8 ก.ค. เวลา 13:30 • สุขภาพ

เรื่องใหญ่วงการแพทย์ FDA ชี้ "ยา ADHD" ชนิดออกฤทธิ์นาน มีความเสี่ยงสูงในเด็กเล็ก

วันนี้มีประเด็นสำคัญที่อยากจะมาเล่าสู่กันฟังครับ เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวคุณพ่อคุณแม่หลายๆ ท่านที่มีลูกน้อยอยู่ในวัยกำลังซน โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมาธิสั้น (ADHD) เมื่อเร็วๆ นี้ องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ FDA ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทั่วโลกให้การยอมรับ ได้ออกมาประกาศเตือนเรื่องความปลอดภัยของยา ADHD กลุ่มหนึ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปี
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่ายาที่ว่าคืออะไร ทำไมถึงเป็นดาบสองคมสำหรับเด็กเล็ก และที่สำคัญที่สุดคือ ในฐานะพ่อแม่ผู้ปกครอง เราควรจะรับมือและดูแลลูกรักของเราอย่างไรให้ปลอดภัยและได้ประโยชน์สูงสุดจากการรักษาครับ
ทำความรู้จัก ยา ADHD ชนิดออกฤทธิ์นาน
ยาที่ FDA พูดถึงคือ ยากระตุ้นประสาทชนิดออกฤทธิ์นาน (Extended-Release Stimulants) ซึ่งเป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษาโรคสมาธิสั้น (ADHD) ตัวยาที่คุ้นหูกันดีในกลุ่มนี้ก็คือ เมทิลเฟนิเดต (Methylphenidate) และแอมเฟตามีน (Amphetamine)
จุดเด่นของยาชนิดออกฤทธิ์นานคือการออกแบบมาให้ค่อยๆ ปล่อยตัวยาออกมาอย่างช้าๆ และสม่ำเสมอ ทำให้สามารถควบคุมอาการสมาธิสั้นได้ยาวนานตลอดทั้งวันด้วยการกินยาเพียงแค่วันละหนึ่งครั้ง ซึ่งสะดวกสบายและช่วยให้เด็กๆ ใช้ชีวิตในโรงเรียนได้อย่างราบรื่นขึ้นมาก ยาเหล่านี้มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบเม็ด แคปซูล แผ่นแปะผิวหนัง หรือแม้แต่ยาน้ำ เพื่อให้ง่ายต่อการใช้ในเด็กแต่ละคน
กลไกการทำงานของมันคือการเข้าไปเพิ่มสารสื่อประสาทที่ชื่อว่า โดพามีน (Dopamine) และนอร์อิพิเนฟริน (Norepinephrine) ในสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมสมาธิ การบริหารจัดการ และการยับยั้งชั่งใจ ซึ่งเป็นจุดที่เด็กที่เป็น ADHD มักจะมีปัญหา
แม้ว่ายาชนิดออกฤทธิ์นานเหล่านี้จะได้รับการอนุมัติและมีประโยชน์อย่างมากในเด็กโตและผู้ใหญ่ แต่ข้อมูลล่าสุดจาก FDA ที่อ้างอิงจากเอกสาร "June 30, 2025 FDA Drug Safety Communication" ได้ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่น่ากังวลเมื่อนำมาใช้ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปี
ประเด็นสำคัญที่ FDA ค้นพบคือ
✍️ ระดับยาในเลือดสูงกว่าปกติ เมื่อเด็กเล็ก (อายุต่ำกว่า 6 ปี) ได้รับยาในขนาดเดียวกับเด็กโต ร่างกายของพวกเขากลับมีระดับยาในกระแสเลือดสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ พูดง่ายๆ คือ ร่างกายของเด็กเล็กยังจัดการกับยาได้ไม่ดีเท่าเด็กโต ทำให้ยา "เข้มข้น" กว่าในร่างกาย
✍️ ความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่สูงขึ้น เมื่อระดับยาสูงขึ้น ก็ไม่น่าแปลกใจที่ความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูญเสียน้ำหนักอย่างมีนัยสำคัญทางคลินิก
FDA ระบุว่า มีการพบการลดลงของเปอร์เซ็นไทล์น้ำหนักตามเกณฑ์ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) อย่างน้อย 10% ในเด็กเล็กที่ใช้ยาเหล่านี้ ซึ่งการสูญเสียน้ำหนักในวัยนี้เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะอาจนำไปสู่ภาวะขาดสารอาหาร การเจริญเติบโตที่บกพร่อง และปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมาได้ ผลข้างเคียงอื่นๆ ที่พบบ่อยก็คือ เบื่ออาหารและนอนไม่หลับ ซึ่งล้วนส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กทั้งสิ้น
ที่น่าสนใจคือ ยาเหล่านี้ส่วนใหญ่ ไม่ได้รับการอนุมัติ (Not Approved) ให้ใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีอยู่แล้ว แต่ในทางการแพทย์ แพทย์สามารถใช้ดุลยพินิจสั่งจ่ายยาในลักษณะที่เรียกว่า "Off-label" ได้ หากพิจารณาแล้วว่าประโยชน์น่าจะมากกว่าความเสี่ยง แต่ข้อมูลใหม่นี้กำลังบอกเราว่า สำหรับเด็กกลุ่มนี้ ความเสี่ยงอาจจะมากกว่าประโยชน์ที่ได้รับครับ
แม้ว่าคำเตือนนี้จะมาจาก FDA ของสหรัฐอเมริกา แต่หลักการทางเภสัชจลนศาสตร์ (Pharmacokinetics) หรือการที่ร่างกายจัดการกับยานั้นเป็นเรื่องสากลครับ ในประเทศไทย ยาเมทิลเฟนิเดต (Methylphenidate) เป็นยาที่ใช้รักษา ADHD อย่างแพร่หลายเช่นกัน และถูกจัดเป็น "วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภทที่ 2" ซึ่งหมายความว่าการสั่งจ่ายต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์อย่างเข้มงวด
แนวทางการรักษา ADHD ในประเทศไทยโดยทั่วไป ซึ่งอ้างอิงจากสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย ก็มักจะแนะนำให้เริ่มต้นการรักษาในเด็กเล็กด้วยวิธีการปรับพฤติกรรม (Behavioral Therapy) เป็นอันดับแรก การใช้ยาจะเป็นทางเลือกที่พิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในเด็กก่อนวัยเรียน ดังนั้น คำเตือนของ FDA จึงเป็นการย้ำเตือนและสนับสนุนแนวทางปฏิบัติที่บุคลากรทางการแพทย์ในไทยใช้อยู่แล้วให้มีความหนักแน่นยิ่งขึ้น คือต้องระมัดระวังและติดตามผลข้างเคียงอย่างใกล้ชิดที่สุดหากจำเป็นต้องใช้ยาในเด็กกลุ่มนี้
เมื่อได้ยินข้อมูลแบบนี้ ความกังวลย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดาครับ แต่สิ่งสำคัญคือการตั้งสติและจัดการอย่างถูกวิธี ผมขอสรุปเป็นข้อๆ จากคำแนะนำของ FDA ดังนี้ครับ
1. อย่าหยุดยาเองเด็ดขาด การหยุดยากะทันหันอาจทำให้อาการของเด็กกลับมาแย่ลงได้ สิ่งแรกที่ควรทำคือการพูดคุยกับกุมารแพทย์หรือจิตแพทย์เด็กที่ดูแลลูกของคุณอยู่
2. สังเกตและจดบันทึก คอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงของลูกอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องน้ำหนัก การกินอาหาร และการนอนหลับ การมีข้อมูลที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณหมอประเมินสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น
3. ปรึกษาเพื่อหาทางเลือก พูดคุยกับคุณหมออย่างเปิดอกถึงความกังวลของคุณ ถามถึงความสมดุลระหว่างประโยชน์และความเสี่ยง และสอบถามเกี่ยวกับทางเลือกอื่นๆ ซึ่งอาจได้แก่
✍️ การเปลี่ยนไปใช้ยาชนิดออกฤทธิ์ทันที (Immediate-Release) ยาชนิดนี้จะออกฤทธิ์สั้นกว่า ทำให้สามารถปรับเวลาการให้ยาเพื่อเลี่ยงผลกระทบต่อมื้ออาหารหลักได้ เช่น ให้ยาหลังอาหารเช้า ซึ่งยาจะหมดฤทธิ์พอดีในช่วงมื้อเที่ยงหรือเย็น ทำให้เด็กยังคงเจริญอาหารได้
✍️ การบำบัดด้วยการปรับพฤติกรรม (Behavioral Therapy) เป็นหัวใจสำคัญของการรักษา ADHD โดยเฉพาะในเด็กเล็ก การฝึกให้เด็กรู้จักจัดการตัวเอง การจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ และการที่พ่อแม่เรียนรู้เทคนิคการสื่อสารเชิงบวก ล้วนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย
การประกาศของ FDA ในครั้งนี้ ไม่ได้มีเจตนาให้เราตื่นตระหนกหรือปฏิเสธการใช้ยาไปเสียทั้งหมดครับ แต่เป็นการส่งสารที่ชัดเจนว่า การใช้ยาทุกชนิดต้องตั้งอยู่บนความรู้ความเข้าใจ และการประเมินประโยชน์เทียบกับความเสี่ยงอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่เปราะบางอย่างเด็กเล็ก
หัวใจของการดูแลเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น ไม่ได้อยู่ที่ "ยา" เพียงอย่างเดียว แต่คือ การทำงานเป็นทีม ระหว่าง พ่อแม่ผู้ปกครอง คุณหมอ และตัวเด็กเอง การรักษาที่ดีที่สุดคือการรักษาที่ออกแบบมาเพื่อเด็กคนนั้นโดยเฉพาะ (Personalized Medicine) ซึ่งอาจเป็นการผสมผสานทั้งการใช้ยาในขนาดและชนิดที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรมและความเข้าใจจากคนในครอบครัวครับ
แหล่งอ้างอิง:
1. U.S. Food & Drug Administration. (2025). FDA requires expanded labeling about weight loss risk in patients younger than 6 years taking extended-release stimulants for ADHD. FDA Drug Safety Communication.
2.Centers for Disease Control and Prevention (CDC). Data and Statistics on ADHD. Retrieved from https://www.cdc.gov/adhd/data/index.html
โฆษณา