Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Witly. - เปิดโลกวิทย์แบบเบา ๆ
•
ติดตาม
5 ก.ค. เวลา 11:30 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
🧫 ลำไส้เล็ก: รู้จัก 'ลำไส้ที่สอง' ที่ถูกลืม | กุญแจสู่สุขภาพลำไส้และไมโครไบโอมที่คุณอาจไม่เคยรู้
นักเขียนอารมณ์ขัน คริสโตเฟอร์ มอร์ลีย์ (Christopher Morley) เคยบรรยายร่างกายมนุษย์ไว้ว่า "การประกอบร่างอันชาญฉลาดของระบบประปาแบบพกพา" เขาพูดไม่ผิดเลยครับ เพราะกายวิภาคภายในของเราส่วนใหญ่ก็อุทิศให้กับการเคลื่อนย้ายของเหลวและสารต่างๆ ไปรอบๆ
และบางทีชิ้นส่วนที่น่าประทับใจและถูกมองข้ามมากที่สุดของระบบประปานี้ก็คือทางเดินอาหาร (gastrointestinal tract) ซึ่งเริ่มต้นที่ปากและสิ้นสุดที่ทวารหนักในระยะทางประมาณ 8 เมตรต่อมา เราให้ความสนใจกับกระเพาะอาหารที่บดอาหาร และลำไส้ใหญ่ที่เต็มไปด้วยไมโครไบโอม... แต่มีอวัยวะหนึ่งที่ยาวถึง 6 เมตรและขดตัวอยู่ระหว่างนั้นซึ่งเข้าถึงได้ยากมาก นั่นคือ "ลำไส้เล็ก"
"มันถูกมองข้ามมาตลอด" แกรี ฟรอสต์ (Gary Frost) ผู้ศึกษาระบบย่อยอาหารที่ Imperial College London กล่าว แต่เมื่อเร็วๆ นี้ ทุกอย่างได้เปลี่ยนไป เทคโนโลยีใหม่ๆ กำลังเปิดประตูสู่ดินแดนลี้ลับนี้ และเผยให้เห็นว่ามันไม่ใช่แค่ท่อยาวๆ ที่อุทิศให้กับการแปรรูปอาหาร แต่เป็นอวัยวะที่มีพลวัตสูง เป็นศูนย์กลางควบคุมสุขภาพเมตาบอลิซึม และเป็นบ้านของ "ไมโครไบโอมที่สอง" ที่ซ่อนความลับสำคัญต่อสุขภาพองค์รวมของเราไว้มากมาย
🔍 กายวิภาคของ "ดินแดนที่ไม่เคยมีใครสำรวจ"
ลำไส้เล็กคือส่วนที่ยาวที่สุดของทางเดินอาหาร มีหน้าที่หลักในการย่อยและดูดซึมสารอาหารกว่า 90% มันขดตัวอยู่ในช่องท้องและแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ซึ่งแต่ละส่วนมีโครงสร้างและหน้าที่เฉพาะตัว:
1. ลำไส้เล็กส่วนต้น (Duodenum): เป็นส่วนที่สั้นที่สุด (ประมาณ 25-30 ซม.) มีรูปร่างคล้ายตัว 'C' โอบล้อมตับอ่อนไว้ นี่คือ "ห้องผสม" ด่านแรกที่รับอาหารที่ถูกย่อยจนเป็นของเหลว (เรียกว่า "ไคม์" - chyme) มาจากกระเพาะอาหาร ผนังของลำไส้เล็กส่วนต้นจะหลั่งเอนไซม์และเมือกออกมาเพื่อปรับสภาพความเป็นกรด-ด่างของอาหาร และที่สำคัญที่สุดคือเป็นจุดเปิดของ "ท่อน้ำดี" และ "ท่อตับอ่อน" ซึ่งจะฉีดน้ำดี (เพื่อย่อยไขมัน) และเอนไซม์ย่อยอาหารนานาชนิด (เช่น อะไมเลส, ไลเปส, โปรติเอส) เข้ามาผสมกับอาหาร
2. ลำไส้เล็กส่วนกลาง (Jejunum): เป็นส่วนที่อยู่ถัดมา มีความยาวประมาณ 2.5 เมตร นี่คือส่วนที่ทำงานหนักที่สุดในการ "ดูดซึม" สารอาหารส่วนใหญ่เข้าสู่กระแสเลือด ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล, กรดอะมิโน, และกรดไขมัน ผนังด้านในของมันมีลักษณะพิเศษคือมีรอยพับขนาดใหญ่ (plicae circulares)
และมีส่วนที่ยื่นออกมาคล้ายนิ้วมือจำนวนมหาศาลที่เรียกว่า "วิลไล" (villi) และบนวิลไลแต่ละอันก็ยังมีส่วนที่ยื่นออกมาเล็กๆ อีกที่เรียกว่า "ไมโครวิลไล" (microvilli) ซึ่งทั้งหมดนี้ทำหน้าที่เพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึมให้มีขนาดใหญ่เท่ากับสนามเทนนิสเลยทีเดียว!
3. ลำไส้เล็กส่วนปลาย (Ileum): เป็นส่วนสุดท้ายและยาวที่สุด (ประมาณ 3 เมตร) ทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหารที่เหลืออยู่ โดยเฉพาะ วิตามิน B12 และ เกลือน้ำดี (bile salts) เพื่อนำกลับไปใช้ใหม่ที่ตับ นอกจากนี้ ผนังของลำไส้เล็กส่วนปลายยังเต็มไปด้วยกลุ่มเนื้อเยื่อน้ำเหลืองที่เรียกว่า Peyer's patches ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน คอยดักจับและทำลายเชื้อโรคที่อาจปะปนมากับอาหาร และที่สำคัญคือเป็นที่อยู่ของ "ไมโครไบโอม" ที่หนาแน่นที่สุดในลำไส้เล็ก
🧪 "ไมโครไบโอมที่สอง" - ความจริงจากแคปซูลสำรวจ
การศึกษาลำไส้เล็กนั้นยากอย่างยิ่งยวดเนื่องจากตำแหน่งที่เข้าถึงลำบากของมัน แต่เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว เป็นที่แน่ชัดว่าลำไส้เล็กเองก็มี "ไมโครไบโอม" (microbiome) หรือชุมชนจุลินทรีย์ของมันเองเช่นกัน แต่การศึกษาลักษณะของมันยังคงเป็นความท้าทาย
จนกระทั่งในปี 2023 ทีมที่นำโดย โอลิเวอร์ ฟีน (Oliver Fiehn) ที่ University of California, Davis ได้พัฒนา "แคปซูลสำรวจที่กลืนได้" (swallowable probes) ที่สามารถเข้าไปเก็บตัวอย่างของเหลวในลำไส้เล็กของคนที่มีสุขภาพดีได้สำเร็จ แคปซูลเหล่านี้ซึ่งมีขนาดเท่าเม็ดยาวิตามินขนาดใหญ่
ถูกเคลือบด้วยสารที่จะละลายที่ค่า pH ที่กำหนดไว้ เนื่องจากค่า pH ของลำไส้เล็กจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากต่ำสุดที่ประมาณ 4-5 ในลำไส้เล็กส่วนต้น ไปจนถึงสูงสุดที่ประมาณ 7.4 ในส่วนปลาย แคปซูลจึงสามารถถูกตั้งโปรแกรมให้เปิดในตำแหน่งที่ต้องการและดูดของเหลวเข้าไปได้
ผลการวิเคราะห์สิ่งที่อยู่ในแคปซูลแสดงให้เห็นว่า ไมโครไบโอมของลำไส้เล็กมีความหลากหลายสูงมากตลอดความยาวของมัน และแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับที่พบในลำไส้ใหญ่ (ซึ่งมีความหนาแน่นของจุลินทรีย์มากกว่านับล้านเท่า) นี่คือหลักฐานที่แน่ชัดชิ้นแรกว่าเราประเมินค่าลำไส้เล็กต่ำเกินไปมาโดยตลอด "เรายังคงไม่รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับไมโครไบโอมในลำไส้เล็ก" แอนดรูว์ แม็คเฟอร์สัน (Andrew Macpherson) จาก University of Bern กล่าว และเพิ่งจะขนานนามมันว่าเป็น "ดินแดนที่ไม่เคยมีใครสำรวจ" (terra incognita)
🕐 วงจร 24 ชั่วโมง และ "เบรกมหัศจรรย์"
การทดลองอื่นๆ กำลังเผยให้เห็นว่าลำไส้เล็กไม่ได้แค่หลากหลายไปตามความยาวของมันเท่านั้น แต่มันยังหลากหลายไปตาม "ช่วงเวลา" โดยทำงานตามวงจร 24 ชั่วโมงที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อน
• Migrating Motor Complex (MMC): แม่บ้านทำความสะอาดตอนกลางคืน
ในช่วงที่เราท้องว่าง (fasting state) โดยเฉพาะตอนกลางคืนที่เราหลับ ลำไส้เล็กจะเปิดใช้งานกลไกที่เรียกว่า Migrating Motor Complex (MMC) มันคือการบีบตัวของกล้ามเนื้อเป็นคลื่นแรงๆ ที่จะเริ่มต้นจากกระเพาะอาหารและค่อยๆ เคลื่อนไปจนสุดลำไส้เล็ก ใช้เวลาประมาณ 90-120 นาทีต่อรอบ
มันทำหน้าที่เหมือน "แม่บ้าน" ที่คอย "กวาดล้าง" เศษอาหาร, เมือก, และแบคทีเรียส่วนเกินที่ตกค้างอยู่ให้ลงไปสู่ลำไส้ใหญ่ กระบวนการนี้สำคัญอย่างยิ่งในการป้องกัน ภาวะ SIBO (Small Intestinal Bacterial Overgrowth) หรือภาวะที่แบคทีเรียในลำไส้เล็กเจริญเติบโตมากผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการท้องอืด, ท้องเสีย, และการดูดซึมอาหารผิดปกติ
• การกักเก็บอาหารข้ามคืนของลำไส้เล็กส่วนปลาย
ในแต่ละวัน หลังจากที่กระเพาะอาหารว่างเปล่าเป็นครั้งสุดท้ายและการบีบตัวของกล้ามเนื้อหยุดลง "หูรูด" (ileocecal valve) ระหว่างลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่จะปิดลง และอาหารที่ย่อยแล้วบางส่วน หรือ "ไคม์" (chyme) จะเกิดการรวมตัวกันอยู่ในลำไส้เล็กส่วนปลาย (ileum)
ดังนั้น ในขณะที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้นและส่วนกลางว่างเปล่าในตอนกลางคืน ลำไส้เล็กส่วนปลายกลับเต็มไปด้วยอาหารและยุ่งอยู่กับการทำงาน "มันเริ่มทำตัวเหมือนกระเพาะอาหารเล็กๆ" ฟรอสต์กล่าว และเมื่อเราทานอาหารเช้า การบีบตัวก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง หูรูดจะเปิดออก และไคม์ก็จะถูกกวาดเข้าไปในลำไส้ใหญ่
• The Ileal Brake: กลไกควบคุมความหิว
ลำไส้เล็กส่วนปลายยังมีกลไกมหัศจรรย์ที่เรียกว่า "Ileal Brake" หรือเบรกจากลำไส้เล็กส่วนปลาย เมื่ออาหารที่ยังไม่ถูกย่อย โดยเฉพาะไขมันและคาร์โบไฮเดรต เดินทางมาถึงส่วนปลาย เซลล์พิเศษที่เรียกว่า L-cells ในผนังลำไส้จะหลั่งฮอร์โมนระงับความอยากอาหารอย่าง PYY (Peptide YY) และ GLP-1 (Glucagon-like peptide-1) ออกมา
ฮอร์โมนเหล่านี้จะส่งสัญญาณกลับไปที่สมองเพื่อบอกว่า "อิ่มแล้ว" และสั่งให้กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้นทำงานช้าลง นี่คือกลไก "เบรก" ตามธรรมชาติที่สำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมความอยากอาหาร และเป็นเป้าหมายของยาลดน้ำหนักและยารักษาเบาหวานรุ่นใหม่ๆ หลายชนิด
🥦 พรมแดนแห่งไฟเบอร์ และ กรดไขมันสายสั้น
ภูมิปัญญาดั้งเดิมคือไฟเบอร์จะเดินทางผ่านลำไส้เล็กไปโดยไม่ถูกย่อยสลาย แต่ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์รู้แล้วว่านั่น "ไม่เป็นความจริง"
ปริมาณของจุลินทรีย์เริ่มต้นน้อยมากในลำไส้เล็กส่วนต้น แต่ความหนาแน่นจะเพิ่มขึ้นตามความยาวของลำไส้เล็ก จนไปถึง 100 ล้านเซลล์ต่อมิลลิลิตรในส่วนปลาย และในตอนกลางคืน ไมโครไบโอมในส่วนปลายนี้จะเกิดการ "เบ่งบาน" (bloom) อย่างระเบิดเถิดเทิง โดยได้รับสารอาหารจากไคม์ที่สะสมไว้ พวกมันสามารถหมัก "ไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้" (soluble fiber) โดยเฉพาะโมเลกุลที่เรียกว่า Oligosaccharides เช่น สตาชิโอส (stachyose) และ ราฟฟิโนส (raffinose) ซึ่งมีอยู่มากมายใน "พืชตระกูลถั่ว" (legumes)
