🇺🇸🏃♂️ ภารกิจแข่งตาย! ธุรกิจไทยเร่งส่งของก่อนเดดไลน์ “ภาษีทรัมป์” 36%
Thai Firms Rush to Export to US Before Trump’s 36% Tariff Deadline
📦 ⏰ Countdown แห่งความเสี่ยง!
เมื่อมาตรการเว้นภาษีชั่วคราวที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อนุโลมให้แก่ไทยใกล้หมดอายุลง เส้นตายใหม่ที่สหรัฐฯ เตรียมกลับมาใช้ “ภาษีตอบโต้แบบเท่าเทียม” หรือ Reciprocal Tariffs ในอัตราสูงถึง 36% อาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมครั้งใหญ่ในการส่งออกของไทย
🗽 แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร จะเดินทางเข้าพบตัวแทนการค้าสหรัฐฯ Jamieson Greer ที่กรุงวอชิงตันเพื่อหารือเชิงเทคนิคหลายครั้ง แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปหรือการผ่อนปรนใดๆ
📊 ผลกระทบโดยตรง: อุตสาหกรรมที่พึ่งพาสหรัฐฯ
หนึ่งในกรณีศึกษาคือบริษัทอาหารสัตว์แห่งหนึ่งของไทย ซึ่งพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ถึง 30% ของยอดขาย ตอนนี้พนักงานต้องเร่งบรรจุสินค้าเพื่อส่งออกให้ทันก่อนดีเดย์ เพราะลูกค้าต่างประเทศขอให้จัดส่งภายในเส้นตาย
🚚 ปริมาณการขนส่งพุ่งสูงเกือบ 2 เท่าของปีปกติ และแม้จะพยายามควบคุมต้นทุนด้วยการ “อัตโนมัติกระบวนการผลิต” แต่ผู้บริหารยอมรับว่า “หาใครมาทดแทนตลาดสหรัฐฯ ได้ยากมาก”
🧠 ผลกระทบต่อไทย: กดดันการเติบโตระยะสั้น + โอกาสรีเซ็ต Supply Chain
แม้จะเป็นข่าวร้ายในระยะสั้น แต่ภาษี 36% อาจบังคับให้ผู้ประกอบการไทยจำนวนมากหันมาพัฒนาตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา หรือเอเชียใต้ รวมถึงปรับโครงสร้างการผลิตให้ Lean ขึ้น อัตโนมัติขึ้น และลดการพึ่งพาตลาดเดียว
📌 ด้านนโยบายรัฐ อาจต้องเร่งจัดทำ แพ็กเกจสนับสนุนการเจาะตลาดใหม่ (New Market Entry) ร่วมกับมาตรการ Hedge Currency สำหรับผู้ส่งออก เพื่อรองรับแรงสะเทือนระยะสั้น
📈 🔥 กระทบตลาดหุ้นไทย: Ripple Effect ชัดเจน
🔹 TFM (ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์) – ทำธุรกิจอาหารสัตว์น้ำและสัตว์บก ซึ่งมีการส่งออกและเชื่อมโยงกับ Supply Chain ที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ อาจถูกกดดันด้านต้นทุนและคำสั่งซื้อ
🔹 ASIAN (เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น) – แม้จะมี Diversification ที่ดี แต่สัดส่วนรายได้จากตลาดสหรัฐฯ และพันธมิตรยังอยู่ในระดับที่ต้องจับตา หากคำสั่งซื้อชะลอตัวอาจกระทบ Margin ได้
🔹 BRR (น้ำตาลบุรีรัมย์) และ KSL (น้ำตาลขอนแก่น) – หากสหรัฐฯ ขยายฐานภาษีไปยังสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมน้ำตาลที่มีการส่งออกหรือ Supply Chain เชื่อมโยงกับผู้ผลิตอาหารอาจได้รับผลกระทบระลอกต่อ
🔹 SMIT (สหมิตรเครื่องกล) – กลุ่มสินค้าประเภทเหล็ก-โลหะหรือถังบรรจุ หากถูกจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าที่ต้องเสียภาษีเพิ่มเติมจะถูกกระทบโดยตรง พร้อมแรงกดดันต้นทุนวัตถุดิบ
🔹 SPACK (เอส. แพ็ค แอนด์ พริ้นท์ง) – กลุ่มบรรจุภัณฑ์ที่ใช้กับสินค้าเกษตรและอาหารส่งออก หากลูกค้าสหรัฐฯ ลดคำสั่งซื้อ ผลกระทบจะ Ripple มาถึงบริษัทไทยที่รับจ้างผลิตบรรจุภัณฑ์
🔹 CPAXT (ซีพี แอ็กซ์ตร้า) – แม้ไม่ได้ส่งออกโดยตรง แต่มีส่วนได้เสียผ่าน Supply Chain อาหารสำเร็จรูป/แช่แข็ง ที่อาจมีการ Reprice หากต้นทุนปรับตัวสูงขึ้นจากฝั่งผู้ผลิตที่ส่งออกลดลง
🤖 โอกาสฝ่าวิกฤต: ใครอาจได้ประโยชน์?
ในอีกด้านหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงภาษีอาจเปิดช่องให้บางธุรกิจในไทยขยายตัว:
🌐 COM7 (คอมเซเว่น) และ SIS (เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น) – หากตลาดไอทีสหรัฐฯ เริ่มลดการนำเข้าจากจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทไทยอาจเป็นจุดรองรับการกระจายสินค้าใหม่
🏭 SVT (ซันเวนดิ้ง เทคโนโลยี) – การเร่งใช้ Automation ในภาคการผลิตเพื่อรักษา Margin อาจหนุนความต้องการเทคโนโลยี Smart Factory ที่บริษัทเหล่านี้สามารถเข้าไปมีบทบาท
🔎 มุมที่ไม่ควรมองข้าม: SME และผู้ผลิต Tier 2
ผลกระทบที่ชัดที่สุดอาจไม่ใช่บริษัทใหญ่ที่กระจายความเสี่ยงได้ แต่คือกลุ่ม SME หรือ Tier 2 ผู้ผลิตที่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสหรัฐฯ ซึ่งจะได้รับผลกระทบเต็มๆ ทั้งเรื่อง Cash Flow และคำสั่งซื้อ
📉 หากไม่ได้รับการช่วยเหลือ อาจเกิดแรงกระเพื่อมที่สะเทือนตลาดแรงงานภาคการผลิต หรือแม้แต่ภาคการเกษตรที่เชื่อมโยงกับการแปรรูปส่งออก
💬 แล้วคุณล่ะคิดว่า ไทยควรรับมือกับภาษีใหม่ของสหรัฐฯ อย่างไร?
ภาษี 36% จะกลายเป็น “วิกฤตซ้อนวิกฤต” หรือ “โอกาสรีเซ็ตระบบการส่งออก”?
แบ่งปันความเห็นของคุณไว้ด้านล่าง 👇 พร้อมติดตามเราเพื่อวิเคราะห์ข่าวเศรษฐกิจแบบเจาะลึกทุกมิติกันค่ะ!
🔖 Hashtags ที่เกี่ยวข้อง:
#BattleOfEconomies #สงครามภาษีสหรัฐไทย #TrumpTariff #ธุรกิจไทยส่งออก #ส่งออกก่อนเดดไลน์ #เจรจาการค้าไทยสหรัฐ #RippleEffectตลาดหุ้น #ข่าวเศรษฐกิจโลก #SETwatch #NHKWorld
📰 Reference: NHK World
- 2
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
