9 ก.ค. เวลา 08:34 • ข่าวรอบโลก

🇯🇵 ญี่ปุ่นส่ง Osprey ประจำฐานใหม่ ยกระดับป้องกันฝั่งตะวันตก – สัญญาณตึงเครียดที่อาจกระเพื่อมถึงไทย

Japan starts deploying Osprey fleet at a new base to beef up southwestern defense
🌊 “สงครามเย็นทางทะเล” เริ่มขยับใกล้ไทยขึ้นทุกที
ท่ามกลางความตึงเครียดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ญี่ปุ่นเริ่มเดินหน้าขยายกำลังทหารอย่างเป็นรูปธรรม โดยเมื่อวันพุธที่ 9 ก.ค. 2025 กองกำลังป้องกันตนเองทางบกของญี่ปุ่น (JGSDF) ได้เริ่มประจำการฝูงบินเครื่องบิน V-22 Osprey อย่างเป็นทางการ ณ ฐานทัพถาวรแห่งใหม่ “แคมป์ซะงะ” (Camp Saga) ในจังหวัดซะงะ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ
เครื่องบินแบบ “Tiltrotor” นี้มีความสามารถพิเศษทั้งบินแนวราบและตั้งฉากขึ้นลงได้ ช่วยให้ญี่ปุ่นสามารถเสริมศักยภาพในการเคลื่อนกำลังรบอย่างรวดเร็วบนหมู่เกาะห่างไกลใกล้ไต้หวันและจีน ซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่หลายฝ่ายจับตามอง
🚁 การย้ายฐาน Osprey ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนที่จอด แต่คือ “การเปลี่ยนยุทธศาสตร์”
จากเดิมที่ประจำอยู่ใกล้โตเกียว Osprey ทั้ง 17 ลำจะย้ายทั้งหมดมายังภูมิภาค "คิวชู" ภายในกลางเดือนสิงหาคม 2025 และจะร่วมปฏิบัติการใกล้ชิดกับหน่วยพลร่มยกพลขึ้นบก Ainoura ซึ่งอยู่ในเมืองท่าทางทหารอย่าง "ซะเซะโบะ"
แนวโน้มนี้เป็นการตอบโต้การขยายอิทธิพลทางทะเลของจีนในทะเลจีนตะวันออกและทะเลจีนใต้ รวมถึงกรณีไต้หวันที่เริ่มมีสัญญาณเปราะบางมากขึ้นในทางภูมิรัฐศาสตร์
🔥 ข้อถกเถียงยังคงอยู่...แต่ญี่ปุ่นเลือกเดินหน้า
แม้ V-22 Osprey จะมีประวัติอุบัติเหตุหลายครั้ง เช่น เหตุการณ์เมื่อ พ.ย. 2023 ที่เครื่องของสหรัฐฯ ตกในทะเลญี่ปุ่น คร่าชีวิต 8 นาย หรือเมื่อ ต.ค. 2024 ที่เครื่องของญี่ปุ่นเอียงและกระแทกพื้นขณะฝึกกับกองทัพสหรัฐฯ แต่ญี่ปุ่นยังยืนกรานว่าต้องเสริมความพร้อมเชิงยุทธศาสตร์ในจุดเสี่ยง
🌀 Ripple Effect ถึงไทย: โอกาสและความเสี่ยงที่มาพร้อมกัน
การเพิ่มกำลังทหารของญี่ปุ่นอาจเร่งให้ภูมิภาคนี้เข้าสู่ยุคแห่ง “การแข่งขันทางความมั่นคง” ซึ่งอาจกระตุ้นให้ประเทศอื่น เช่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ และแม้แต่ไทย ต้องกลับมาทบทวนท่าทีด้านความมั่นคงของตนเอง
ในด้านเศรษฐกิจ ไทยในฐานะคู่ค้าอาวุโสของญี่ปุ่น อาจได้รับอานิสงส์จากการสั่งซื้อยุทโธปกรณ์หรือชิ้นส่วนเกี่ยวกับระบบขนส่ง โลจิสติกส์ และเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงอุตสาหกรรมซ่อมบำรุงและฝึกอบรม
📊 หุ้นในตลาดไทยที่อาจได้รับผลกระทบ – ทั้งบวกและลบ
🔹 AAV (เอเชีย เอวิเอชั่น) — หากภูมิภาคนี้เกิดความตึงเครียดต่อเนื่อง อาจกดดันความเชื่อมั่นการเดินทางระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเส้นทางญี่ปุ่น-เกาหลีใต้-ไต้หวัน ส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าไทย
🔹 BAFS (บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ) และ AOT (ท่าอากาศยานไทย) — ความตึงเครียดในภูมิภาคอาจกดดันความเชื่อมั่นการเดินทางระหว่างประเทศ ส่งผลให้เที่ยวบินจากญี่ปุ่นลดลง กระทบต่อรายได้จากบริการสนามบินและการเติมเชื้อเพลิงอากาศยานในไทย
🔹 SAT (สมบูรณ์ แอ๊ดวานซ์ เทคโนโลยี) และ AH (อาปิโก ไฮเทค) — กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ไทยที่มีฐานการส่งออกไปญี่ปุ่น หากการทหารนำไปสู่การเร่งการผลิตหรือพัฒนาชิ้นส่วนในภาคกลาโหม อาจเป็นโอกาสในการขยายไลน์สินค้าด้านเทคโนโลยีเชิงป้องกัน
🔹 RML (ไรมอน แลนด์) และ ORI (ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้) — หากนักลงทุนญี่ปุ่นเพิ่มการจัดสรรสินทรัพย์ออกนอกประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยงจากภาวะภูมิรัฐศาสตร์ อสังหาฯ ไทยโดยเฉพาะคอนโดในเขต EEC อาจกลายเป็นเป้าหมายใหม่
🔹 JTS (จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น) และ INSET (อินฟราเซท) — เทคโนโลยีสื่อสารปลอดภัย หรือระบบความปลอดภัยไซเบอร์ในยุคความมั่นคงดิจิทัลจะมีบทบาทมากขึ้น
🔹 TTA (โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์) — ในด้านโลจิสติกส์ทางทะเล หากเส้นทางทะเลตะวันออกเกิดความไม่แน่นอน ไทยอาจต้องวางยุทธศาสตร์ใหม่เพื่อเป็นทางเลือก “แลนด์บริดจ์” ที่มั่นคง
🌐 ความมั่นคงทางทะเล = ความเปราะบางทางการค้า
ไทยควรเร่งตั้งคำถามว่า หากวันหนึ่งช่องแคบไต้หวัน หรือทะเลจีนตะวันออกมีข้อพิพาททางทหาร การส่งออกนำเข้าไทยที่พึ่งพาเส้นทางนี้จะทำอย่างไร?
นี่ไม่ใช่เรื่องของการเมืองระหว่างประเทศเพียงอย่างเดียว แต่เป็นคำถามเรื่อง “ความมั่นคงของเศรษฐกิจในชีวิตประจำวัน”
💬 แล้วคุณล่ะ คิดว่าไทยควรปรับตัวอย่างไรท่ามกลางความตึงเครียดในภูมิภาคนี้?
ร่วมแชร์ความคิดเห็นของคุณ ทั้งในมุมของนักลงทุน นักวิเคราะห์ หรือประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่ออนาคตของประเทศไทยกันนะคะ
📎 Hashtags ที่เกี่ยวข้อง:
#ขุมกำลังโลกเดือด #ยุทธศาสตร์ภูมิภาค #OspreyDeployment #ญี่ปุ่นเสริมเขี้ยวเล็บ #แสนยานุภาพเอเชีย #GeopoliticsAsia #DefenseBuildUp #V22Osprey #ChinaJapanTensions #WorldScope
📚 Reference: ABC News

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา