21 พ.ย. เวลา 03:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

🏃🏻‍♂️ "ล้มเลิก" ไม่ใช่ "ล้มเหลว" ศาสตร์แห่งการ 'ยอมแพ้' ที่จะช่วยเยียวยาชีวิตคุณ

ปี 2025 ถูกคาดหวังว่าจะเป็นปีแห่งความสำเร็จของหลายคน ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเป้าหมายด้านสุขภาพ เช่นการวิ่งมาราธอน การเรียนรู้ทักษะใหม่อย่างภาษาสเปน หรือการสร้างผลงานเชิงสร้างสรรค์ เช่นการเขียนหนังสือเล่มใหม่ไปพร้อมกับการสร้างฐานผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดีย แต่เบื้องหลังความพยายามเหล่านี้ มักเต็มไปด้วยความเครียดและแรงกดดันที่ผลักดันให้คนจำนวนมาก “กัดฟัน” เดินหน้าต่อไป แม้จะเหนื่อยล้า
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมที่ยกย่องความมุ่งมั่นเป็นคุณธรรมสูงสุด (แนวคิดที่ว่า “ผู้ชนะไม่เคยล้มเลิก และคนล้มเลิกไม่เคยชนะ”) นักจิตวิทยาอย่าง เคนทาโร ฟูจิตะ (Kentaro Fujita, 2025) จาก The Ohio State University อธิบายว่า สังคมมักให้คุณค่ากับคนที่ยืนหยัดต่อเป้าหมายอย่างเหนียวแน่น และไม่ชอบคนที่เลือกจะเลิกกลางคัน
อย่างไรก็ตาม กระแสความกังขาต่อการพัฒนาตนเองที่ “มากเกินไป” กำลังเพิ่มสูงขึ้น โดยเริ่มชัดเจนตั้งแต่ช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 เมื่อแนวคิดแบบ “ฮัสเซิล” (Hustle Mentality) ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการบังคับให้ผู้คนมองหายนะระดับโลกเป็น “โอกาส” ในการตั้งเป้าหมายใหม่ๆ ล่าสุด แนวคิด “Grindset” หรือการทำงานหนักตลอดเวลา ก็ถูกตั้งคำถามอย่างกว้างขวาง จนถูกบรรจุในพจนานุกรมออนไลน์ของ Merriam-Webster ในปีนี้
สิ่งที่น่าสนใจคือ งานวิจัยใหม่ๆ กำลังชี้ให้เห็นถึงข้อได้เปรียบที่จริงจังของการ “รู้ว่าเมื่อใดควรเลิก” ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีขึ้น การเลือกว่าจะรักษาเป้าหมายใดไว้ และจะละทิ้งเป้าหมายใดไป จึงกลายเป็นความท้าทายสำคัญของยุคนี้
นักวิจัยเรียกกระบวนการนี้ว่า “การล้มเลิกอย่างมีประสิทธิภาพ” (Productive Quitting) ซึ่งแตกต่างจากการปล่อยปละละเลยโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะเป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่ช่วยให้บุคคลสามารถจัดลำดับความสำคัญได้ดีขึ้น และงานวิจัยด้านจิตวิทยากำลังเสนอเครื่องมือใหม่ๆ ที่ช่วยให้ผู้คนสามารถใช้การล้มเลิกเป็นพลังในการสร้างสมดุลของชีวิต
🩺 "Grit" ดาบสองคมที่ชื่อความพากเพียร
รากฐานของการหมกมุ่นกับวินัยในตนเอง สามารถสืบย้อนไปถึงปี 1859 เมื่อ ซามูเอล สไมลส์ (Samuel Smiles) นักเขียนและนักปฏิรูปการเมือง ได้ตีพิมพ์งานทรงอิทธิพลชื่อ Self-Help ซึ่งเสนอแนวคิดว่าการพัฒนาชนชั้นกลางเกิดขึ้นได้ผ่านความพากเพียรและการจัดการตนเอง หนังสือเล่มนี้ได้กลายเป็นต้นแบบของคู่มือการพัฒนาตนเองที่ยังคงปรากฏอยู่บนชั้นหนังสือทั่วโลกจนถึงปัจจุบัน
ในเวลาต่อมา วรรณกรรมทางจิตวิทยาก็ดูเหมือนจะสนับสนุนแนวคิดของสไมลส์ โดยมีงานวิจัยจำนวนมากที่ชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ของความมุ่งมั่น ฟูจิตะอธิบายว่า “จุดสนใจหลักอยู่ที่การทำอย่างไรให้ผู้คนยึดมั่นในเป้าหมายของตน”
หนึ่งในแนวคิดที่ได้รับความนิยมคือ “Grit” (ความทรหด) ซึ่งถูกนิยามว่าเป็นการผสมผสานระหว่างความหลงใหลและความพากเพียร คนที่มี Grit มักเห็นด้วยกับข้อความเช่น “ฉันทำทุกอย่างที่ฉันเริ่มจนเสร็จ” และไม่เห็นด้วยกับข้อความเช่น “ฉันมักจะตั้งเป้าหมายไว้ แต่ภายหลังก็เลือกที่จะไปทำอย่างอื่น” ทัศนคติแบบนี้มีประโยชน์มหาศาลเมื่อบุคคลมีเวลา ทรัพยากร และความสามารถเพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมาย
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความพากเพียรที่มากเกินไปก็อาจกลายเป็น “ด้านมืด” ได้เช่นกัน เพราะบ่อยครั้งสถานการณ์จริงจำกัดโอกาสในการทำให้ความฝันเป็นจริง การดันทุรังเดินหน้าต่อโดยไม่ประเมินข้อจำกัดอาจนำไปสู่ความเครียด ความล้มเหลว หรือแม้กระทั่งการสูญเสียโอกาสที่มีค่ามากกว่าไป
🧘🏻‍♀️ ศาสตร์แห่งการปล่อยวาง (Goal Adjustment Scale)
นักจิตวิทยา คาร์สเตน โรสช์ (Carsten Wrosch) จาก Concordia University ประเทศแคนาดา เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการศึกษาประเด็นนี้ เขาได้รับแรงบันดาลใจจากงานวิจัยก่อนหน้าที่สำรวจชีวิตของผู้คนซึ่งความสัมพันธ์โรแมนติกล้มเหลวในวัยกลางคน
ผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นว่า หลายคนผิดหวังอย่างมากเมื่อความสัมพันธ์ที่หวังว่าจะยืนยาวตลอดชีวิตพังทลาย แต่ในขณะที่บางคนยังคงโหยหาความสัมพันธ์ใหม่ และคนอีกจำนวนมากกลับเลือกที่จะหันไปมุ่งเน้นเป้าหมายชีวิตทางเลือกอื่น เช่น การสร้างมิตรภาพที่แข็งแกร่งขึ้น โดยที่กลุ่มนี้กลับมีระดับความสุขสูงกว่าอย่างชัดเจน
โรสช์ตั้งคำถามว่า ทัศนคติที่ยืดหยุ่นเช่นนี้อาจเชื่อมโยงกับความทะเยอทะยานด้านอื่นๆ หรือไม่ เขาจึงออกแบบเครื่องมือวัดที่เรียกว่า Goal Adjustment Scale (GAS) โดยให้ผู้เข้าร่วมจินตนาการว่าถูกบังคับให้หยุดไล่ตามเป้าหมายสำคัญ แล้วให้คะแนนความเห็นด้วยกับข้อความ เช่น “มันง่ายสำหรับฉันที่จะหยุดคิดถึงเป้าหมายนั้นและปล่อยมันไป”
ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า คนที่สามารถ “ล้มเลิก” เป้าหมายที่ไม่เวิร์กได้อย่างง่าย และพร้อมจะ “ค้นหา” วัตถุประสงค์ใหม่ที่มีความหมายต่อชีวิต จะมีความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being) สูงกว่า ทั้งในด้านความรู้สึกต่อจุดมุ่งหมายและความพึงพอใจในชีวิตโดยรวม ในทางตรงกันข้าม คนที่ยังคง “ดื้อดึง” ยึดติดกับเป้าหมายเดิม แม้จะไม่เหมาะกับตัวเองแล้ว มักมีระดับความพึงพอใจในชีวิตต่ำกว่า
