Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
คาลอส บุญสุภา
•
ติดตาม
13 ก.ค. เวลา 06:07 • ประวัติศาสตร์
เส้นทางเลิกทาสของอับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) จากเสียงต้านสู่รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขครั้งที่ 13
ผมอยากจะเขียนถึงบุคคลซึ่งเป็นฮีโร่ตลอดกาลของผม คือ อับราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) ที่เราทุกคนคุ้ยเคยกันดีว่าเป็นผู้เลิกทาส เขาเป็นตัวอย่างที่งดงามที่แสดงว่าพลังศรัทธาในคุณค่าความเป็นมนุษย์สามารถพลิกโครงสร้างทั้งประเทศได้ จากเด็กหนุ่มบ้านป่าเรียนหนังสือรวมแล้วไม่ถึงปี สู่ประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา
ผู้กล้าตรึงทุกชีวิตมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมลงในรัฐธรรมนูญ ด้วยอารมณ์ขันเรียบง่าย สายตาเห็นใจคู่แข่ง และศิลปะรวมคนเห็นต่างไว้โต๊ะเดียวกัน เราสามารถหยิบยกประวัติศาสตร์นี้มาศึกษาเพื่อเป็นตัวอย่างกลยุทธ์ชั้นดีในการก้าวข้ามความขัดแย้งที่แทบจะแตกขาดจากกันในปัจจุบันได้ (ทุกท่านสามารถไปดูภาพยนต์ Lincoln (2012) ประกอบเพิ่มเติมได้)
รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ฉบับแก้ไขครั้งที่ 13 (Thirteenth Amendment)
ผมจะไม่เท้าความถึงรายละเอียดอันสลับซับซ้อนของเศรษฐกิจทาสในอเมริกาเพราะคงยืดยาวเกินบทความแต่ขอชี้ไปยังหมุดหมายสำคัญของการเลิกทาส นั่นคือ รัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ฉบับแก้ไขครั้งที่ 13 (Thirteenth Amendment) ในปี 1865 ซึ่งปิดประตูระบบทาสแบบไม่มีช่องย้อนคืนไว้เพียงสองมาตรา 1) ห้ามการเป็นทาสและแรงงานบังคับทุกกรณี ยกเว้น เป็นโทษหลังคำพิพากษาคดีอาญา และ 2) มอบอำนาจให้สภาคองเกรสออกกฎหมายใด ๆ เพื่อบังคับให้มาตราแรกเกิดผลจริง ข้อความสั้น ๆ นี้เองที่ทำลายรากแก้วแห่งความไม่เท่าเทียมลงอย่างสิ้นซาก
การแก้ไขครั้งที่ 13 คือจุด กระสุนเงินของระบบทาสในกฎหมายสูงสุดสหรัฐฯ ดังที่ผมกล่าวมา อีกทั้งยังเป็นการลงหมึกหลังสงครามกลางเมือง เพื่อให้หลักว่ามนุษย์ทุกคนมีอิสรภาพโดยกำเนิดกลายเป็นข้อบังคับถาวร ไม่ใช่เพียงคำประกาศทางการเมืองอีกต่อไปแทนที่สถานะคนเป็นทรัพย์สินด้วยหลักเสรีภาพถาวร และกลายเป็นฐานหินแกร่งให้การขยายสิทธิพลเมืองรุ่นถัดไป (แก้ไข ครั้งที่ 14–15) งอกขึ้นมาได้โดยไม่ถูกตีความย้อนกลับ และกลายเป็นรากฐานให้สิทธิพลเมืองอเมริกันในทุกยุคสมัยต่อจากนั้น
บทแก้ไขนี้ไม่ได้เกิดจากวาทศิลป์เพียงอย่างเดียว แต่ใช้ยุทธวิธีหลายชั้นของลินคอล์น ไม่ว่าจะเป็นการประกาศ ปลดทาสเฉพาะรัฐกบฏ (Emancipation Proclamation) เพื่อสร้างพื้นทางกฎหมาย การทหาร รับทหารผิวดำกว่า 180,000 นายเพิ่มเดิมพันให้ฝ่ายเหนือ ตั้งคณะรัฐมนตรีคู่แข่งให้เสียงต่างขั้วถกกันในห้องเดียว เจรจา ส.ส. เดโมแครตฝ่ายใต้ (พรรคตรงข้าม) ด้วยแพ็กเกจตำแหน่ง งบประมาณ คำมั่นฟื้นฟูรัฐหลังสงคราม จนคว้าเสียง 2 ใน 3 ของสภาผู้แทนในนาทีสุดท้าย
กระบวนการนี้แสดงให้เห็นว่าอุดมการณ์ศีลธรรมใหญ่จะเดินถึงเส้นชัยได้ ต้องแตกย่อยเป้าหมายและออกแบบสนามให้คู่แข่งกลืนได้โดยไม่เสียหน้า บทเรียนนี้สามารถนำมาใช้กับปัจจุบันที่ชาติที่กำลังจะค่อย ๆ แตกแยกขัดแย้งรากลึกออกไปเรื่อย ๆ ได้ ก่อนอื่นผมจะขอเล่าประวัติของอับราฮัม ลินคอล์นสั้น ๆ ที่ผมมั่นใจว่าผู้อ่านอาจจะไม่เคยได้ยินหรือได้อ่านมาก่อนหรือหากได้ยินได้อ่านมาบ้างแล้วก็คือว่าทบทวนแล้วกันนะครับ
ประวัติอับราฮัม ลินคอล์นแบบเร่งรัด
อับราฮัม ลินคอล์นเกิดปี 1809 ในกระท่อมไม้ชายป่าเคนทักกีโดยไม่ได้เรียนหนังสือในระบบทั่วไป หนังสือประจำบ้านมีแค่คัมภีร์ไบเบิลกับชีวประวัติวอชิงตัน เขาเรียนหนังสือต่อเนื่องเพียง 12 เดือนตลอดวัยเด็ก แต่ขลุกกับงานไร่และอ่านออกเสียงให้เพื่อนบ้านฟังตอนค่ำ ๆ ภาพจำยุคหนุ่มจึงคือ ชายร่างสูง 6 ฟุต 4 ขายาวเก้งก้าง สวมสูทหลวม ๆ พกอารมณ์ขันหยอกเล่นกับคนทั้งวัน จนชาวบ้านขนานนามว่า เอบผู้ซื่อสัตย์ (Honest Abe) เพราะเขาคืนเงินทอนทุกเพนนีและยอมเดินฝ่าฝนไปส่งสินค้าตกหล่นให้ลูกค้า
ลินคอล์นอบอุ่นยามสนทนาเดี่ยว จดจ่อกับเรื่องของอีกฝ่ายแบบไม่กะพริบตา แต่ก็เด็ดขาดบนเวทีโต้วาที เขาฝึกกฎหมายด้วยตนเอง จดทะเบียนทนายปี 1836 และขึ้นชื่อเรื่องตรรกะคมกริบ บวกกับ มุกตลกอารณ์ขันเบรกอารมณ์กลางศาล กลายเป็นอาวุธทางการเมือง เขาเปิดเวทีให้คู่สนทนาระบายเต็มที่ แล้วจึงหยอดเหตุผลทีละขั้นจนอีกฝ่ายหงายเงิบโดยไม่รู้สึกถูกดูหมิ่น เป็นศิลปะที่บรรยายออกมาได้ค่อนข้างยาก
ช่วงเลือกตั้ง 1860 สื่อสายใต้เย้ยว่าเขาคือชาวไร่ไร้การศึกษา ส่วนแกนนำพรรครีพับลิกันบางคนเกรงว่าเขา ขาดประกายผู้นำ เทียบคู่แข่งท่าทางรัฐบุรุษอย่างวิลเลียม ซีวาร์ด แต่ลินคอล์นพิสูจน์คุณค่าในฐานะ นักสร้างฉันทามติ ตอบจดหมายวิพากษ์ด้วยเหตุผลเย็น ๆ ไม่กัดด่ากลับ จนค่อย ๆ ขยายฐานเสียงชนชั้นแรงงานและเกษตรกรทางเหนือ
ลินคอล์นเชื่อว่า "ไม่มีสมองใครเปิดรับเหตุผลเต็มที่ ในขณะที่หัวใจกำลังตั้งการ์ด" (Holzer, 2015) จึงใช้มุกพื้นบ้านสั้น ๆ เป็นอุปมาเกษตรอยู่เสมอ ตัวอย่างคลาสสิกคือเรื่อง “วัวหลุดรั้ว” เขาอธิบายการเมืองเรื่องดินแดนทาส เสรีให้ชาวไร่ฟังว่า "เราเหมือนเพื่อนบ้านสองฟากรั้ว ต่างก็ล่ามวัวไว้แน่นหนา วันหนึ่งวัวฉันหลุดไปกินหญ้าฝั่งเขา ถ้าจะให้ดี เราต้องช่วยกันซ่อมรั้วก่อนจะทะเลาะว่าใครเป็นคนผิด ไม่งั้นคราวหน้าวัวหลุดอีกก็กลับมาวนทะเลาะซ้ำ"
ผู้ฟังระดับแรงงานไร่เข้าใจทันทีว่าลินคอล์นหมายถึง “ซ่อมกติกาชาติ” (เช่น จำกัดขยายทาส) ก่อนโต้เถียงผลประโยชน์รัฐเหนือ ใต้ มุกสั้น ๆ นี้ทำให้กลุ่มชนบทหัวเราะ พยักหน้าก่อนที่ลินคอล์นจะต่อด้วยข้อมูลสถิติประชากรและกฎหมาย ซึ่งปกติอาจฟังยาก ผลคือ พลังลบถูกละลาย สมองเปิดโหมดรับ ก่อนเจอมีดเหตุผลเฉียบคมในย่อหน้าถัดไป
แรงขับของลินคอล์นในการเลิกทาสเกิดจาก ศีลธรรมส่วนตัวเข้ากับภารกิจชาติและยุทธศาสตร์สงคราม ประสบการณ์วัยหนุ่มเมื่อเห็นทาสผิวดำถูกทารุณและขายลงแพข้ามแม่น้ำมิสซิสซิปปีฝังภาพในใจเขาตลอดชีวิต สอดคล้องกับความเชื่อว่าถ้อยคำมนุษย์ทุกคนถูกสร้างมาเท่าเทียม และในเชิงยุทธศาสตร์ เขาเห็นว่าระบบทาสเป็นเชื้อเพลิงทางเศรษฐกิจให้รัฐใต้แข็งแรงพอจะแยกประเทศ การปลดทาสจึงทั้งตัดเส้นเลือดศัตรูและดึงแรงงานผิวดำมาเสริมกองทัพฝ่ายเหนือ พลิกดุลสงครามเพื่อรักษาสหภาพ
กลยุทธ์เป็นจุดเด่นในการพิชิตเสียงต้านสู่การเลิกทาส
1) สร้างพันธมิตรต่างขั้ว คือการนำภาคส่วนต่างๆ ที่ขัดแย้งกันมาร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมหรือบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ โดยแต่ละฝ่ายจะนำความเชี่ยวชาญ ทรัพยากร และเครือข่ายของตนเองมาสนับสนุนซึ่งกันและกัน
ในกรณีของลินคอล์น แทนจะตีตราคู่แข่งเป็นฝ่ายตรงข้ามตลอดกาลลินคอล์นกลับเชื้อเชิญพวกเขาเข้าสู่โต๊ะอำนาจ ยกวิลเลียม ซีวาร์ด, ซัลมอน เชส และเอ็ดเวิร์ด เบตส์ (ที่เพิ่งสู้กันบนเวทีเลือกตั้ง) ขึ้นประจำกระทรวงหลัก ต่างประเทศ การคลัง และยุติธรรม กลยุทธ์นี้ดูดฐานเสียงหลากทิศ ถ่วงดุลกันเองในครม. และตัดไฟฝ่ายค้านในคราวเดียว
a) ฟัง สะท้อน และต่อรอง ทุกเย็นวันจันทร์ เขาจัด “Cabinet Story Hour” ให้รัฐมนตรีเล่า “ความกลัว และความหวัง” โดยไม่มีเสมียนจดบันทึก เมื่อแรงอารมณ์ถูกปลด ลินคอล์นจึงค่อยสรุปเหตุผลและเงื่อนไขแลกเปลี่ยน ลดอัตตาปะทะ เหลือพื้นที่คุยผลประโยชน์ชาติ
b) เส้นชัยย่อยสู่เป้าใหญ่ เริ่มจาก (1) ปลดทาสเฉพาะรัฐกบฏเพื่อเหตุผลสงครามในปี 1863 (Emancipation Proclamation) ปลดทาสเฉพาะรัฐกบฏด้วยเหตุผลสงคราม (2) เปิดรับทหารผิวดำ 180,000 นาย สร้างหลักฐานเป็นรูปธรรมว่าพวกเขาคือกำลังสำคัญทางทหาร เศรษฐกิจ และ (3)ใช้แต้มต่อดังกล่าวล็อบบี้เสียง 2 ใน 3 ของสภา เพื่อผ่าน การแก้รัฐธรรมนูญครั้งที่ 13 (1865) ยกเลิกทาสทั่วประเทศ
2) ความเห็นอกเห็นใจแบบมีกลยุทธ์ (Strategic empathy) คือการนำความสามารถในการเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นไปประยุกต์ใช้ในการตัดสินใจและแก้ไขปัญหา โดยมุ่งเน้นที่การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและการบรรลุเป้าหมายร่วมกัน
Empathy ในเชิงจิตวิทยาผู้นำไม่ใช่เพียงความสงสารแต่คือ ความสามารถในการเข้าใจมุมมอง ความรู้สึก และแรงจูงใจของผู้อื่น แล้วใช้ข้อมูลนั้นในการออกแบบการสื่อสารและการตัดสินใจให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ในกรณีของลินคอล์น เราเห็นการใช้ Empathy เป็นเครื่องมือทางกลยุทธ์ (Strategic empathy) อย่างมีแบบแผน เพื่อบรรลุเป้าหมายทางนโยบายขนาดใหญ่ (เช่น การยกเลิกทาส และการรวมประเทศ)
a) Mirror สะท้อนความรู้สึกของอีกฝ่าย “ท่านกังวลว่าหากไร้แรงงานทาส ต้นทุนผลิตฝ้ายจะกระโดด…” ลินคอล์นไม่เริ่มด้วยการโต้กลับ แต่สะท้อนความกลัวของคู่เจรจาให้ชัดเจน เทคนิคนี้สอดคล้องกับหลักของการฟังเชิงรุก (Active listening) และการสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางจิตวิทยา (Psychological safety) ในการเจรจา อีกทั้งยังเป็นการ "disarm" หรือทำให้คู่สนทนาเลิกตั้งการ์ด เพราะรู้สึกว่าถูกรับฟัง ไม่ถูกตัดสิน
b) Frame สร้างกรอบความร่วมมือ “เราทั้งคู่ต้องการให้เกษตรกรภาคใต้อยู่รอด…” ลินคอล์นหาจุดร่วมที่ไม่เกี่ยวกับอุดมการณ์ แต่เกี่ยวกับ “ค่านิยมร่วม” เช่น ความมั่นคงของครอบครัว ทหาร ชีวิตคน เทคนิคนี้มีพื้นฐานมาจาก Moral Foundations Theory (Haidt, 2012) ที่ชี้ว่าผู้คนจะเปิดใจมากขึ้นเมื่อรู้ว่าคุณเห็นคุณค่าที่เขาให้ความสำคัญ
c) Move นำเสนอทางออกอย่างมีจังหวะ เมื่ออีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาเข้าใจเราแล้ว จึงเริ่มเปิดรับข้อเสนอแม้จะไม่สมบูรณ์แบบ ลินคอล์นใช้กระบวนการนี้ซ้ำ ๆ จนสามารถ ดึงเสียงเดโมแครตสายใต้บางส่วนมาโหวตให้ Emancipation Proclamation และมาตรา 13 ได้สำเร็จ
งานวิจัยร่วมสมัยหลายชิ้นพบว่าความสำเร็จนี้ไม่ใช่พรสวรรค์ผู้นำเหนือมนุษย์ แต่คือการออกแบบ "กระบวนการและค่านิยม" ให้ความแตกต่างเปล่งพลังได้โดยไม่แตกหักเส้นทางเลิกทาสของลินคอล์นไม่ใช่เพียงบทเรียนประวัติศาสตร์
หากคือคู่มือบริหารความขัดแย้งหลากมิติในยุคปัจจุบัน แยกศึกใหญ่ให้ชนะทีละด่าน เปิดพื้นที่ให้ศัตรูได้พูดก่อนตัดสิน และรักษาเป้าหมายหลัก ซึ่งคือคุณค่ามนุษย์เหนือการแบ่งแยกไว้เสมอวิธีเดียวกับที่เขาเคยใช้ผสานชาติที่แตกออกให้กลับมายืนอยู่ใต้รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขครั้งที่ 13 ได้สำเร็จ
อ้างอิง
Foner, E. (2010). The fiery trial: Abraham Lincoln and American slavery. W. W. Norton.
Goodwin, D. K. (2005). Team of rivals: The political genius of Abraham Lincoln. Simon & Schuster.
Holzer, H. (2015). Lincoln and the power of the press. Simon & Schuster.
Lartey, S. (2024). Analyzing the leadership qualities of Abraham Lincoln during crisis situations and racial legal issues: Future studies and recommendations.
https://www.researchgate.net/publication/384019651_Analyzing_the_Leadership_Qualities_of_Abraham_Lincoln_during_Crisis_Situations_and_Racial_Legal_Issues_Future_Studies_and_Recommendations
Sowcik, M., & Johnson, A. (2024). Without humility, there can be no peace leadership. Journal of Leadership Studies, 18(3), 54–61.
https://doi.org/10.1002/jls.21909
ประวัติศาสตร์
ปรัชญา
พัฒนาตัวเอง
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย