14 ก.ค. เวลา 15:31 • ประวัติศาสตร์

เติร์ก: ชนชาติบนเส้นทางแห่งประวัติศาสตร์อันแผ่ไพศาล

ชาวเติร์กนับเป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์-ภาษา (ethno-linguistic group) ที่ทรงอิทธิพลทางประวัติศาสตร์ มีการกระจายตัวทางภูมิศาสตร์กว้างขวาง และมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมมากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก
ต้นกำเนิดของพวกเขาสืบย้อนไปได้ถึงทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ยูเรเชียในเอเชียกลาง โดยเฉพาะบริเวณรอบเทือกเขาอัลไตและหุบเขาแม่น้ำออร์คอนในเขตที่ปัจจุบันคือประเทศมองโกเลีย ที่นั่น ในราวศตวรรษที่ 6 หลังคริสตกาล กลุ่มชนเร่ร่อนที่รวมตัวกันเป็นสมาพันธ์ เช่น โก๊กเติร์ก (Göktürks หรือ Köktürks) ได้ก่อร่างเป็นพลังทางการเมืองที่ทรงอิทธิพล
ราชวงศ์ข่านโก๊กเติร์กเป็นหน่วยการปกครองแรกที่มีการใช้คำว่า “เติร์ก” อย่างเป็นทางการในจารึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจารึกออร์คอน (Orkhon inscriptions) ซึ่งเขียนด้วยอักษรรูนิก (runic script) ของเติร์กโบราณและยกย่องคุณธรรมของผู้นำ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียว และความเคารพต่อเทพแห่งท้องฟ้าชื่อ “เท็งกรี” (Tengri)
1
ชาวเติร์กยุคแรกเป็นชนเผ่าเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ที่มีวิถีชีวิตเคลื่อนย้ายอยู่เสมอ เพื่อติดตามแหล่งน้ำและทุ่งหญ้าสำหรับปศุสัตว์ มีชื่อเสียงด้านทักษะการขี่ม้าเหนือใคร การใช้อาวุธธนูผสม และความสามารถในการทำสงครามแบบเคลื่อนที่อย่างมีประสิทธิภาพ องค์กรทางสังคมของพวกเขาอิงจากระบบเครือญาติในลักษณะของ “โบย” (boy) หรือกลุ่มเครือญาติย่อย ที่รวมตัวกันเป็นสมาพันธ์ภายใต้ผู้นำที่มีบารมีหรือข่าน (khan)
แก่นของโลกทัศน์ของพวกเขาคือ “เท็งกรีอิสม์” (Tengriism) ซึ่งเป็นความเชื่อที่หยั่งรากในลัทธิบูชาธรรมชาติ และการทำพิธีทางไสยศาสตร์ โดยมีเทพเท็งกรีเป็นศูนย์กลาง ระบบจักรวาลวิทยานี้เน้นความกลมกลืนกับธรรมชาติ การเคารพบรรพบุรุษ และพันธะทางศีลธรรมของผู้นำในการรักษาความสมดุลแห่งจักรวาล
ชาวเติร์กมีบทบาทในกระแสอารยธรรมของยูเรเชียอย่างรวดเร็ว พงศาวดารราชวงศ์ของจีน โดยเฉพาะยุคราชวงศ์สุยและถัง กล่าวถึงชาวเติร์กในฐานะทั้งศัตรูที่น่าเกรงขามและพันธมิตรที่ขาดไม่ได้
แหล่งข้อมูลเปอร์เซียชื่นชมความสามารถทางทหารของพวกเขาและบทบาทในการปกป้องชายแดน ขณะที่นักประวัติศาสตร์อาหรับในภายหลังบันทึกถึงการผนวกชาวเติร์กเข้าสู่คอลีฟะห์อับบาซียะห์ในฐานะทหารรับจ้างหรือ “ฆิลมาน” (ghilman) ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักในนาม “มัมลุก” (Mamluks)
แหล่งข้อมูลเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าชาวเติร์กเป็นทั้งตัวกลางในเส้นทางการค้าไกลโพ้น ผู้เอื้ออำนวยการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และผู้ขับเคลื่อนทั้งนวัตกรรมและความรุนแรง
ระหว่างศตวรรษที่ 6 ถึง 11 เกิดกระแสการอพยพขนาดใหญ่หลายระลอก ซึ่งได้รับแรงผลักดันจากปัจจัยด้านภูมิอากาศ ความขัดแย้งภายใน และการเกิดขึ้นของอาณาจักรใหม่ เช่น ราชวงศ์ถัง ราชวงศ์อุยกูร์ และภายหลังคือจักรวรรดิมองโกล เหตุการณ์เหล่านี้ผลักดันให้เผ่าเติร์กเคลื่อนที่ไปทางตะวันตกข้ามทุ่งหญ้าเอเชียกลาง
การอพยพนี้นำพาพวกเขาให้เข้าใกล้อารยธรรมอิหร่าน อาหรับ ไบแซนไทน์ และสลาฟมากขึ้น ในดินแดนเช่น “ทรานซ์ออกเซียนา” (Transoxiana – ปัจจุบันคืออุซเบกิสถานและพื้นที่ใกล้เคียง) ชาวเติร์กบางกลุ่มเริ่มตั้งถิ่นฐาน หันมาใช้ชีวิตอยู่กับที่ และค่อย ๆ ยอมรับศาสนาอิสลามและวัฒนธรรมแบบเปอร์เซีย
ภายในศตวรรษที่ 10 กลุ่มเติร์กส่วนใหญ่ได้นับถืออิสลามนิกายซุนนี แต่อัตลักษณ์ศาสนายังคงหลากหลาย ทั้งในรูปแบบอิสมาอิลี ซูฟี และความเชื่อแบบผสมผสานท้องถิ่น
หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์ชาวเติร์ก คือการเกิดขึ้นของจักรวรรดิสุลญุค (Seljuk Empire) ในศตวรรษที่ 11 ซึ่งก่อตั้งโดยชาวเติร์กเผ่าโอกูซ (Oghuz Turks) พวกเขาขยายอำนาจอย่างรวดเร็วจากแคว้นโคราซานสู่เปอร์เซีย อิรัก และอนาโตเลีย ยุทธการมานซิเคิร์ต (the Battle of Manzikert) ในปี ค.ศ. 1071
ที่สุลต่านอัลป์ อาร์สลัน (Alp Arslan) เอาชนะจักรพรรดิไบแซนไทน์โรมานอสที่ 4 ได้ กลายเป็นจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ของอนาโตเลีย และเปิดทางสู่การตั้งถิ่นฐานของชาวเติร์กอย่างถาวร จนกลายเป็นการ “เติร์กกิฟิเคชัน” (Turkification) ของภูมิภาค
สุลญูครับเอาระบบบริหารแบบเปอร์เซีย ส่งเสริมการศึกษาอิสลามและแนวคิดซูฟี และมีบทบาทสำคัญในการหลอมรวมวัฒนธรรมเปอร์เซีย-เติร์ก-อิสลาม ซึ่งกลายเป็นรากฐานของโลกมุสลิมในยุคต่อมา
ในบรรดาจักรวรรดิของเติร์ก ไม่มีอาณาจักรใดมีมรดกตกทอดในระดับโลกมากเท่ากับจักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman Empire) ซึ่งเริ่มต้นในปลายศตวรรษที่ 13 จากบัยลีคชายแดนแห่งอนาโตเลีย ออตโตมันพัฒนาเป็นจักรวรรดิพหุชาติพันธุ์ พหุภาษา และพหุศาสนา ที่ดำรงอยู่ยาวนานกว่า 600 ปี ภายใต้ผู้นำเช่น ออสมานที่ 1, เมห์เหม็ดที่ 2 (ผู้พิชิต) และสุลต่านสุลัยมานมหาราช พวกเขายึดครองกรุงคอนสแตนติโนเปิลในปี 1453 และเปลี่ยนให้กลายเป็นเมืองหลวงอิสตันบูล พร้อมขยายอำนาจครอบคลุม 3 ทวีป ได้แก่ ยุโรปตะวันออก แอฟริกาเหนือ และเอเชียตะวันตก
ออตโตมันพัฒนาระบบบริหารที่ซับซ้อน โดยผสมผสานกฎหมายอิสลาม (ชะรีอะฮ์) กับกฎหมายจารีต (กานูน) และรักษาสมดุลระหว่างอำนาจส่วนกลางกับการปกครองท้องถิ่น พวกเขาจัดตั้งระบบ “มิลเลต” (millet system) ซึ่งให้สิทธิชุมชนศาสนาในการปกครองตนเองบางส่วน ภายใต้กรอบของอิสลามแบบมีลำดับชั้น ในเชิงศิลปะและสถาปัตยกรรม
จักรวรรดิออตโตมันถึงจุดสูงสุด โดยเฉพาะในยุคสถาปนิกเอก “มิมาร์ ซินาน” (Mimar Sinan) ด้านปัญญา ออตโตมันอุปถัมภ์วิทยาศาสตร์ ปรัชญา แนวทางซูฟี และประวัติศาสตร์ รวมถึงรับบทเป็นผู้พิทักษ์สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในเมกกะและมะดีนะฮ์
การล่มสลายของจักรวรรดิออตโตมันหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในอัตลักษณ์ของชาวเติร์ก เมื่อปี 1923 สาธารณรัฐตุรกีได้ถือกำเนิดภายใต้การนำของมุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก ซึ่งมุ่งปฏิรูปประเทศสู่ความทันสมัยและตะวันตก โดยยกเลิกระบบสุลต่านและคอลีฟะห์ ใช้ระบบฆราวาสแทนศาสนา เปลี่ยนอักษรอาหรับเป็นละติน และใช้ประมวลกฎหมายแบบยุโรป อตาเติร์กเน้นอุดมการณ์ชาตินิยมทางภาษา ความจงรักภักดีต่อรัฐ และโลกวิสัย (secularism) เพื่อแยกประเทศออกจากมรดกออตโตมัน-อิสลาม
อย่างไรก็ตาม ชาวเติร์กไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในพรมแดนของตุรกีเท่านั้น โลกของเติร์ก (Turkic world) ประกอบด้วยกลุ่มชาติพันธุ์และรัฐต่าง ๆ ทั่วเอเชียกลาง คอเคซัส ไซบีเรีย และจีนตะวันตก ได้แก่ คาซัค อุซเบก เติร์กเมน คีร์กีซ และอุยกูร์ รวมถึงชาวอาเซอรี ตาตาร์ บัชเคียร์ ชูวาช และอื่น ๆ แม้จะมีความแตกต่างทางศาสนา การเมือง และระดับของการถูกกลืนโดยรัสเซียหรือจีน แต่พวกเขายังมีรากทางภาษาร่วมกันในตระกูลภาษาเติร์ก ซึ่งมีมากกว่า 30 ภาษา แบ่งเป็นหลายกลุ่ม เช่น โอกูซ คิปชัก คาร์ลุค และไซบีเรียน
ตลอดประวัติศาสตร์ อารยธรรมเติร์กมีบทบาทสำคัญในการสร้างองค์ความรู้และวัฒนธรรมระดับโลก เมืองอย่างบูคารา ซามาร์คันด์ และคีวา กลายเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้อิสลาม การค้า และศิลปกรรม ซึ่งผสานอิทธิพลของเปอร์เซีย เติร์ก และอิสลามเข้าด้วยกัน
บทกวีเชิงจิตวิญญาณของยูนุส เอมเร และอะห์มัด ยัซซาวี ความคิดทางปรัชญาของอัล-ฟารอบี และอิบนุ ซีนา (อวิชัณฑ์) ตลอดจนคณิตศาสตร์ของอัล-คอวาริซมี ล้วนสะท้อนถึงพลังทางปัญญาของโลกเติร์ก-อิสลาม
ในเชิงการปกครอง วัฒนธรรมการเมืองแบบทุ่งหญ้า เช่น ระบบคุณธรรม ความภักดีต่อเผ่า และการปรับตัวของชุมชนชายแดน ได้ทิ้งร่องรอยไว้ในหลายรัฐทั้งในโลกอิสลามและยูเรเชีย
ในยุคปัจจุบัน โลกเติร์กยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 ประเทศเอกราชใหม่ในเอเชียกลาง ได้แก่ คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน เติร์กเมนิสถาน คีร์กีซสถาน และอาเซอร์ไบจาน ต่างฟื้นฟูอัตลักษณ์ ภาษา และความร่วมมือระหว่างกัน องค์กรอย่าง “องค์การรัฐเติร์ก” (Organization of Turkic States) ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อส่งเสริมความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทางวัฒนธรรม การรวมเศรษฐกิจ และการเจรจายุทธศาสตร์
ในขณะเดียวกัน กลุ่มชนกลุ่มน้อยชาวเติร์ก เช่น อุยกูร์ในจีน และตาตาร์ในรัสเซีย ยังคงเผชิญกับความท้าทายซับซ้อนในการรักษาวัฒนธรรม อัตลักษณ์ และสิทธิมนุษยชน
ดังนั้น เรื่องราวของชาวเติร์กจึงเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่ง จากสมาพันธ์ชนเผ่าเร่ร่อนในทุ่งหญ้ายูเรเชีย สู่อาณาจักรที่แผ่ไพศาล และรัฐชาติสมัยใหม่ เป็นเรื่องราวของการปรับตัว ความเข้มแข็ง และการผสาน ระหว่างธรรมเนียมกับความทันสมัย อิสลามกับโลกวิสัย การเคลื่อนไหวกับการหยั่งราก
ชาวเติร์กยังคงเป็นสะพานเชื่อมระหว่างตะวันออกกับตะวันตก เป็นพลังที่เคลื่อนไหวทางภูมิรัฐศาสตร์ และเป็นหลักฐานที่มีชีวิตของความซับซ้อนอันลึกซึ้งของอารยธรรมมนุษย์
*Turkification คือ กระบวนการที่บุคคล ชุมชน หรือพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ค่อย ๆ ถูกหลอมรวมให้รับเอาอัตลักษณ์ ภาษา วัฒนธรรม และค่านิยมของชาวเติร์กเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตนเอง กระบวนการนี้อาจเกิดขึ้นโดยสมัครใจ อิทธิพลทางวัฒนธรรม หรือด้วยอำนาจรัฐ โดยมีบริบทแตกต่างกันตามยุคสมัยและพื้นที่
โฆษณา