📉 ด้านมืดของความดื้อดึง: เมื่อร่างกายประท้วง
หนึ่งในข้อค้นพบที่น่าประหลาดใจที่สุดจากงานวิจัยด้านจิตวิทยา คือความสัมพันธ์ระหว่างการละทิ้งเป้าหมาย (Goal Disengagement) กับสุขภาพกาย โรสช์และทีมวิจัยพบว่า คนที่มีแนวโน้มสูงในการปล่อยวางเป้าหมายที่ไม่สามารถบรรลุได้ มักมีความเสี่ยงลดลงต่อการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ เช่น ปวดหัว ท้องผูก และผิวหนังอักเสบ (Eczema)
จุดที่น่าสนใจอีกอย่างคือ การยอมรับความพ่ายแพ้ยังอาจช่วยปกป้องร่างกายจากการติดเชื้อได้ด้วย ในการศึกษาที่วิเคราะห์ข้อมูลระยะเวลา 6 ปีในวัยผู้ใหญ่ 131 คน โรสช์และ โจแอล โจบิน (Joelle Jobin) พบความสัมพันธ์ชัดเจนว่า คนที่สามารถละทิ้งเป้าหมายได้อย่างง่ายๆ มีอัตราการติดเชื้อไข้หวัดธรรมดาต่ำกว่า
กลไกสำคัญที่เชื่อมโยงเรื่องนี้คือ ความทุกข์ทางอารมณ์ (Emotional Distress) คนที่สามารถ “ล้มเลิกเป็น” มักรู้สึกซึมเศร้าน้อยกว่า และในทางกลับกัน ความทุกข์ที่ลดลงก็สัมพันธ์กับโอกาสการติดเชื้อไวรัสที่ต่ำลง
งานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า สภาวะจิตใจส่งผลต่อสรีรวิทยาได้อย่างทรงพลัง ผ่านกลไกที่เป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์ โรสช์และ ไมเคิล ไชเออร์ (Michael Scheier) พบว่า คนที่ดิ้นรนและไม่สามารถปล่อยวางเป้าหมายที่ไม่สมหวังได้ มักมีระดับฮอร์โมนความเครียด (Cortisol) สูง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีผลกดระบบภูมิคุ้มกัน
นอกจากนี้ยังพบว่าคนกลุ่มนี้มีระดับโมเลกุลการอักเสบ (Inflammatory Molecules) เช่น C-reactive protein สูงกว่าปกติ ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการสึกหรอของเนื้อเยื่อและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและอัลไซเมอร์ โรสช์อธิบายว่า “นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นโรคหัวใจวายในทันที แต่หากระดับการอักเสบยังคงสูงต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีหรือหลายสิบปี ความเสี่ยงก็จะเพิ่มขึ้นมากในวัยกลางคนหรือวัยชรา”
🌪️ วิกฤตการไม่ตัดสินใจ (Inaction Crisis)
ในช่วงแรก งานวิจัยของโรสช์สร้างความกังขาในหมู่นักจิตวิทยาหลายคน เขาอธิบายว่า “เราไม่เคยบอกว่าความพากเพียรไม่สำคัญ แต่ก็มีสถานการณ์ในชีวิตที่เราไม่สามารถบรรลุสิ่งที่ต้องการได้ และความพากเพียรในตอนนั้น(ที่ยังไม่พร้อม)จะนำไปสู่ความล้มเหลวที่สะสม ซึ่งส่งผลกระทบทางอารมณ์และอาจกระทบต่อชีววิทยาของเรา”
เวลาผ่านไป กระแสความคิดเริ่มเปลี่ยน นักวิจัยจำนวนมากเริ่มทบทวนความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับการควบคุมตนเอง โดยมองว่ามันไม่ใช่เพียงแค่การยึดมั่นในเป้าหมาย แต่ยังรวมถึงการรู้ว่าเมื่อใดควรปล่อยวาง
ฟูจิตะชี้ว่า ไม่ใช่แค่เหตุการณ์ใหญ่ๆ เช่น การบาดเจ็บของนักกีฬาเท่านั้นที่ทำให้คนต้องยอมแพ้ แต่ในชีวิตจริง ทุกคนมีเป้าหมายที่แข่งขันกันหลายอย่าง และทรัพยากรที่จำกัดในการทุ่มเทให้กับแต่ละเป้าหมายย่อมบังคับให้ต้องมีการเสียสละเสมอ
ในมุมมองนี้ การล้มเลิกไม่ได้สะท้อนถึงการขาดคุณสมบัติ แต่คือการตระหนักว่าพลังงานและทรัพยากรต้องถูกใช้ไปอย่างระมัดระวัง ฟูจิตะกล่าวว่า “บ่อยครั้ง การล้มเลิกก็ต้องใช้การควบคุมตนเองมากพอๆ กับการยึดมั่นในเป้าหมาย”
เขายังยอมรับว่าการตัดสินใจเช่นนี้เป็นการทดสอบความกล้าหาญของมนุษย์ หนึ่งในอุปสรรคสำคัญคือ “อคติจากต้นทุนที่จม” (Sunk Cost Bias) ซึ่งทำให้คนไม่เต็มใจที่จะตัดขาดทุนจากสิ่งที่ได้ลงทุนไปแล้ว ผลลัพธ์คือการเข้าสู่ภาวะ “วิกฤตการไม่ตัดสินใจ” (ช่วงเวลาที่คนลังเล ไม่ยอมมุ่งมั่นกับเป้าหมายเดิมอย่างเต็มที่ และก็ไม่ยอมปล่อยวางมันอย่างแท้จริงเช่นกัน)
💡 เครื่องมือสู่การ 'ล้มเลิกอย่างชาญฉลาด'
งานวิจัยด้านจิตวิทยาชี้ว่าวิกฤตการไม่ตัดสินใจมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยลง หากบุคคลรู้สึกถึงความเป็นอิสระ (Autonomy) ในการตัดสินใจเลิกเป้าหมายด้วยตัวเอง นักจิตวิทยา แอนน์ โฮลดิง (Anne Holding) จาก New York University พบว่า นักศึกษาที่เลือกละทิ้งเป้าหมาย เช่น การลดน้ำหนัก มีแนวโน้มที่จะเผชิญวิกฤตนี้น้อยลง หากเหตุผลในการเลิกมาจากการตระหนักว่าเป้าหมายนั้นไม่สอดคล้องกับคุณค่าของตนเองอีกต่อไป
กุญแจสำคัญคือการรู้ลำดับความสำคัญของชีวิต และตระหนักถึงความรับผิดชอบส่วนตัวในการจัดสรรเวลาและพลังงานของตนเอง อย่างไรก็ตาม สำหรับหลายคน การตัดสินใจว่าจะทิ้งเป้าหมายใดถือเป็นเรื่องยาก ฟูจิตะอธิบายว่า “มันต้องใช้การไตร่ตรองในตนเองอย่างมาก”
เพื่อช่วยให้การตัดสินใจให้ชัดเจนขึ้น ฟูจิตะแนะนำการใช้ทฤษฎีระดับการตีความ (Construal-Level Theory) ซึ่งเปรียบเสมือนการ “สวมแว่นตาเปลี่ยนมุมมอง” หากสถานการณ์ใดกระตุ้นอารมณ์รุนแรงและทำให้บุคคลจดจ่อกับรายละเอียดเล็กน้อยมากเกินไป การ “ซูมออก” เพื่อมองภาพใหญ่และเป็นกลาง จะช่วยให้การตีความชัดเจนยิ่งขึ้น และสนับสนุนการตัดสินใจที่มีเหตุผลมากกว่า
แนวทางปฏิบัติที่ช่วยปรับมุมมอง ได้แก่:
  • 1.
    เปลี่ยนสถานที่ชั่วคราว: การออกจากบริบทเดิม เช่น การอยู่บนเครื่องบินที่สูง 30,000 ฟุต สามารถช่วยให้มองเห็นคุณค่าของชีวิตได้ชัดเจนขึ้น
  • 2.
    จินตนาการถึงตัวเองในอนาคต: ลองคิดว่าภายใน 10 หรือ 50 ปี เป้าหมายปัจจุบันจะยังมีความหมายอยู่หรือไม่
  • 3.
    เขียนข่าวมรณกรรมของตัวเอง: เป้าหมายที่คุณกำลังทุกข์ทรมานอยู่ตอนนี้ จะถูกพูดถึงในนั้นหรือไม่? ถ้าไม่ งั้นคุณก็น่าจะทิ้งมันไปได้
  • 4.
    จัดอันดับคุณค่า: การลิสต์สิ่งที่มีความหมายที่สุดในชีวิตและจัดลำดับความสำคัญ จะช่วยให้เห็นภาพใหม่ๆ และตัดสินใจได้ง่ายขึ้น
🛑 'พัก' หรือ 'ทิ้ง': กลยุทธ์การปล่อยวาง
แนวคิดเรื่อง “การพักเป้าหมายไว้บนหิ้ง” (Goal Shelving) คือการกดปุ่ม Pause ให้กับเป้าหมายที่ยังไม่สามารถทำได้ในปัจจุบัน แต่ยังคงเปิดโอกาสให้กลับมาทำต่อในอนาคต งานวิจัยของ ซีตา เมเยอร์ (Zita Mayer) จาก University of Zurich ชี้ว่า วิธีนี้สามารถช่วยลดความรู้สึกหนักอึ้งและความเสียดายที่มักเกิดขึ้นเมื่อบุคคลต้องละทิ้งเป้าหมายไปอย่างถาวร
สิ่งที่ทำให้การพักเป้าหมายมีประโยชน์คือการรักษา “อัตลักษณ์” (Identity) ที่ผูกติดอยู่กับเป้าหมายนั้นไว้ เมเยอร์ยกตัวอย่างจากชีวิตส่วนตัวว่า ในวัยเด็กเธอทุ่มเทเวลาและความพยายามอย่างมากในการเล่นไวโอลิน แม้ปัจจุบันเธอจะมุ่งเน้นไปที่อาชีพนักวิทยาศาสตร์ แต่การพักเป้าหมายการเล่นดนตรีไว้บนหิ้งทำให้เธอยังคงนิยามตัวเองว่าเป็น “นักดนตรี” ได้ ซึ่งเป็นอัตลักษณ์ทางสังคมที่เธอให้คุณค่าอย่างมาก
🏡 Productive Quitting: ทักษะสำคัญของคนรุ่นใหม่ไทยในการรักษาสมดุลชีวิต
ในชีวิตประจำวันของคนไทย โดยเฉพาะ Gen Z และ Gen Alpha ที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางการแข่งขันสูงและความคาดหวังรอบด้าน แนวคิดเรื่อง “การล้มเลิกอย่างมีประสิทธิภาพ” (Productive Quitting) กำลังกลายเป็นทักษะที่สำคัญอย่างยิ่ง
หลายคนถูกผลักดันด้วยวัฒนธรรม “Grindset” และ “Hustle Culture” ให้ต้องไล่ตามเป้าหมายหลายอย่างพร้อมกัน (เรียนให้เก่ง ทำกิจกรรมให้โดดเด่น หางานที่มั่นคง และสร้างชีวิตโซเชียลที่สมบูรณ์แบบ) แต่ทรัพยากรที่มีอยู่จริง เช่น เวลา พลังงาน และสุขภาพจิต กลับมีจำกัด
การที่คนรุ่นใหม่ในไทยเริ่มพูดถึงภาวะ Burnout อย่างเปิดเผย หรือเลือกที่จะ “พักเป้าหมาย” ผ่านการทำ Gap Year หรือแม้กระทั่งการลาออกจากงานที่มั่นคงเพื่อค้นหาความหมายใหม่ในชีวิต ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่คือการนำศาสตร์แห่ง Productive Quitting มาใช้ในชีวิตจริง
หัวใจสำคัญของแนวคิดนี้คือการ “ซูมออก” (Zoom Out) เพื่อถามตัวเองว่า เป้าหมายที่กำลังแบกอยู่นั้นสอดคล้องกับ คุณค่า (Values) ที่แท้จริงของชีวิตหรือไม่ หรือเป็นเพียงความคาดหวังที่สังคมกำหนด การเรียนรู้ที่จะ “พัก” (Shelve) หรือ “ทิ้ง” (Ditch) เป้าหมายบางอย่างอย่างมีสติ คือทักษะการควบคุมตนเองที่ช่วยให้คนรุ่นใหม่ไม่หมดไฟ และสามารถรักษาสุขภาพจิตไว้ได้ในระยะยาว
🎯 สรุปประเด็นสำคัญ
✅ ความพากเพียรคือดาบสองคม: แม้ "Grit" (ความทรหด) จะเชื่อมโยงกับความสำเร็จ แต่การ "ดื้อดึง" ยึดติดกับเป้าหมายที่บรรลุไม่ได้ จะนำไปสู่ความเครียด, การอักเสบในร่างกาย (Cortisol, C-reactive protein) และปัญหาสุขภาพจิต
✅ "ล้มเลิกเป็น" คือสุขภาพดี: งานวิจัยพบว่าคนที่ "ปลดปล่อยเป้าหมาย" (Disengage) ที่ไม่เวิร์กได้ง่าย และ "ค้นหาเป้าหมายใหม่" (Re-engage) ได้เร็ว มีแนวโน้มที่จะมีความสุข, ซึมเศร้าน้อยกว่า และแม้กระทั่ง "เป็นหวัดน้อยกว่า"
✅ การล้มเลิกคือการควบคุมตนเอง: การ "ยอมแพ้" ไม่ใช่การขาดวินัย แต่คือการ "บริหารทรัพยากร" (พลังงาน, เวลา) อย่างชาญฉลาด เพื่อมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่สำคัญกว่า
✅ เครื่องมือช่วยตัดสินใจ: หากคุณติดอยู่ใน "วิกฤตการไม่ตัดสินใจ" (Inaction Crisis) ให้ลองใช้เทคนิค "ซูมออก" (Zoom out) เช่น เปลี่ยนสถานที่, จินตนาการถึงอนาคต หรือแม้แต่ "เขียนข่าวมรณกรรมของตัวเอง" เพื่อดูว่าเป้าหมายนั้นสำคัญจริงหรือไม่
✅ รู้จัก "พัก" (Goal Shelving): หากยังตัดใจทิ้งเป้าหมายไม่ได้ การ "พักไว้บนหิ้ง" ชั่วคราว (เช่น พักการเล่นดนตรีเพื่อไปโฟกัสกับอาชีพ) สามารถช่วยลดภาระทางใจได้ โดยไม่รู้สึกเสียดายในภายหลัง
💬 ชวนคิดชวนคุย
คุณเคยมีประสบการณ์ที่ต้อง "ล้มเลิก" เป้าหมายใหญ่ในชีวิตไหมครับ? และอะไรคือ "เป้าหมาย" ในชีวิตของคุณตอนนี้ ที่คุณรู้สึกว่ามันอาจจะถึงเวลาต้อง "ทบทวน" หรือ "พักไว้บนหิ้ง" บ้าง?
📚 แหล่งอ้างอิง
1. Robson, D. (2025). Why giving up on goals is good for you, and how to know which to ditch. New Scientist. https://www.newscientist.com/article/2501420-why-giving-up-on-goals-is-good-for-you-and-how-to-know-which-to-ditch/
2. Holmes, B. (2013). Brain stimulation gives you will to persevere. New Scientist. https://www.newscientist.com/article/dn24703-brain-stimulation-gives-you-will-to-persevere/
3. Wrosch, C., & Scheier, M. F. (2003). Personality and quality of life: the importance of optimism and goal adjustment. Quality of Life Research. https://doi.org/10.1023/a:1023529606137
4. Heckhausen, J., & Wrosch, C. (2022). Commentary: goal disengagement—past, processes, and future. Motivation and Emotion. https://doi.org/10.1007/s11031-022-09981-y
5. Scholer, A. A., Hubley, C., & Fujita, K. (2024). A multiple-goal framework for exploring goal disengagement. Nature Reviews Psychology. https://doi.org/10.1038/s44159-024-00363-4
6. Holding, A., Moore, A., Verner-Filion, J., & Koestner, R. (2022). Choosing to lose it: The role of autonomous motivation in goal disengagement. Motivation and Emotion. https://doi.org/10.1007/s11031-022-09952-3
7. Mayer, Z., & Freund, A. M. (2022). Better off without? Benefits and costs of resolving goal conflict through goal shelving and goal disengagement. Motivation and Emotion. https://doi.org/10.1007/s11031-022-09966-x
8. Mayer, Z., & Freund, A. M. (2025). To let go for now or for good? Goal shelving and goal disengagement across adulthood.. Psychology and Aging. https://doi.org/10.1037/pag0000892
🙏 ถึงผู้อ่านทุกท่าน
หากคุณชื่นชอบและเห็นคุณค่าของงานที่ผมทำ การสนับสนุนเล็กๆ น้อยๆ จากคุณจะเป็นพลังสำคัญอย่างยิ่ง เปรียบเสมือน 'ค่ากาแฟ' ที่ช่วยต่อลมหายใจ และทำให้ผมสามารถเดินหน้าสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพต่อไปได้ เพื่อให้พื้นที่แห่งการเรียนรู้ของเรายังคงอยู่
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความเมตตาจากทุกท่าน เพื่อให้เพจนี้ได้เดินต่อไปครับ
Link สนับสนุนค่ากาแฟ [https://ezdn.app/witlyofficial]

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา