Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Vate's Pharma Scope
•
ติดตาม
11 ก.ค. เวลา 13:30 • สุขภาพ
ไขข้อข้องใจเรื่องห้องน้ำ จริงหรือที่ผู้หญิงปวดปัสสาวะบ่อยกว่าผู้ชาย
ผมเชื่อว่าหลายท่านคงเคยเจอสถานการณ์แบบนี้ เวลาเดินทางไกลๆ กับเพื่อนหรือครอบครัว มักจะมีเสียงบ่นลอยมาว่า อะไรกัน จะแวะเข้าห้องน้ำอีกแล้วเหรอ? และบ่อยครั้งที่เป้าหมายของคำถามนี้มักจะเป็นคุณผู้หญิง จนเรื่องนี้กลายเป็นมุกตลกยอดฮิตที่เราได้ยินกันบ่อยๆ ว่าผู้หญิงมี "กระเพาะปัสสาวะเล็ก" เลยต้องเข้าห้องน้ำบ่อยเป็นพิเศษ
เรื่องนี้เป็นความจริงทางกายวิภาค หรือเป็นเพียงความเชื่อที่ซับซ้อนกว่านั้น คำตอบสั้นๆ คือ "ไม่เชิงครับ" แต่เรื่องราวทั้งหมดนั้นน่าสนใจกว่าที่เราคิดเยอะเลยครับ เพราะมันคือการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างกายวิภาค ฮอร์โมน และพฤติกรรมที่เราถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ
ก่อนอื่นเลย ผมขอยืนยันตรงนี้ว่าความเชื่อที่ว่าผู้หญิงมีกระเพาะปัสสาวะเล็กกว่าผู้ชายนั้น ไม่เป็นความจริงครับ ในทางกายวิภาคแล้ว ขนาดกระเพาะปัสสาวะของผู้ชายและผู้หญิงไม่ได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญเลย ทั้งสองเพศสามารถเก็บน้ำปัสสาวะได้สบายๆ ประมาณ 400-600 มิลลิลิตร หรือเทียบเท่ากับน้ำในขวดน้ำขนาดกลางหนึ่งขวด
ความมหัศจรรย์ของกระเพาะปัสสาวะอยู่ที่การออกแบบมาเพื่อความยืดหยุ่นโดยเฉพาะ ลองจินตนาการว่ามันคือ ลูกโป่งกล้ามเนื้อที่ขยายตัวได้เมื่อมีน้ำปัสสาวะเข้ามาเก็บ และหดตัวอย่างแรงเมื่อถึงเวลาต้องขับออก ความสามารถนี้เกิดจากสององค์ประกอบสำคัญครับ
1️⃣ กล้ามเนื้อเดทรูเซอร์ (Detrusor muscle) เป็นผนังกล้ามเนื้อเรียบที่ห่อหุ้มกระเพาะปัสสาวะ มีคุณสมบัติยืดหยุ่นสูงมาก ทำให้มันขยายตัวเพื่อรับน้ำปัสสาวะได้โดยไม่ส่งสัญญาณ ปวดปัสสาวะตลอดเวลา จนกว่าจะถึงจุดที่เหมาะสม
2️⃣ เยื่อบุทรานซิชันนัล (Transitional epithelium) คือเยื่อบุผิวชั้นในสุด ทำหน้าที่เหมือน "โอริกามิชีวภาพ" ที่สามารถยืดและคลี่ตัวเองออกเพื่อเพิ่มพื้นที่จัดเก็บ ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันไม่ให้สารพิษในน้ำปัสสาวะซึมผ่านไปยังเนื้อเยื่อส่วนอื่น
ด้วยการออกแบบที่ชาญฉลาดนี้ กระเพาะปัสสาวะของเราจึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดชีวิต โดยไม่ฉีกขาดหรือสูญเสียความยืดหยุ่นไปง่ายๆ
แม้ว่าขนาดกระเพาะปัสสาวะจะเท่ากัน แต่สิ่งที่อยู่ รอบๆกระเพาะปัสสาวะนี่แหละครับที่สร้างความแตกต่างอย่างแท้จริง
👦 ในผู้ชาย กระเพาะปัสสาวะจะวางตัวอยู่เหนือต่อมลูกหมากและด้านหน้าของลำไส้ตรง มีพื้นที่ค่อนข้างโล่ง
👧 ในผู้หญิง กระเพาะปัสสาวะจะอยู่ในอุ้งเชิงกรานที่ค่อนข้าง แออัดกว่ามากครับ เพราะต้องแบ่งปันพื้นที่กับ เพื่อนบ้านอย่างมดลูกและช่องคลอด
ความแออัดนี้เองที่ส่งผลกระทบอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงตั้งครรภ์ เมื่อมดลูกขยายตัวใหญ่ขึ้น มันจะไปเบียดและกดทับกระเพาะปัสสาวะโดยตรง นี่คือเหตุผลที่คุณแม่ตั้งครรภ์ไตรมาสสุดท้ายอาจต้องวิ่งเข้าห้องน้ำทุกๆ 20-30 นาที
แต่แม้จะไม่ได้ตั้งครรภ์ การที่มีอวัยวะอื่นอยู่ใกล้ๆ ก็อาจทำให้ผู้หญิงรู้สึกถึงความตึงหรือแรงกดที่กระเพาะปัสสาวะได้เร็วกว่า แม้ว่าจะมีปริมาณน้ำปัสสาวะไม่มากเท่าผู้ชายก็ตาม บางงานวิจัยชี้ว่าอิทธิพลของฮอร์โมนเพศหญิงอาจเพิ่มความไวของตัวรับความรู้สึกในกระเพาะปัสสาวะ ทำให้พวกเธอรู้สึกปวดปัสสาวะที่ปริมาตรน้อยกว่า
นอกจากนี้ "กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน" ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเปลญวนที่คอยพยุงกระเพาะปัสสาวะ มดลูก และลำไส้ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ในผู้หญิงกล้ามเนื้อส่วนนี้อาจอ่อนแอลงได้จากหลายสาเหตุ เช่น การคลอดบุตร การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนตามช่วงวัย หรืออายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการควบคุมการปัสสาวะโดยตรง รวมถึง "หูรูดท่อปัสสาวะ" ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่เราใช้สั่งการเพื่ออั้นปัสสาวะ ก็เป็นส่วนหนึ่งของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเช่นกัน เมื่อกล้ามเนื้อส่วนนี้อ่อนแรงลง ความสามารถในการกลั้นปัสสาวะก็จะลดลงตามไปด้วย
อีกปัจจัยหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้คือ การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infections หรือ UTIs) ซึ่งพบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่า เนื่องจากมีท่อปัสสาวะที่สั้นกว่าผู้ชาย ทำให้เชื้อโรคเดินทางเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะได้ง่ายกว่า การติดเชื้อนี้จะทำให้กระเพาะปัสสาวะไวต่อสิ่งกระตุ้นและระคายเคือง ส่งผลให้รู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยผิดปกติได้
เรื่องราวไม่ได้จบแค่กายวิภาคและฮอร์โมนครับ พฤติกรรมและ "การฝึกฝน" ที่เราได้รับมาตั้งแต่เด็กก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง
"ไปเข้าห้องน้ำเผื่อไว้ก่อนลูก" เด็กผู้หญิงหลายคนมักถูกสอนให้เข้าห้องน้ำเผื่อไว้ก่อนออกจากบ้าน หรือก่อนเดินทางไกล การทำแบบนี้ซ้ำๆ เป็นการฝึกให้กระเพาะปัสสาวะส่งสัญญาณเต็มทั้งๆ ที่ยังไม่เต็มจริงๆ เมื่อเวลาผ่านไป กระเพาะปัสสาวะจะเคยชินกับการบีบตัวที่ปริมาตรน้อยๆ ทำให้ความจุในการใช้งานจริงลดลง แม้ว่าขนาดทางกายภาพจะเท่าเดิมก็ตาม
ความกังวลเรื่องความสะอาด ผู้หญิงหลายคนอาจหลีกเลี่ยงการใช้ห้องน้ำสาธารณะที่ไม่สะอาด หรือเลือกที่จะ "นั่งยองๆ" เหนือโถส้วมแทนการนั่งลงไปตรงๆ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ทำให้การปัสสาวะไม่สุด และอาจส่งผลต่อพฤติกรรมการเข้าห้องน้ำในระยะยาว
ในทางกลับกัน เด็กผู้ชายมักจะถูกสอนหรือปล่อยให้อั้นหรือรอได้นานกว่า ซึ่งเป็นการฝึกให้กระเพาะปัสสาวะทนต่อการยืดขยายได้ดีกว่า
พฤติกรรมเหล่านี้เองที่ค่อยๆ โปรแกรมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะของเราโดยไม่รู้ตัวครับ
เราไม่สามารถเปลี่ยนขนาดกระเพาะปัสสาวะได้ แต่เราสามารถฝึกความทนทานของมันได้ครับ ในทางการแพทย์มีเทคนิคที่เรียกว่า "การฝึกกระเพาะปัสสาวะ" (Bladder Training) ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลดีและไม่ต้องใช้ยา โดยหลักการคือการค่อยๆ เพิ่มระยะเวลาระหว่างการเข้าห้องน้ำแต่ละครั้งอย่างเป็นระบบ เพื่อรีเซ็ตการสื่อสารระหว่างสมองกับกระเพาะปัสสาวะใหม่ ช่วยฟื้นฟูความสามารถในการเก็บปัสสาวะและลดความรู้สึกปวดปัสสาวะที่เร่งด่วนเกินจริงได้
เทคนิคนี้มักทำควบคู่ไปกับ "การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน" หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ "เคเกล" (Kegel Exercises) การขมิบกล้ามเนื้อส่วนนี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความทนทาน ทำให้เราสามารถควบคุมการปัสสาวะได้ดีขึ้น ซึ่งเทคนิคเหล่านี้เป็นมาตรฐานการรักษาที่แพทย์และนักกายภาพบำบัดในประเทศไทยแนะนำสำหรับผู้ที่มีภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน (Overactive Bladder) หรือภาวะปัสสาวะเล็ด (Stress Incontinence)
บางที...การแวะเข้าห้องน้ำบ่อยครั้งอาจไม่ใช่เรื่องน่ารำคาญ แต่เป็นโอกาสให้เราได้หยุดพักและทำความเข้าใจความมหัศจรรย์และความแตกต่างของร่างกายมนุษย์ที่น่าทึ่งก็ได้นะครับ
แล้วคุณล่ะครับ เคยสังเกตพฤติกรรมการเข้าห้องน้ำของตัวเอง หรือเคยฝึกกระเพาะปัสสาวะของตัวเองบ้างไหม การใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ อาจนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อเลยครับ
แหล่งอ้างอิง:
Spear, M. (2025, July 7). Do women have to pee more often? The answer is surprisingly complex. Medical Xpress.
สุขภาพ
ข่าวรอบโลก
การแพทย์
บันทึก
4
1
4
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย