6 ก.ค. เวลา 13:30 • สุขภาพ

"ยาเยอะไปไหม" เปิดประตูสู่การลดยาอย่างเข้าใจ

หนึ่งในภาพที่ผมเห็นก็คือภาพของผู้สูงอายุที่บ้าน พร้อมกับถุงยาใบใหญ่ที่บรรจุยาไว้มากมายหลายสิบชนิด หลายโรงพยาบาล บางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องปกติที่คนอายุมากต้องกินยาเยอะ แต่เคยสงสัยไหมครับว่ายาเหล่านั้นจำเป็นทุกเม็ดจริงหรือ และการกินยาเยอะขนาดนั้นส่งผลดีหรือผลเสียต่อร่างกายกันแน่
วันนี้ผมอยากจะมาชวนคุยในหัวข้อที่กำลังเป็นที่สนใจในวงการแพทย์ทั่วโลก นั่นคือ การลดยา (Deprescribing) ซึ่งไม่ใช่แค่การหยุดยาตามใจชอบ แต่เป็นกระบวนการที่มีการวางแผนอย่างเป็นระบบ เพื่อลดหรือหยุดยาที่ไม่จำเป็นหรือไม่เหมาะสม ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
บทความนี้ ผมได้รับแรงบันดาลใจหลักมาจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Annals of Family Medicine ซึ่งศึกษาถึงมุมมองของผู้สูงอายุชาวญี่ปุ่นที่มีต่อการลดยา ทำให้เราได้เห็นทั้งอุปสรรคและตัวช่วยที่ซ่อนอยู่ในใจของผู้ป่วยครับ
คำว่า "การใช้ยาหลายขนาน (Polypharmacy)" คำนี้หมายถึงการที่ผู้ป่วยใช้ยาเป็นประจำตั้งแต่ 5 ชนิดขึ้นไป ซึ่งพบได้บ่อยในผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวหลายโรค การใช้ยาหลายขนานเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงจากยา ปฏิกิริยาระหว่างยา (ยาตีกัน) และอาจทำให้คุณภาพชีวิตลดลงได้
นี่จึงเป็นที่มาของแนวคิด "การลดยา (Deprescribing)" ซึ่งเปรียบเสมือนการจัดระเบียบบ้านของยาในร่างกายเรา โดยแพทย์จะร่วมกับผู้ป่วยทบทวนยาทั้งหมดที่ใช้อยู่ แล้วพิจารณาว่ายาตัวไหนยังจำเป็น ตัวไหนลดได้ หรือตัวไหนควรหยุด เพื่อให้เหลือแต่ยาที่จำเป็นและเกิดประโยชน์สูงสุดจริงๆ
งานวิจัยที่ผมอ้างถึงได้ทำการสัมภาษณ์ผู้สูงอายุชาวญี่ปุ่น 20 คนที่ใช้ยา 5 ชนิดขึ้นไป เพื่อทำความเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่ผลักดันให้พวกเขาอยากลดยา และอะไรคือสิ่งที่ฉุดรั้งพวกเขาไว้ เรามาดูกันครับว่าในใจของพวกเขากำลังคิดอะไรกันอยู่
จากงานวิจัยพบว่ามีปัจจัยสำคัญหลายอย่างที่ทำให้ผู้ป่วยเริ่มเปิดใจและอยากจะพูดคุยเรื่องการลดยากับคุณหมอครับ
✍️ มุมมองเชิงลบต่อยา ผู้ป่วยบางกลุ่มไม่ได้มองว่ายาคือ "พระเอก" เสมอไป พวกเขารู้สึกว่าการกินยาเยอะๆ เป็นภาระ กลัวว่ายาจะไปสะสมทำลายตับไตในระยะยาว หรือบางครั้งก็ไม่รู้สึกว่ายาตัวนั้นช่วยให้อาการดีขึ้นเลยด้วยซ้ำ ดังเช่นคำพูดของผู้ป่วยท่านหนึ่งที่ว่า "ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ายาตัวนี้มันได้ผลหรือเปล่า เพราะผมก็ไม่เคยกระดูกหักมาก่อน เลยคิดว่า...เออ ไม่ต้องกินก็ได้มั้ง" ความรู้สึกแบบนี้แหละครับที่เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยอยากจะลดยา
✍️ ความต้องการมีส่วนร่วม ผู้ป่วยบางท่านมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงและต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องสุขภาพของตนเอง พวกเขาเชื่อว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การคุมอาหาร การออกกำลังกาย อาจจะช่วยควบคุมโรคได้ดีกว่าการพึ่งพายาเพียงอย่างเดียว "ผมคิดว่าผมพอจะจัดการเรื่องความดันกับไขมันของตัวเองได้นะ" ความคิดเช่นนี้สะท้อนถึงความต้องการที่จะเป็นนายของสุขภาพตัวเอง ไม่ใช่แค่ผู้รับยาเพียงฝ่ายเดียว
ในทางกลับกัน ก็มีผู้ป่วยอีกจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกไม่สบายใจหรือไม่กล้าที่จะพูดเรื่องการลดยา ซึ่งอุปสรรคเหล่านี้ก็น่าสนใจไม่แพ้กันครับ
😲 ความเชื่อมั่นในยาและคุณหมอ ผู้ป่วยกลุ่มนี้มองว่ายาคือสิ่งจำเป็นที่ช่วยประคองชีวิตของพวกเขาไว้ และการกินยาตามที่หมอสั่งคือพฤติกรรมที่ดี พวกเขามีความไว้วางใจในตัวแพทย์สูงมาก และเชื่อว่าแพทย์ได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แล้ว "เมื่อคุณหมอบอกว่ายานี้สำคัญ ผมก็กินครับ เพราะผมไม่มีทางเลือกอื่น ถึงแม้ใจจะอยากหยุดก็ตาม คุณหมอย่อมรู้ดีกว่าผมอยู่แล้ว"
😲 ความกลัวว่าอาการจะแย่ลง นี่คือความกังวลที่ใหญ่ที่สุดเลยก็ว่าได้ ผู้ป่วยหลายคนกลัวว่าถ้าหยุดยาไปแล้ว อาการของโรคที่เป็นอยู่จะกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ชีวิตลำบากกว่าเดิม "ยาตัวนี้ช่วยเรื่องอาการท้องอืดของผม ผมกลัวที่จะหยุดมัน เพราะคิดว่ามันช่วยให้ผมใช้ชีวิตได้โดยไม่มีอาการ"
😲 ความรู้สึกว่า "ไม่ใช่หน้าที่ของเรา" ผู้ป่วยจำนวนมากรู้สึกว่าการสั่งยาเป็นหน้าที่ของแพทย์แต่เพียงผู้เดียว และการที่คนไข้จะไปเสนอให้ลดยาดูจะเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมหรือไม่สมควร "บางทีผมก็สงสัยนะว่ายาพวกนี้มันจำเป็นจริงๆ เหรอ แต่ในฐานะคนไข้คนหนึ่ง ผมก็ลังเลที่จะขอให้หมอลดยา ผมว่าใครๆ ก็รู้สึกแบบนี้แหละ"
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดจากงานวิจัยนี้ คือการจำแนกผู้ป่วยออกเป็น 5 ประเภทตามทัศนคติต่อยาและความพร้อมในการลดยา ลองสำรวจดูสิครับว่าคุณหรือคนใกล้ชิดของคุณเป็นแบบไหน
1. กลุ่มเชิงรุก (Proactive - 25%) เป็นกลุ่มที่มีมุมมองเชิงลบต่อยาและพร้อมที่จะเปิดประเด็นเรื่องการลดยากับแพทย์ด้วยตัวเอง พวกเขาต้องการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและเชื่อมั่นในการดูแลสุขภาพด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย
2. กลุ่มกังวลแต่ไม่กล้า (Fearful but Passive - 20%) กลุ่มนี้มีความกังวลเกี่ยวกับยาที่กินอยู่ แต่อาจจะด้วยความเกรงใจหรือไม่กล้า จึงเลือกที่จะเก็บความกังวลนั้นไว้และปล่อยให้แพทย์เป็นผู้ตัดสินใจต่อไป
3. กลุ่มเชื่อมั่นและพร้อมทำตาม (Compliant - 30%) เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด มีทัศนคติที่ดีต่อยาและเชื่อมั่นในตัวแพทย์ แต่ก็พร้อมที่จะลดยาหากแพทย์เป็นผู้เสนอ ซึ่งน่าสนใจมากที่งานวิจัยพบว่า กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มียาเฉลี่ยต่อคนมากที่สุด (9.8 ชนิด) อาจเป็นเพราะความเชื่อมั่นทำให้ไม่เคยตั้งคำถามและรับยาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา
4. กลุ่มพอใจและไม่อยากเสี่ยง (Satisfied and Risk-Averse - 10%) กลุ่มนี้พอใจกับสถานะปัจจุบันและไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะกลัวว่าอาการจะแย่ลง พวกเขามีแนวโน้มที่จะปฏิเสธข้อเสนอการลดยา
5. กลุ่มไม่ใส่ใจ (Indifferent - 15%) เป็นกลุ่มที่ไม่ได้มีมุมมองเชิงบวกหรือลบต่อยาเป็นพิเศษ และพร้อมจะทำตามที่แพทย์บอก ไม่ว่าจะให้กินต่อหรือให้หยุด
จากญี่ปุ่นสู่ไทย: เราเรียนรู้อะไรได้บ้าง
แม้ว่างานวิจัยนี้จะทำในประเทศญี่ปุ่น แต่ผมคิดว่ามีหลายอย่างที่คล้ายคลึงกับบริบทของสังคมไทย โดยเฉพาะวัฒนธรรม "ความเกรงใจ" และการให้ความเคารพแพทย์อย่างสูง ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยชาวไทยจำนวนมากกลายเป็น "กลุ่มกังวลแต่ไม่กล้า" หรือ "กลุ่มเชื่อมั่นและพร้อมทำตาม" คือไม่กล้าที่จะตั้งคำถามหรือแสดงความต้องการของตัวเองออกมา
แต่ในปัจจุบัน แนวคิดเรื่องการลดยาในประเทศไทยก็ได้รับการยอมรับมากขึ้น เพื่อส่งเสริมความรู้และแนวปฏิบัติที่ถูกต้องทั้งในหมู่บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนทั่วไป
สิ่งที่ผมอยากจะสื่อสารคือ การพูดคุยเรื่องการลดยาไม่ใช่การท้าทายหรือการไม่เชื่อใจคุณหมอครับ แต่มันคือการเปิดโอกาสให้เกิด การตัดสินใจร่วมกัน (Shared Decision Making) (เรื่องนี้เป็นโปรเจคของผมเลย ขณะเป็นนักศึกษาเภสัช) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลสุขภาพในยุคใหม่ การที่คุณบอกเล่าความกังวล ความต้องการ หรือเป้าหมายในชีวิตของคุณให้แพทย์ฟัง จะช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาที่ใช่สำหรับคุณมากที่สุดได้
การลดยาเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อน ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวสำหรับทุกคน การทำความเข้าใจมุมมองและทัศนคติที่แตกต่างกันของผู้ป่วยทั้ง 5 สไตล์นี้ จะช่วยให้ทั้งแพทย์และตัวผู้ป่วยเองสามารถหาจุดร่วมที่เหมาะสมที่สุดได้
สำหรับผู้ป่วยกลุ่มที่ยังกังวลหรือไม่กล้า การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและไว้วางใจกับแพทย์คือสิ่งสำคัญที่สุด ในขณะที่ผู้ป่วยกลุ่มเชิงรุก อาจต้องการข้อมูลและทางเลือกที่หลากหลายเพื่อประกอบการตัดสินใจ
ลองนับดูสิว่ามียาที่กินอยู่กี่ชนิด แล้วลองถามตัวเองดูว่า เราเป็นผู้ป่วยสไตล์ไหนกันนะ? บางทีคำตอบอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการพูดคุยเล็กๆ ที่จะนำไปสู่การดูแลสุขภาพที่ดีและยั่งยืนยิ่งขึ้นก็เป็นได้ครับ
แหล่งอ้างอิง:
Ie, K., Machino, R., Albert, S. M., Tomita, S., Ohashi, H., Motohashi, I., Otsuki, T., Ohira, Y., & Okuse, C. (2025). Proactive Deprescribing Among Older Adults With Polypharmacy: Barriers and Enablers. Annals of Family Medicine, 23(3), 207-213. https://doi.org/10.1370/afm.240363
โฆษณา