Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
WorldScope
•
ติดตาม
8 ก.ค. เวลา 05:52 • ข่าวรอบโลก
📣 ทรัมป์ลั่นขึ้นภาษีนำเข้า สูงสุด 40% สะเทือน 14 ประเทศทั่วโลก!
Trump announces new tariffs of up to 40% on a growing number of countries
🔻 ศึกการค้าระลอกใหม่จากทรัมป์
สงครามภาษีเวอร์ชัน 2025 — ขยับหมากแรง สั่นคลอนการค้าโลก
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จุดชนวนศึกการค้าครั้งใหม่อีกระลอก ด้วยการลงนามจดหมายอย่างเป็นทางการส่งถึงผู้นำ 14 ประเทศ ภายในวันเดียว ประกาศภาษีนำเข้าใหม่สูงสุดถึง 40% สำหรับสินค้าหลายประเภท โดยอ้างถึงความ “ไม่สมดุลทางการค้า” และการที่สหรัฐฯ ถูกกีดกันทางภาษีหรือกฎระเบียบจากประเทศเหล่านี้
📬 รายชื่อประเทศที่ได้รับจดหมาย ได้แก่
ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, มาเลเซีย, เมียนมา, ลาว, คาซัคสถาน, แอฟริกาใต้, อินโดนีเซีย, บังกลาเทศ, กัมพูชา, ตูนิเซีย, บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา, เซอร์เบีย และไทย
🎯 จุดร่วมของประเทศเหล่านี้ คือมีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ และในหลายกรณียังมีนโยบายหรือมาตรการที่ทรัมป์มองว่า “ไม่เปิดเสรีต่อสินค้าอเมริกัน”
🗓️ เดิมภาษีแบบ “Reciprocal Tariffs” มีกำหนดจะกลับมาบังคับใช้ในวันที่ 9 กรกฎาคม 2025 แต่ทรัมป์ลงนามขยายเวลาออกไปเป็น 1 สิงหาคม 2025 เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเจรจา
แต่ทรัมป์ก็ย้ำชัดว่า:
“หากไม่มีข้อเสนอที่ยุติธรรมกับอเมริกา ภาษีก็จะเดินหน้าทันที — และถ้ามีการตอบโต้กลับ เราก็พร้อมจะปรับขึ้นอีก”
🔎 เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น: “Reciprocal Tariffs” คืออะไร?
เป็นภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ จะกำหนด เท่าๆ กับภาษีหรือข้อจำกัดที่ประเทศนั้นใช้กับสินค้าอเมริกัน หากประเทศใดตั้งกำแพงภาษีสูง สหรัฐฯ ก็จะตอบโต้ด้วยอัตราภาษีระดับเดียวกัน
➡️ หลักคิดคือ “แฟร์แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน”
แต่การใช้จริงกลับส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ทั้งราคาสินค้าโลก การย้ายฐานการผลิต และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
💥 ผลสะเทือนทั่วเอเชีย – ไทยอยู่ตรงไหน?
แม้ “จดหมายทรัมป์” จะพุ่งเป้าไปยัง 14 ประเทศแบบเฉพาะเจาะจง แต่แรงสั่นสะเทือนของมาตรการภาษีใหม่นี้กลับส่งผลลามไปทั่วภูมิภาค โดยเฉพาะห่วงโซ่อุปทานของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เชื่อมโยงกันแน่นแฟ้นมานานหลายทศวรรษ — และ “ไทย” เองก็กำลังยืนอยู่กลางคลื่นลูกใหม่ของการจัดระเบียบเศรษฐกิจโลก
📦 โอกาสเปิดกว้างในตลาดเครื่องนุ่งห่ม
เมื่อประเทศคู่แข่งโดยตรงของไทยอย่าง บังกลาเทศ อินโดนีเซีย กัมพูชา และเมียนมา ต้องเผชิญต้นทุนส่งออกที่สูงขึ้นจากภาษีของสหรัฐฯ ไทยในฐานะผู้ผลิต เสื้อผ้า รองเท้า และของใช้ อาจกลายเป็น “ตัวเลือกที่น่าเชื่อถือกว่า” สำหรับแบรนด์สหรัฐฯ ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากสงครามภาษี
🚗 ฐานผลิตยานยนต์สำรองจากญี่ปุ่น–เกาหลีใต้
ภาษี 25% ที่อาจถูกบังคับใช้กับสินค้ารถยนต์และชิ้นส่วนจาก ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ กำลังผลักดันให้บริษัทยักษ์ใหญ่ต้องพิจารณาย้ายสายการผลิตบางส่วนมายัง “ประเทศพันธมิตร” อย่างไทย ซึ่งมี โครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมยานยนต์แข็งแรงและแรงงานฝีมือพร้อมใช้งาน
🔋 ซัพพลายเชนอิเล็กทรอนิกส์ – ไทยแทนที่มาเลเซีย?
มาเลเซียคือหนึ่งในแหล่งผลิต เซมิคอนดักเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ สำคัญของโลก หากภาษีทำให้ต้นทุนการส่งออกของมาเลเซียสูงขึ้น ไทยที่มีผู้ผลิตระดับโลกอย่าง HANA (ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส), SVI (เอสวีไอ) หรือ DELTA (เดลต้า อีเลคโทรนิคส์) อาจได้แรงดึงดูดจากคำสั่งซื้อใหม่ หรือแม้แต่การย้ายฐานการผลิต
📈 หุ้นเด่นในตลาดไทย ที่ต้องจับตาทันที
จากการวิเคราะห์ Ripple Effect พบว่าหุ้นกลุ่มต่อไปนี้อาจได้รับผลกระทบโดยตรงหรือโดยอ้อมจากมาตรการภาษีครั้งใหม่นี้:
🌟 HANA (ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส)
ผลิตและส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ โดยมีฐานลูกค้าในสหรัฐฯ และคู่แข่งหลักคือมาเลเซีย หากมาเลเซียโดนภาษีสูงขึ้น โอกาสของ HANA จะพุ่งทันที
🌟 SAT (สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี)
ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ส่งออก อาจได้อานิสงส์หากญี่ปุ่น–เกาหลีใต้เจอภาษี และต้องกระจายความเสี่ยงมายังผู้ผลิตในภูมิภาค
🌟 STANLY (ไทยสแตนเลย์การไฟฟ้า)
มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับอุตสาหกรรมรถยนต์ญี่ปุ่น หากแบรนด์ญี่ปุ่นย้ายการผลิตมาไทยมากขึ้น STANLY อาจได้สัญญาเพิ่ม
🌟 RCL (อาร์ ซี แอล)
สายเรือเดินสมุทรที่อาจได้รับผลกระทบทั้งบวกและลบ หากห่วงโซ่อุปทานเปลี่ยนเส้นทางการส่งออก
🌟 TNP (ธนะพิริยะ) และ SABINA (ซาบีน่า)
ผู้ประกอบการค้าปลีกและแฟชั่นในประเทศ หากไทยได้แรงดึงดูดฐานการผลิตเครื่องแต่งกายจากการเปลี่ยนแปลงของกัมพูชา บังกลาเทศ หรืออินโดนีเซีย
🌟 SVI (เอสวีไอ)
ผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์แบบ OEM อาจได้คำสั่งซื้อเพิ่มหากต้องกระจายความเสี่ยงจากฐานในมาเลเซีย
🌟 NRF (เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์)
กลุ่มอาหารแปรรูปที่อาจโดนผลกระทบทางอ้อมจากต้นทุนวัตถุดิบนำเข้า หากภาษีพลิกกลับจากเอเชียไปยังซัพพลายเชนฝั่งสหรัฐ
🔎 ความเสี่ยงซ่อนอยู่ตรงไหน?
🚧 กลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ที่ส่งออกไปยังญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้เองอาจได้รับแรงกระแทก หากยอดผลิตจากต้นทางปรับลดลงเพราะคำสั่งซื้อชะลอ
🚧 กลุ่มโลจิสติกส์ เช่น PSL (พรีเชียส ชิพปิ้ง), TTA (โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์) อาจได้รับผลกระทบหากปริมาณการขนส่งข้ามภูมิภาคผันผวนจากความไม่แน่นอนทางการค้า
🚧 หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าเทคโนโลยีจากญี่ปุ่น เช่น AIT (แอดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี) อาจต้องแบกรับต้นทุนสูงขึ้น
🤝 แล้วไทยควรตั้งรับอย่างไร?
🇹🇭 ประเทศไทยควรเร่งพัฒนา ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์และดิจิทัล เพื่อเป็น “ทางเลือกใหม่” แก่บริษัทต่างชาติที่ต้องการกระจายฐานการผลิต
📊 ภาคเอกชนควรใช้จังหวะนี้เร่งสำรวจโอกาส ตลาดส่งออกใหม่ ที่เคยถูกบีบจากประเทศคู่แข่งอย่างบังกลาเทศและอินโดนีเซีย
👔 ภาครัฐควรเร่งเจรจา FTA แบบเจาะจงภาคอุตสาหกรรม เช่น เครื่องแต่งกาย อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ กับสหรัฐฯ ก่อนจะเกิดช่องว่างให้คู่แข่ง
✳️ คุณคิดว่าไทยควรใช้จังหวะนี้ “เจรจาเพื่อกลับเข้าสู่เกม” ในฐานะพันธมิตรการผลิตของสหรัฐฯ หรือไม่?
หรือเราควรลดการพึ่งพาตลาดอเมริกา เพราะนโยบายทรัมป์เต็มไปด้วยความผันผวนและคาดเดาไม่ได้?
🗣️ ร่วมแสดงความคิดเห็นกับเราด้านล่าง 👇 เพื่อสร้างบทสนทนาที่นำไปสู่แนวทางเชิงนโยบายและกลยุทธ์ธุรกิจที่ยั่งยืนต่อไปค่ะ
#️⃣Hashtags:
#BattleOfEconomies #ศึกโลกเศรษฐกิจ #TrumpTariffs #TradeWarReturns #ภาษีนำเข้าสหรัฐ #เศรษฐกิจโลกปั่นป่วน #หุ้นไทย #ซัพพลายเชนโลกสะเทือน #SETImpact #GlobalTradeGeopolitics #StockAtlas
🗞️ Reference: CNN – Trump announces new tariffs of up to 40%
https://edition.cnn.com/2025/07/07/economy/trump-letters-tariffs
ข่าวรอบโลก
ประวัติศาสตร์
การลงทุน
บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ศึกโลกเศรษฐกิจ (Battle of Economies)
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย