3 ก.ค. เวลา 02:00 • ไลฟ์สไตล์

การจัดการกับความรู้สึกผิด

โดยธรรมชาติ เรามีความคาดหวังบางอย่างกับตัวเองเสมอ ยิ่งการที่เราเติบโตมาท่ามกลางการแข่งขันกันในสารพัดเรื่อง ก็ยิ่งตั้งความคาดหวังหลายอย่างให้ตัวเอง บวกรวมกับความคาดหวังจากคนรอบข้างด้วยเช่นกัน
ในเวลาที่เราพลาดทำบางสิ่งที่ไม่สมควรออกไป พลั้งเผลอเรื่องเล็กๆ น้อย ๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจ ทำให้รู้สึกแย่กับตัวเอง—ละอายใจ ขยะแขยง เราก็ให้อภัยตัวเองหรือกล่าว "ขอโทษ" ก็ช่วยเยียวยาความรู้สึกได้มาก ไม่ว่าอีกฝ่ายจะยกโทษให้หรือไม่ก็ตาม อย่างน้อยแล้วเราก็ได้รับผิดชอบในส่วนของเรา
แต่ในบางครั้ง เมื่อเราเลือกทำในสิ่งที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในความเป็นเราที่ดีขึ้น การที่เราได้คิดได้ทำต่างออกไป กระทั่งการที่เราไม่ได้มีหรือไม่ได้เป็นไปตามค่า(ความคาดหวัง)ของสังคมหรือคนทั่วไปนิยามไว้ จะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ทำให้เป็นเรื่องที่น่ากลัวหรือดูแปลกไป เราก็ตีตราตัวเองว่าเป็นคนล้มเหลวไม่ได้เรื่อง เป็นคนอกตัญญูบ้าง เป็นคนเห็นแก่ตัวบ้าง ต่าง ๆ นานา
เมื่อคำตำหนิที่เกิดจากการคาดหวังในตัวเองและจากคนรอบข้างดังขึ้น ก็ทิ้งเป็นความกลัวลึกๆ ภายในใจว่าจะไม่ได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างหรือทำให้คนที่รักต้องผิดหวัง เหลือไว้เพียงความรู้สึกผิด—ให้สงสัยในความดีและความสามารถของตัวเอง
2
อาจเป็นเรื่องยากที่จะจัดการกับความรู้สึกผิด เพราะความ(รู้สึก)ผิดคือตัวบ่งจริยธรรมชี้ผ่านความรู้สึกที่ผูกติดกับมโนธรรม ที่คอยตักเตือนตัวเองไม่ให้ทำสิ่งที่ขัดกับค่าของสังคมหรือค่าของเราเอง
เมื่อใดที่เราพร้อมรับผิดชอบต่อการกระทำของเราที่เป็นเหตุให้รู้สึกผิด ก็จะนำพาเราไปสู่การปรับปรุงแก้ไขให้ทำสิ่งที่ดีขึ้น แต่เราต้องจัดการกับความรู้สึกผิดให้ถูกทางก่อนแล้วการแก้ไขปัญหาถึงจะตามมาได้
7 แนวทางในการจัดการกับความรู้สึกผิด
1. ยอมรับความรู้สึกผิดอย่างไม่ตัดสิน
: ความรู้สึกผิดไม่ใช่คำตัดสินแต่เป็นการส่งสัญญาณบอกว่า เราให้ความสำคัญกับค่าบางอย่างหรือค่าความสัมพันธ์กับใครคนนั้นมากแค่ไหน
เตือนตัวเองว่า ทุกคำถามและทุกความสงสัยของเราไม่ได้ทำให้เราเป็นคนที่แย่หรือด้อยกว่าใครๆ
การที่ได้ค้นพบตัวเองหรือการได้มีคำตอบใหม่ ๆ บางอย่างให้ตัวเองเป็นการแสดงออกถึงความกล้า ที่เรากำลังมีส่วนร่วมในการใช้ชีวิตที่เป็นของเราอย่างแท้จริง ควรเป็นสิ่งที่เราภูมิใจ แม้ว่าเราจะรู้สึกแย่และต้องรับมือกับความรู้สึกผิดหรือทำให้ชีวิตเรายุ่งเหยิงบ้างก็ตาม
2. สำรวจที่มาของความรู้สึกผิด
: ให้เราเชื่อมโยงจุดต่างๆ กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล ถามตัวเองว่า อะไรเป็นตัวขับเคลื่อนที่ให้เรามีความรู้สึกผิด เป็นไปได้ไหมว่าที่เรากำลังรู้สึกคือ ความกลัว—กลัวความขัดแย้งภายในใจของเราเองระหว่างมุมมองใหม่กับความเชื่อเดิม หรือกลัวเสียคนที่เรารัก กลัวถูกตัดสิน ความกลัวต่าง ๆ นานาที่เรามโนขึ้น
เวลาที่กำลังรู้สึกผิด ฝึกสร้างพื้นที่ให้ตัวเองได้สำรวจว่า ทำไมเรากำลังรู้สึกผิด ใช้ประโยคว่า “ฉันรู้สึกผิดเพราะฉัน(สิ่งที่ได้ทำไป)” วิธีนี้จะสะท้อนให้เราเห็นว่า เรื่องราวที่กำลังเวียนวนอยู่ในความคิดของเราเป็นเพียงแค่ความรู้สึก—ไม่ใช่ข้อเท็จจริง
1
ให้เรานึกทบทวนสิ่งที่ได้ทำไปอย่างตรงไปตรงมา จะช่วยคลายปมให้เราได้ว่า ความรู้สึกผิดที่มีนั้น เป็นการย้ำคิดของเราจนกลายเป็นความกลัวที่เราสร้างให้กับตัวเองหรืออาจเป็นเรื่องของการคาดหวังจากคนรอบข้าง
เราใช้กระบวนการนี้ให้ได้ทบทวนเรื่องราวเพื่อสะท้อนความรู้สึกที่กำลังมี ใช้เป็นโอกาสให้เราเรียนรู้หรือแก้ไขต่อไป
3. ปรับเปลี่ยนขอบเขตชีวิตด้วยความเข้าอกเข้าใจ
: ถ้าเสียงตัดสินจากคนรอบข้างหรือจากสังคมเป็นเรื่องที่หนักอกหนักใจ เราก็ปกป้องพื้นที่ทางใจโดยที่เราไม่จำเป็นต้องถกเถียงหรือพิสูจน์แนวคิดหรือสิ่งที่ทำ เราไม่ต้องโต้ตอบด้วยอารมณ์แต่มีสติรับรู้และเข้าใจ เราไม่โวยวายแต่ก็ไม่ยอมให้มาใครบิดเบือนบางเรื่องราวหรือข้อมูลความจริงที่เราค้นพบ
เราเลือกที่จะรักษาความสงบในใจของเรา มากกว่าการตอบโต้ต่อเรื่องราวที่ไม่มีวันจบสิ้นของคนอื่น วิธีนี้ถือเป็นการให้เกียรติการรอนแรมต่อการเปลี่ยนแปลงของเราและความสัมพันธ์ที่เรามีไปพร้อมๆ กัน
1
การที่เรามีความยืดหยุ่นกับขอบเขตในชีวิต จะช่วยให้เรามีพื้นที่ในการปรับเปลี่ยนค่าบางอย่างที่เราใช้จัดการหรือจัดระเบียบในชีวิตเพื่อเติมเต็มความต้องการของเราได้ ที่บางคราวอาจทำให้คนทั่วไปตัดสินและมองว่า “เราเปลี่ยนไป”
สุดท้ายแล้ว เราไม่ได้ต้องการเอาชนะเพราะชีวิตไม่ใช่เรื่องของการพิสูจน์หรือการแข่งขัน ถ้ามีโอกาสเราก็อธิบายความจริงในมุมของเราอย่างใจเย็นและมีเหตุผล แล้วก็โฟกัสกับความสัมพันธ์ที่มีและการใช้ชีวิตต่อไป เพราะเราเองก็ยังค้นหา(คำตอบ)บางอย่างให้ตัวเองอยู่
4. ปรับเปลี่ยนมุมมอง
: ความรู้สึกผิดมักทำให้รู้สึกเหมือนเรากำลัง “ทรยศ” รากเหง้าวัฒนธรรมทางความคิดความเชื่อเดิม ๆ ของเราเอง แต่ความสงสัยหรือการมีคำถามกับแนวคิดที่แตกต่างจากเดิม คือการให้เกียรติกับความจริง เพราะการเติบโตไม่ใช่การปฏิเสธอดีตแต่หมายถึงการต่อยอดจากที่เราเคยเป็น
1
เมื่อใดที่ความรู้สึกผิดเริ่มคืบคลานเข้ามา แทนการย้ำคิดให้เปลี่ยนมาถามตัวเองว่า “ถ้าคนที่เรารักทำเหมือนที่เราทำไป เราจะตัดสินเขาแบบนี้หรือเปล่า?” การยืนอยู่จุดที่เป็นคนอื่นหรือคนที่เรารักแล้วมองเข้ามาอย่างเปิดใจ รวมถึงการที่เราปฏิบัติดีกับตัวเองเหมือนที่เรา(จะ)ปฏิบัติกับคนอื่น เราจะได้ความเข้าอกเข้าใจที่ควรมีต่อตัวเองแทนความรู้สึกผิดที่ได้มา
ขณะที่เรากำลังค้นหาคำตอบ เราก็ยอมรับความเชื่อเดิมที่เคยยึดถือมาแบบเปิดใจไปพร้อมๆ กับการสำรวจแนวคิดที่แตกต่างอย่างมีเหตุมีผล ถือเป็นการให้เกียรติอดีตขณะที่เราก็ปล่อยให้ตัวเองได้เติบโต
5. หาพื้นที่ที่ให้การสนับสนุน
: พูดคุยกับคนใกล้ตัวที่สนิทใจ หรือคนรอบข้างที่เคยผ่านเส้นทางคล้ายกันกับเรา ที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยที่เราแบ่งปันโดยไม่ถูกตัดสิน เพราะการเก็บเรื่องราวที่มีในใจ การไม่พูดคุยกับใครจะยิ่งทำให้ความรู้สึกแย่ลง
บางครั้ง การได้ฟังเรื่องราวของคนอื่นก็ช่วยแบ่งเบาความรู้สึกหนักหน่วงที่กำลังมีได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เรากำลังเจอไม่ได้เกิดขึ้นกับเราเพียงลำพัง—ไม่ได้มีแค่เรา
6. ฝึกคิดดีทำดีกับตัวเอง
: ความรู้สึกผิดที่มากเกินไปจะกลับมาทำร้ายเราเสมอ ดังนั้น การมีเมตตากับตัวเองจึงสำคัญ
เตือนตัวเองเสมอว่า คนที่ไม่ผิดพลาดก็คือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย เราต่างล้วนทำผิดได้เพราะความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ บางครั้งคนอื่นทำผิด บางครั้งเราก็ทำผิด ฝึกที่จะให้อภัยตัวเองและเริ่มต้นใหม่ เพราะทุกครั้งที่เราพลาดหรือค้นพบ(บาง)คำตอบให้ชีวิต เราก็มีบทเรียนดี ๆ สอนตัวเอง
ฝึกทำดีกับตัวเองด้วยความอ่อนโยน มองตัวเองในมุมดีๆ ให้เป็นนิสัยโดยไม่ต้องรอโอกาสที่จะทำ ยอมรับข้อบกพร่องและความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองได้ เราทำผิดพลาดได้เพราะเราก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง เราเรียนรู้เพื่อแก้ไข เราให้อภัยและให้โอกาสตัวเองได้เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
7. ให้เวลาตัวเอง
: เราไม่ปฏิเสธความรู้สึกแย่ๆ แต่ก็ไม่ซ้ำเติมตัวเอง ให้เวลาใจได้รู้สึกและเป็นไป เพราะการปรับเปลี่ยนแนวคิดหรือเปลี่ยนแปลงเรื่องใดเรื่องหนึ่งในชีวิตไม่ใช่เรื่องของการแข่งขัน เราไม่จำเป็นต้องมีทุกคำตอบให้ตัวเองทันที ปล่อยให้ตัวเองอยู่กับความไม่แน่นอนเพราะนั่นคือส่วนหนึ่งของกระบวนการเปลี่ยนแปลง
ให้เราใช้ทุกขณะอย่างละเมียดละไมที่เป็นโอกาสให้ตัวเองได้เติมเต็มในสิ่งที่ต้องการบ้าง เพราะชีวิตคือเวลา ฝึกปล่อยวางเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต แล้วดึงใจให้กลับมาอยู่ขณะปัจจุบัน เพื่อให้เราได้จดจ่อทำในสิ่งที่กำลังทำให้ดีที่สุด
เมื่อเวลาผ่านไป เราจะเริ่มมั่นใจในเส้นทางที่เราเลือกมากขึ้น และความรู้สึกผิดนั้นจะค่อยๆ เบาบางและจางลง
ชีวิตที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือชีวิตที่ไร้การเติบโต
และการเปลี่ยนแปลงจะเป็นเรื่องยาก ถ้าไร้การเมตตาและความเข้าอกเข้าใจที่เริ่มจาก"ตัวเอง"
1
บางครั้ง ความเปลี่ยนแปลงในชีวิตคือการที่เราได้คิดและทำในสิ่งที่แปลกจากคนทั่วไป ที่อาจไม่น่ากลัวอย่างที่เราคิดจนให้ตัวเองรู้สึกผิดไป ตราบใดที่สิ่งนั้นไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองหรือได้เบียดเบียนสังคม
ระลึกเสมอว่า “ความรู้สึกผิดไม่ใช่การกระทำผิด” และความรู้สึกผิดเองก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายแต่เป็นสัญลักษณ์ทางความรู้สึกของการมีจริยธรรม ทำให้เราอยากปรับปรุงตัวให้เกิดการแก้ไขและเปลี่ยนแปลงที่นำมาสู่ “สิ่งที่ดีกว่าให้กับตัวเอง”
เพียงให้ “คิดดีทำดี” กับตัวเอง ฝึกไปสักพัก—ให้นึกถึงและจดจำความดี ความสุข ความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วเราจะรู้สึกถึงการรักตัวเองเป็นมากขึ้น ชอบชีวิตของตัวเองยิ่งขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา