14 ก.ค. เวลา 13:30 • สุขภาพ

ยาแก้ปวดปลายประสาท...เสี่ยงสมองเสื่อมจริงหรือ

ลองจินตนาการถึง "ลุงสมชาย" ชายวัยกลางคนที่เคยแข็งแรง แต่ตอนนี้ต้องทนทุกข์กับอาการปวดหลังเรื้อรังมาหลายปี ความเจ็บปวดที่เหมือนมีเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงอยู่ตลอดเวลา ทำให้ชีวิตที่เคยสดใสของแกค่อยๆ มืดมนลง จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณหมอได้มอบยาเม็ดเล็กๆ ที่ชื่อว่า "กาบาเพนติน" (Gabapentin) ให้กับแก
จากที่เคยนอนไม่หลับเพราะความปวด ลุงสมชายก็เริ่มกลับมานอนได้เต็มตาอีกครั้ง จากที่เคยขยับตัวแต่ละทีต้องร้องโอดโอย แกก็เริ่มกลับมาเดินเหินได้คล่องขึ้น กาบาเพนตินกลายเป็นเหมือนเพื่อนสนิทที่ขาดไม่ได้ เป็นยาวิเศษที่ช่วยปลดปล่อยแกออกจากโซ่ตรวนแห่งความเจ็บปวด โดยที่แกและครอบครัวก็สบายใจ เพราะได้ยินมาว่ามันปลอดภัยกว่ายาแก้ปวดแรงๆ ตัวอื่นเยอะ
แต่ใครจะไปคิดว่า...ในอีกหลายปีต่อมา เพื่อนสนิทที่เคยไว้ใจคนนี้ อาจกำลังทิ้งเงาบางอย่างไว้ในสมองของแกอย่างเงียบๆ...
เรื่องราวของลุงสมชายเป็นภาพสะท้อนของผู้ป่วยหลายล้านคนทั่วโลกที่พึ่งพายากาบาเพนตินเพื่อบรรเทาความทุกข์ทรมานจากอาการปวดปลายประสาทอักเสบและปวดหลังเรื้อรัง เราต่างเชื่อมั่นในประสิทธิภาพและความปลอดภัยของมันมาตลอด แต่แล้ว...ก็มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา เขย่าความเชื่อมั่นของเราจนสั่นคลอน และตั้งคำถามที่เราอาจไม่เคยกล้าถามดังๆ มาก่อนว่า "แล้วถ้า...ยาที่เรากินเพื่อแก้ปวด กลับกำลังค่อยๆ พรากความทรงจำของเราไปล่ะ?"
วันนี้ ผมอยากจะพาทุกคนเดินทางเข้าไปในโลกของงานวิจัยชิ้นนี้ เพื่อค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังยาเม็ดเล็กๆ ที่เราคุ้นเคยกันดีครับ
ปฏิบัติการแกะรอยครั้งประวัติศาสตร์ ตามล่าหาความจริงในข้อมูล 118 ล้านชีวิต
ลองนึกภาพนักสืบกลุ่มหนึ่งกำลังเผชิญหน้ากับแฟ้มคดีขนาดมหึมาดูสิครับ นั่นคือสิ่งที่ทีมนักวิจัยกลุ่มนี้ทำ พวกเขาไม่ได้เริ่มจากศูนย์ แต่ดำดิ่งลงไปในมหาสมุทรข้อมูลสุขภาพของคนอเมริกันกว่า 118 ล้านคน เพื่อแกะรอยความเชื่อมโยงระหว่างยากาบาเพนตินกับภาวะสมองเสื่อม
ภารกิจของพวกเขาคือการตามหาผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังเรื้อรังเหมือนลุงสมชาย แล้วแบ่งออกเป็นสองทีมเพื่อเปรียบเทียบกัน
ทีม A: คือกลุ่มคนที่ใช้ยากาบาเพนตินเป็นประจำ
ทีม B: คือกลุ่มคนที่ไม่เคยแตะต้องยากาบาเพนตินเลย
แต่การเปรียบเทียบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายครับ เพราะชีวิตคนเรามีปัจจัยซับซ้อนมากมาย นักวิจัยจึงต้องทำหน้าที่เหมือนผู้กำกับที่คัดเลือกนักแสดงอย่างพิถีพิถัน พวกเขาใช้เทคนิคพิเศษทางสถิติเพื่อทำให้คนในทีม A และทีม B มีคุณสมบัติคล้ายกันมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอายุ เพศ โรคประจำตัว หรือยาอื่นๆ ที่ใช้ เพื่อให้แน่ใจว่าถ้ามีความแตกต่างเกิดขึ้น มันจะต้องมาจาก "ผู้ต้องสงสัย" เพียงคนเดียว นั่นก็คือ กาบาเพนติน
จากนั้นปฏิบัติการเฝ้าติดตามอันยาวนานถึง 10 ปีก็เริ่มต้นขึ้น... พวกเขารอคอยอย่างใจจดใจจ่อเพื่อดูว่าชะตากรรมของคนทั้งสองทีมจะแตกต่างกันอย่างไร
และแล้ววันที่ผลลัพธ์ถูกเปิดเผยก็มาถึง... มันเป็นช่วงเวลาที่ทั้งน่าตื่นเต้นและน่าใจหายครับ
ภาพที่ปรากฏขึ้นมาชัดเจนจนน่าตกใจ ทีม A หรือกลุ่มที่ใช้ยากาบาเพนติน มีโอกาสที่ความทรงจำจะเริ่มเลือนหายไป (เกิดภาวะสมองเสื่อม) สูงกว่าทีม B ถึง 29% และที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้น คือความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะการรู้คิดบกพร่องเล็กน้อย หรืออาการเริ่มต้นของสมองเสื่อมนั้น พุ่งสูงขึ้นไปถึง 85%
แต่จุดที่ทำให้ผมและวงการแพทย์ต้องตกตะลึงที่สุด ไม่ใช่แค่ตัวเลขพวกนั้นครับ... แต่เป็นคำตอบของคำถามที่ว่า ใครคือกลุ่มที่เสี่ยงที่สุด?
คำตอบไม่ใช่ผู้สูงอายุอย่างที่เราคาดคิด แต่กลับเป็นกลุ่ม "คนวัยทำงาน" (อายุ 18-64 ปี) คนที่ยังเป็นกำลังหลักของครอบครัว คนที่ยังมีฝันอยากจะทำอะไรอีกมากมาย คนกลุ่มนี้ที่ใช้ยากาบาเพนติน กลับมีความเสี่ยงที่จะถูกภาวะสมองเสื่อมคุกคาม สูงกว่าคนวัยเดียวกันที่ไม่ได้ใช้ยาถึง 2 เท่า
มันเป็นความจริงที่โหดร้าย เหมือนมีใครมากระซิบข้างหูว่า ความเจ็บปวดทางกายที่คุณพยายามต่อสู้ อาจกำลังแลกมาด้วยความทรงจำที่กำลังจะจางหายไปในอนาคต
ทำไมเพื่อนรัก...ถึงหักหลังเราได้?
คำถามที่ตามมาคือ ทำไม? ทำไมยาที่เคยเป็นเหมือนพระเอกถึงกลายเป็นผู้ร้ายไปได้? กลไกของกาบาเพนตินเปรียบเสมือนการเข้าไปหรี่เสียงของระบบประสาทที่กำลังส่งสัญญาณความเจ็บปวดอย่างบ้าคลั่ง มันช่วยให้เรารู้สึกสบายขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับระบบสื่อสารอันซับซ้อนของสมองในระยะยาว ก็อาจเปรียบได้กับการเข้าไปรบกวนการบรรเลงเพลงของวงออเคสตราที่เคยไพเราะให้ผิดเพี้ยนไป การเชื่อมต่อของเซลล์สมองอาจถูกรบกวน การสร้างความทรงจำใหม่ๆ อาจทำได้ยากขึ้น และนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของเงาที่ชื่อว่า "สมองเสื่อม"
ถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่าหลายคนคงรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังสั่นไหว โดยเฉพาะคนที่กำลังกำยาเม็ดนี้อยู่ในมือ... ผมอยากจะจับมือคุณไว้แล้วบอกว่า "ใจเย็นๆ นะครับ อย่าเพิ่งโยนยาทิ้งเด็ดขาด"
การหยุดยาเองกะทันหันอาจอันตรายกว่าที่คิด ความเจ็บปวดอาจถาโถมกลับมาอย่างรุนแรง สิ่งที่เราควรทำไม่ใช่การวิ่งหนี แต่คือการเผชิญหน้ากับความจริงนี้อย่างมีสติและมีข้อมูล
ตั้งคำถามกับตัวเองและแพทย์ เรายังจำเป็นต้องใช้ยาตัวนี้อยู่ไหม? เราลดขนาดยาลงได้หรือเปล่า? หรือ มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ไหม? การรักษาแบบไม่ใช้ยา เช่น กายภาพบำบัด อาจกลายเป็นพระเอกคนใหม่ของคุณก็ได้
เป็นนักสืบในร่างกายของตัวเอง ฟังเสียงร่างกายและความคิดของคุณให้ดี หากคุณหรือคนใกล้ชิดเริ่มรู้สึกว่าหลงลืมบ่อยผิดปกติ คิดอะไรไม่ค่อยออก หรือรู้สึกเหมือนมีหมอกจางๆ ในสมองตลอดเวลา... อย่าลังเลที่จะบอกแพทย์ทันที
งานวิจัยชิ้นนี้ไม่ใช่คำพิพากษา แต่เป็นเหมือนแสงไฟที่ส่องไปยังมุมมืดที่เราไม่เคยเห็น มันบังคับให้เราต้องหันกลับมาทบทวนสิ่งที่เราเคยเชื่อ และใส่ใจในทุกรายละเอียดของการใช้ยามากขึ้น
สำหรับผมแล้ว เรื่องราวของ "ลุงสมชาย" และยากาบาเพนติน ไม่ได้จบลงด้วยความสิ้นหวัง แต่มันจบลงด้วยคำถามที่ทรงพลังและทิ้งไว้ให้เราทุกคนต้องขบคิด... ในวันที่เราพยายามต่อสู้เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดทางกาย เราได้เผลอละเลยการปกป้องสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิต นั่นคือ "ความทรงจำ" ของเราไปหรือเปล่า?
แหล่งอ้างอิง:
1. Eghrari NB, Yazji IH, Yavari B, et al. Risk of dementia following gabapentin prescription in chronic low back pain patients. Reg Anesth Pain Med. Published Online First: 10 July 2025. doi:10.1136/rapm-2025-106577
2. U.S. Food and Drug Administration (FDA). (2019). FDA warns about serious breathing problems with seizure and nerve pain medicines gabapentin (Neurontin, Gralise, Horizant) and pregabalin (Lyrica, Lyrica CR). FDA Drug Safety Communication.
โฆษณา