วว่าผมรอดอยู่มาได้ยังไง
วันแรกที่อาจารย์ไปรับผมมาตอนนั้นผมเหมือนคนบ้าคนเสียสติไปแล้ว แต่อาจารย์เอามาอยู่โบสถ์จูงนำด้วยพระคำทุกวันๆ แต่พอเริ่มได้สติก็เริ่มตั้งตัวเอง เชื่อว่าอยู่ได้แม้ไม่ต้องมีอาจารย์ เหมือนจิตใจฮาการ์ที่ลืมไปหมดแล้วว่าผู้ที่ช่วยทำให้หญิงทาสอย่างเธอได้กลายมาเป็นภรรยาของอับราฮัมมีลูกได้คือซาร่าห์ คนบ้าอย่างผมได้กลายมาเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐของพระเจ้าได้ ก็เพราะมีอาจารย์ ผมลืมความจริงนี้ไปแล้วครับตอนนั้น
ก็กลับมาแต่ก็พูดจิตใจตรงๆ ให้อาจารย์ฟังว่าผมกลัวการเป็นผู้เผยแพร่แบบอาจารย์ ตอนที่ผมสมัครเข้ามาผมยังไม่ได้รู้จักจิตใจตัวเองจริงๆ แต่พอฟังพระคำจากอาจารย์มาเรื่อยๆ ฟังเรื่องราวของผู้รับใช้หลายๆคน มันจึงเห็นครับว่าจริงๆผมไม่ได้ต้องการจะเป็น ผมกลัวกังชีวิตแบบนั้น ผมขอเป็นสมาชิกทั่วไป แต่อาจารย์ก็ตอบกลับมาว่า"มีสิทธิ์เลือกหรือ? พระเจ้าเป็นผู้กำหนดไม่ใช่หรือใครจะเป็นอะไรในคริสตจักร"
"แต่ผมไม่มีความเชื่อเลยครับ มันจะเป็นได้ยังไง มีแต่ความกลัว " อาจารย์ก็ตอบ"ให้อยู่โบสถ์ฟังพระคำไปเรื่อยๆ ก็จะมีความเชื่อ คนง่อยเขาไม่สามารถลุกขึ้นเดินได้เอง แต่ตอนที่ได้เจอกับพระเยซู ก็ลุกขึ้นเดินได้" ผมก็ได้แต่ต้อง"เอเมน" แล้วก็อยู่กับที่โบสถ์มาจนถึงทุกวันนี้ครับ
มันก็ไม่ใช่ว่าชีวิตนักเรียนมิชชันนารีของผมในคริสตจักรจะราบรื่นครับ บ่อยครั้งถูกอาจารย์ไล่ให้ออกไปนอนข้างนอก ผมก็ไปตามป้ายรถเมล์บ้าง ตลาดบ้าง สถานีรถไฟบ้าง บขส.บ้าง โรงพยาบาลบ้าง จนแต่งงานก็ให้แยกจากภรรยาลูกไล่กลับไปอยู่บ้านที่โคราชก็มีครับ
เข้าไปคุยโดนด่าโดนตีเหวี่ยงพระคัมภีร์ฯใส่แล้วไล่ออกมาก็บ่อย มันเข้าใจทั้งหมดไม่ได้ แต่อาจารย์ก็ไม่เคยทิ้งครับ บ่อยครั้งที่ผมเองที่หมดสิ้นหวังไม่อยากจะรับการฝึกรู้สึกว่ามันยากเกินไปสำหรับผม แต่อาจารย์พยายามจะทำลายจิตใจที่เชื่อมั่นตัวเองของผมและไม่ยอมหมดหวังกับผมง่ายๆครับ กี่ปีๆ ผมอยู่โบสถ์กับภรรยาลูกมาได้จนถึงทุกวันนี้เพราะมีอาจารย์ครับ
แต่วันนี้ผมก็ยังมีชีวิตอยู่ในคริสตจักร ตอนนี้มาดูแลโบสถ์ที่พังงา ทุกเรื่องเหล่านั้นได้กลับกลายมาเป็นคำพยานแห่งพระคุณพระเจ้าจูงนำทำงานในชีวิตของผู้เชื่อในคริสตจักรยังไงแบบนี้ ผมจึงได้เห็นว่าคริสตจักรหรือคนของพระเจ้าสำคัญจำเป็นแบบนี้ครับ
2 พงศาวดาร 20:20 TH1971
[20] และเขาทั้งหลายได้ลุกขึ้นแต่เช้าและออกไปในถิ่น ทุรกันดารถึงเทโคอา และเมื่อเขาออกไป เยโฮชาฟัทประทับยืนและตรัสว่า <<ยูดาห์และชาวเยรูซาเล็มเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้า จงวางใจในพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และท่านจะตั้งมั่นคงอยู่ จงเชื่อบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์ และท่าน จะสำเร็จผล>>
โฆษณา