ผลผลิตที่ได้จากการหมักไฟเบอร์นี้คือโมเลกุลที่เรียกว่า กรดไขมันสายสั้น (Short-Chain Fatty Acids - SCFAs) ซึ่งมีประโยชน์มหาศาลทั่วร่างกาย เช่น:
• บิวทิเรต (Butyrate): เป็นแหล่งพลังงานหลักของเซลล์ผนังลำไส้ใหญ่ (colonocytes) ช่วยรักษาความสมบูรณ์ของผนังลำไส้ (gut barrier) และมีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่รุนแรง
• โพรพิโอเนต (Propionate): ถูกดูดซึมและส่งไปที่ตับ มีบทบาทในการควบคุมการผลิตกลูโคสและคอเลสเตอรอล
• อะซิเตต (Acetate): เป็น SCFA ที่มีมากที่สุด ถูกใช้เป็นพลังงานโดยเนื้อเยื่อต่างๆ และมีความสำคัญต่อการสื่อสารระหว่างลำไส้กับสมอง (Gut-Brain Axis)
การมีอยู่ของ SCFAs ในลำไส้เล็กจึงอาจมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกัน "ภาวะลำไส้รั่ว" (Leaky Gut Syndrome) ซึ่งถูกชี้ว่าเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะเมตาบอลิก เช่น โรคอ้วนและเบาหวานชนิดที่ 2
🧬 ศูนย์กลางเมตาบอลิซึม - การค้นพบที่พลิกวงการ
การค้นพบใหม่ๆ กำลังตอกย้ำบทบาทของลำไส้เล็กในฐานะผู้ควบคุมสุขภาพเมตาบอลิซึมที่ซ่อนอยู่:
• กลไกยารักษาเบาหวาน: ทีมวิจัยในญี่ปุ่นค้นพบโดยบังเอิญขณะศึกษายา เมทฟอร์มิน (metformin) ว่ายาตัวนี้ทำให้ร่างกายขับ "กลูโคส" จำนวนมากออกจากกระแสเลือดเข้าสู่ลำไส้เล็กส่วนกลาง (jejunum) เพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่า! ซึ่งนี่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่อธิบายผลของยาได้ โดยเป็นการที่ร่างกาย "ป้อนอาหาร" ให้กับจุลินทรีย์ในลำไส้ เพื่อส่งเสริมการผลิต SCFAs นั่นเอง
• การ "ผลัดผิว" ลำไส้: การรักษาเบาหวานชนิดที่ 2 แบบใหม่ที่เรียกว่า "การผลัดผิวเยื่อบุลำไส้เล็กส่วนต้น" (Duodenal mucosal resurfacing) ซึ่งใช้ความร้อนลอกเยื่อบุผิวออกไป พบว่าเมื่อมันงอกขึ้นมาใหม่ กลับส่งผลดีต่อเมตาบอลิซึมอย่างน่าทึ่ง จนผู้ป่วยบางรายสามารถหยุดฉีดอินซูลินได้ทั้งหมด!
"เมื่อคุณสามารถเข้าถึงพื้นที่ที่คุณไม่เคยไปได้มาก่อน โลกใบใหม่ทั้งใบก็จะเปิดออกตรงหน้าคุณ" ฟรอสต์กล่าว "การสังเกตการณ์เหล่านี้บางอย่างอาจดูคลุมเครือ แต่หวังว่ามันจะนำไปสู่ความเข้าใจใหม่ๆ ว่าเราทำงานอย่างไร และป้องกันปัญหาบางอย่างที่เรามีได้"
🏡 บทที่ 6: บริบทของไทย - ภูมิปัญญาในสำรับ
การค้นพบนี้อาจช่วยอธิบายได้ว่าทำไมอาหารไทยดั้งเดิมที่อุดมไปด้วยพืชผักสมุนไพรและ "ถั่ว" หลากหลายชนิดจึงดีต่อสุขภาพ... มันไม่ได้แค่ให้วิตามิน แต่ยังเป็น "อาหาร" ชั้นเลิศสำหรับเหล่าจุลินทรีย์ในลำไส้เล็กของเรา ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมสุขภาพเมตาบอลิซึมทั้งหมด
• พืชตระกูลถั่ว: อาหารไทยใช้ถั่วหลากหลายชนิด ตั้งแต่ถั่วลิสงในส้มตำ, ถั่วฝักยาวในแกง, ไปจนถึงถั่วเขียวในขนมหวาน ซึ่งล้วนเป็นแหล่งของไฟเบอร์ที่จุลินทรีย์ในลำไส้เล็กชื่นชอบ
• อาหารหมักดอง: เช่น ปลาร้า, กะปิ, ข้าวหมาก เป็นแหล่งของโปรไบโอติกส์หรือจุลินทรีย์ตัวดีโดยตรง
• สมุนไพรและเครื่องเทศ: เช่น ขมิ้น, ข่า, ตะไคร้, กระเทียม มีคุณสมบัติเป็นพรีไบโอติกส์ (อาหารของจุลินทรีย์ดี) และช่วยลดการอักเสบในลำไส้
การใส่ใจกับ "ลำไส้ที่สอง" นี้ อาจเป็นหนทางสู่การมีสุขภาพที่ดีและยั่งยืนสำหรับคนไทย
🎯 สรุปประเด็นสำคัญ
✅ กายวิภาคที่ถูกมองข้าม: ลำไส้เล็กไม่ได้เป็นแค่ท่อยาวๆ แต่แบ่งเป็น 3 ส่วน (Duodenum, Jejunum, Ileum) ที่มีหน้าที่เฉพาะตัว และเป็นศูนย์กลางการดูดซึมสารอาหารที่แท้จริง
✅ ไมโครไบโอมที่สอง: ลำไส้เล็กมีชุมชนจุลินทรีย์ของตัวเองที่แตกต่างจากลำไส้ใหญ่ และมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพ
✅ วงจรชีวิต 24 ชั่วโมง: ลำไส้เล็กมีกลไกการทำงานที่ซับซ้อน ทั้ง "การทำความสะอาด" ตอนกลางคืน (MMC) และ "การส่งสัญญาณความอิ่ม" (Ileal Brake) ซึ่งควบคุมโดยฮอร์โมน PYY และ GLP-1
✅ ไฟเบอร์และ SCFAs: จุลินทรีย์ในลำไs้เล็กสามารถหมักไฟเบอร์ (โดยเฉพาะจากพืชตระกูลถั่ว) เพื่อสร้างกรดไขมันสายสั้น (SCFAs) ที่มีประโยชน์มหาศาลต่อการลดการอักเสบและสุขภาพองค์รวม
✅ ศูนย์กลางเมตาบอลิซึม: การค้นพบใหม่ๆ ชี้ว่าลำไส้เล็กมีบทบาทสำคัญในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและโรคเมตาบอลิกต่างๆ มากกว่าที่เราเคยเข้าใจ
✅ ภูมิปัญญาในอาหารไทย: อาหารไทยดั้งเดิมที่อุดมด้วยพืชตระกูลถั่ว, สมุนไพร, และของหมักดอง สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ในการบำรุงเลี้ยง "ลำไส้ที่สอง" ของเรา
💬 แล้วคุณล่ะครับ...
การได้รู้ว่า "ลำไส้ที่สอง" มีความสำคัญต่อสุขภาพองค์รวมขนาดนี้ ทำให้คุณอยากหันมาใส่ใจอาหารการกิน โดยเฉพาะพืชตระกูลถั่วมากขึ้นไหมครับ? แล้วมีอาหารไทยจานโปรดจานไหนที่คุณเพิ่งนึกออกว่าน่าจะดีต่อไมโครไบโอมของเรา?
🔎 แหล่งอ้างอิง
1. Lawton, G. (2025, June 21). Your second gut. New Scientist, (3548), 40–43.
💖 มาช่วยกันขับเคลื่อน "Witly" กันครับ!
ร่างกายของเราเปรียบเสมือน "ดินแดน" ที่เต็มไปด้วยความลับที่รอการค้นพบ ดังเช่น "ลำไส้เล็ก" ที่ถูกมองข้ามมานาน...
เป้าหมายของ Witly ก็เช่นกัน คือการเป็น "นักสำรวจ" ที่จะเจาะลึกลงไปในแผนที่วิทยาศาสตร์ แล้วนำ "ดินแดนที่ถูกลืม" แห่งความรู้นั้นมาเปิดเผยให้ทุกคนได้เห็น
ทุกการสนับสนุนผ่าน "ค่ากาแฟ" ของคุณ คือ "เสบียง" สำหรับการเดินทางครั้งนี้ เพื่อให้เราสามารถสำรวจดินแดนใหม่ๆ ต่อไปได้ครับ
วิทยาศาสตร์
สุขภาพ
โภชนาการ
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
SCI-LORE
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย