7 ก.ค. เวลา 13:30 • สุขภาพ

ไม่ต้องไปป่า นักวิทย์ฯพบแค่สวมแว่น VR ก็อาบป่าลดเครียดได้จริง

หลายครั้งที่ผมแนะนำให้คนไข้ลองหาเวลาไปพักผ่อนหย่อนใจกับธรรมชาติ เพราะเราต่างรู้กันดีว่า "ธรรมชาติบำบัด" นั้นมีอยู่จริง แต่คำถามที่ตามมาเสมอคือจะหาเวลาที่ไหนไป?
1
นี่คือจุดที่ทำให้ผมตื่นเต้นกับงานวิจัยชิ้นล่าสุดที่เพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Environmental Psychology นักวิจัยจากสถาบันมักซ์พลังค์เพื่อการพัฒนามนุษย์ (MPIB) และศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยฮัมบวร์ค-เอ็พเพินดอร์ฟ (UKE) ในเยอรมนี ได้ทดลองสิ่งที่อาจเปลี่ยนมุมมองของเราต่อการพักผ่อนไปเลย นั่นคือ "การอาบป่าเสมือนจริง" (Virtual Forest Bathing) ผ่านเทคโนโลยี VR (Virtual Reality)
พวกเขาตั้งคำถามง่ายๆ แต่ลึกซึ้งว่า ถ้าเราไม่มีโอกาสไปป่าจริงๆ การพาตัวเองเข้าไปอยู่ในป่าเสมือนจริงจะช่วยลดความเครียดและฟื้นฟูจิตใจได้หรือไม่ และที่สำคัญไปกว่านั้น ประสบการณ์แบบไหนที่จะให้ผลดีที่สุด
วันนี้ผมจะพาทุกท่านไปสำรวจผลการศึกษาที่น่าทึ่งนี้ด้วยกันครับ
"ชินริน-โยคุ" การอาบป่าที่ไม่ใช่การอาบน้ำ
ก่อนจะไปถึงโลกเสมือนจริง เรามาทำความรู้จักกับต้นฉบับกันก่อนครับ คำว่า "ชินริน-โยคุ" (Shinrin-Yoku) เป็นศัพท์ภาษาญี่ปุ่นที่แปลตรงตัวว่า "การอาบป่า" ซึ่งไม่ได้หมายถึงการไปอาบน้ำในป่านะครับ แต่หมายถึงการเปิดรับบรรยากาศของป่าด้วยประสาทสัมผัสทั้งหมดอย่างช้าๆ ทั้งการมองเห็นสีเขียวของใบไม้ การได้ยินเสียงนกร้อง เสียงลมพัด การได้กลิ่นดิน กลิ่นต้นไม้ และการสัมผัสอากาศที่บริสุทธิ์
ในญี่ปุ่น การอาบป่าถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์เพื่อบำบัดและป้องกันโรคมานานแล้วครับ มีงานวิจัยมากมายที่ยืนยันว่าการใช้เวลาในป่าช่วยลดฮอร์โมนความเครียดอย่างคอร์ติซอล (Cortisol) ลดความดันโลหิต ลดอัตราการเต้นของหัวใจ และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้จริง แต่สำหรับคนเมืองอย่างเราๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่พื้นที่สีเขียวมีจำกัด การจะ "อาบป่า" สักครั้งอาจเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว
เมื่อนักวิทยาศาสตร์ยกป่ามาไว้ในห้องทดลอง
ทีมนักวิจัยชาวเยอรมันจึงเกิดไอเดียว่า "ถ้าคนไปหาป่าไม่ได้ ก็ยกป่ามาให้คนสิ" แต่ไม่ใช่การปลูกป่าในตึกนะครับ พวกเขาใช้เทคโนโลยี VR สร้างประสบการณ์ป่าเสมือนจริงที่สมจริงที่สุดขึ้นมา
พวกเขาไม่ได้ใช้ภาพกราฟิกคอมพิวเตอร์ธรรมดาๆ แต่ลงทุนถ่ายทำวิดีโอ 360 องศาใน ป่าสนดักลาสที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป (เขตอนุรักษ์ธรรมชาติซอนเนนแบร์ก) พร้อมบันทึกเสียงจากธรรมชาติจริงๆ และสกัดน้ำมันหอมระเหยจากต้นสนดักลาสเพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้ "กลิ่น" ของป่าจริงๆ ด้วย
การทดลองนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 130 คน โดยเริ่มจากการทำให้ทุกคนเกิดภาวะเครียดเฉียบพลันก่อน (ด้วยการให้ดูภาพที่กระตุ้นความเครียด) จากนั้นจึงให้พวกเขาเข้าสู่ประสบการณ์ "อาบป่าเสมือนจริง" ผ่านแว่น VR โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ
✍️ กลุ่มครบเครื่อง (Multisensory) ได้รับประสบการณ์เต็มรูปแบบ ทั้งภาพ เสียง และกลิ่นของป่า
✍️ กลุ่มเห็นอย่างเดียว (Visual only) เห็นภาพป่า 360 องศา แต่ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น
✍️ กลุ่มได้ยินอย่างเดียว (Auditory only) ได้ยินเสียงธรรมชาติในป่า แต่ภาพใน VR เป็นห้องว่างๆ ที่เป็นกลาง
✍️ กลุ่มได้กลิ่นอย่างเดียว (Olfactory only) ได้กลิ่นน้ำมันหอมระเหยจากป่า แต่ภาพและเสียงเป็นกลาง
เป้าหมายคือเพื่อดูว่า การกระตุ้นประสาทสัมผัสทีละอย่าง กับการกระตุ้นพร้อมกันทั้งหมด แบบไหนจะให้ผลในการลดความเครียดและฟื้นฟูจิตใจได้ดีกว่ากัน
ผลการทดลองที่ออกมานั้นชัดเจนและน่าสนใจมากครับ
การกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 3 อย่างพร้อมกัน (ภาพ เสียง และกลิ่น) ให้ผลดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญ กลุ่มที่ได้สัมผัสประสบการณ์ป่าเสมือนจริงแบบเต็มรูปแบบรายงานว่า อารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และรู้สึกเชื่อมโยงกับธรรมชาติได้มากกว่า เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับสิ่งกระตุ้นเพียงอย่างเดียว
1
พูดง่ายๆ ก็คือ การได้เห็นภาพป่าสวยๆ พร้อมกับได้ยินเสียงนกร้อง และได้กลิ่นหอมของต้นไม้ไปพร้อมกัน มันทรงพลังกว่าการได้สัมผัสแค่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างเทียบไม่ติดเลยครับ
นอกจากนี้ ยังมีผลพลอยได้ที่น่าสนใจคือ พบการพัฒนาเล็กน้อยในด้าน "ความจำขณะทำงาน" (Working Memory) ซึ่งเป็นทักษะของสมองที่เราใช้ในการเก็บข้อมูลชั่วคราวและนำมาประมวลผล เช่น การจำเบอร์โทรศัพท์เพื่อโทรออก หรือการคิดเลขในใจ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าประสบการณ์ธรรมชาติเสมือนจริงอาจส่งผลดีต่อการทำงานของสมองในด้านอื่นด้วย
คุณ Leonie Ascone หัวหน้าทีมวิจัยกล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า "ประสบการณ์ธรรมชาติแบบดิจิทัลสามารถสร้างผลกระทบทางอารมณ์ได้อย่างแน่นอน แม้ว่าจะไม่สามารถมาแทนที่ธรรมชาติจริงๆ ได้ก็ตาม"
ทีนี้เราจะเอาความรู้นี้ไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง? คุณ Simone Kühn ผู้อำนวยการศูนย์ประสาทวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม หนึ่งในทีมวิจัย ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพมหาศาลสำหรับสถานที่ที่ผู้คนเข้าถึงธรรมชาติได้ยาก
ลองจินตนาการตามผมนะครับ...
🏥 ในโรงพยาบาล ผู้ป่วยที่ต้องนอนอยู่บนเตียงนานๆ หรือผู้ที่กำลังรอเข้ารับการรักษาที่เครียดและน่ากังวล การมี "มุมอาบป่า VR" ให้บริการ อาจช่วยลดความวิตกกังวลและความเจ็บปวดได้ (ซึ่งสอดคล้องกับอีกงานวิจัยหนึ่งที่พบว่าแค่การดูวิดีโอธรรมชาติก็ช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวดน้อยลงได้)
🏬 ในออฟฟิศ ช่วงพักกลางวันหรือช่วงที่สมองล้าๆ แทนที่จะไถ่มือถือ ลองเปลี่ยนมาสวมแว่น VR "อาบป่า" สัก 15 นาที อาจช่วยรีเฟรชสมองและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในช่วงบ่ายได้
🏘️ ในบ้านพักคนชราหรือพื้นที่ในเมือง สำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ที่เคลื่อนไหวไม่สะดวก เทคโนโลยีนี้สามารถพาพวกเขา "ออกไปเที่ยว" ในป่าที่สวยงามได้โดยไม่ต้องก้าวออกจากห้อง
นี่คือการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้าง "พื้นที่สีเขียวทางใจ" ขึ้นมา ซึ่งอาจเป็นเครื่องมือสำคัญในการดูแลสุขภาพจิตของผู้คนในสังคมเมืองที่นับวันจะยิ่งห่างไกลจากธรรมชาติมากขึ้นทุกที
งานวิจัยนี้เป็นเหมือนการเปิดประตูบานใหม่ที่แสดงให้เราเห็นว่า "ภาพ เสียง และกลิ่นของธรรมชาติ" มีศักยภาพในการเยียวยาจิตใจและพัฒนาสมองของเรามากกว่าที่เคยคาดคิด แม้ว่ามันจะเป็นเพียงสิ่งที่สร้างขึ้นจากเทคโนโลยีก็ตาม
แน่นอนว่าประสบการณ์เสมือนจริงคงไม่สามารถทดแทนความรู้สึกของการเดินเท้าเปล่าบนผืนดิน หรือการสัมผัสลมเย็นๆ ที่พัดมาปะทะใบหน้าในป่าจริงๆ ได้ แต่ในโลกที่เต็มไปด้วยข้อจำกัด เทคโนโลยีนี้อาจเป็นสะพานที่เชื่อมเราเข้ากับพลังแห่งธรรมชาติได้อีกครั้ง
แล้วคุณล่ะครับ คิดว่าเทคโนโลยีแบบนี้จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเราเพื่อดูแลสุขภาพจิตได้มากน้อยแค่ไหน?
แหล่งอ้างอิง:
1. Siller, N. (2025, July 3). Virtual forest bathing found to alleviate stress. Medical Xpress. Retrieved from https://medicalxpress.com/news/2025-07-virtual-forest-alleviate-stress.html
2. Ascone, L., et al. (2025). Multi- vs. unimodal forest-bathing in VR to enhance affective and cognitive recovery after acute stress. Journal of Environmental Psychology. DOI: 10.1016/j.jenvp.2025.102637
3. Li, Q. (2018). Shinrin-Yoku: The Art and Science of Forest Bathing. Penguin Life.
โฆษณา