18 ก.ค. เวลา 23:18 • สุขภาพ

ทับทิม” เป็นผลไม้ที่ให้ประโยชน์มากในด้านสุขภาพ

ทับทิม (Pomegranate, Punica granatum L.) มีถิ่นกำเนิดอยู่บนที่ราบสูงอิหร่าน และอินเดียตอนเหนือ ต่อมาแพร่กระจายไปสู่อียิปต์ อาเซอร์ไบจาน อัฟกานิสถาน บังกลาเทศ ปากีสถาน ซาอุดีอาระเบีย ตุรกี จีน และประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งรุกขยายเข้าไปยังสเปน แอฟริกาเหนือ และแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
ต้นทับทิม มีความสามารถปรับตัวได้ดี ตั้งแต่ในเขตค่อนข้างแห้งแล้ง เขตร้อนชื้น และเขตอากาศหนาวเย็น ที่มีอุณหภูมิ -14 องศาเซลเซียส ก็พบเห็นเสมอ ชาวจีนและชาวอียิปต์ รู้จักปลูกและบริโภคทับทิมมาตั้งแต่โบราณกาล โดยเฉพาะชาวจีนให้ความสำคัญกับทับทิมเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นไม้มงคล จึงนิยมปลูกไว้หน้าบ้าน
ทับทิมเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เนื่องจากมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวและคุณประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย จากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น เว็บไซต์ทางการแพทย์และงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย พบว่าทับทิมมีสรรพคุณหลากหลายด้าน ดังนี้:
1. **ต้านอนุมูลอิสระและชะลอวัย**
- ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น โพลีฟีนอลและกรดเอลลาจิแทนนิน ซึ่งช่วยลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระ อาจช่วยชะลอวัยและลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและมะเร็ง
- ช่วยบำรุงผิวพรรณ โดยสามารถใช้น้ำทับทิมทาบนผิวเพื่อช่วยลดริ้วรอยและกระชับผิว (วิธี: ทาน้ำทับทิม 1 ช้อนโต๊ะ ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออก)
2. **ดีต่อสุขภาพหัวใจ**
- งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดลและแหล่งอื่นๆ ชี้ว่าการดื่มน้ำทับทิมเป็นประจำอาจช่วยลดความดันโลหิต ลดการแข็งตัวของเลือดจากไขมันสูง และปรับปรุงการทำงานของหลอดเลือด
- อาจช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น คอเลสเตอรอลสูง
3. **อาจช่วยป้องกันมะเร็ง**
- มีการศึกษาบางชิ้น เช่น จาก Dokbuaku.com ระบุว่าสารสกัดจากทับทิมอาจช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยอาจทำให้เซลล์มะเร็งตายได้
- อย่างไรก็ตาม งานวิจัยยังมีจำกัด และยังไม่สามารถยืนยันประสิทธิภาพได้ชัดเจน ต้องการการศึกษาต่อไป
4. **ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด**
- ทับทิมอาจช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินและลดระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
- แต่เนื่องจากมีน้ำตาลธรรมชาติสูง (11-12% ในน้ำทับทิมตามข้อมูลจาก Rama.mahidol.ac.th) ผู้ป่วยเบาหวานควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม
5. **บำรุงระบบย่อยอาหาร**
- ใยอาหารในทับทิมช่วยกระตุ้นการขับถ่าย ป้องกันท้องผูก และอาจช่วยในระบบทางเดินอาหาร
- เปลือกทับทิมสามารถใช้เป็นยาพื้นบ้านในการรักษาท้องเสียและโรคบิด เนื่องจากมีแทนนินสูง
6. **เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน**
- อุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัดและการติดเชื้อ
- ยังมีวิตามินอีและวิตามินเค ซึ่งช่วยบำรุงร่างกายโดยรวม
7. **ลดการอักเสบ**
- มีสรรพคุณต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยลดอาการของโรคข้ออักเสบหรือภาวะอักเสบเรื้อรัง
- กรดเอลลาจิแทนนินในทับทิมช่วยลดการอักเสบในร่างกายตามข้อมูลจาก Sanook.com
8. **ดีต่อระบบทางเดินปัสสาวะ**
- มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย อาจช่วยป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
- ช่วยดีท็อกซ์ไตและระบบทางเดินปัสสาวะตามข้อมูลจาก Medthai.com
9. **บำรุงผิวและเส้นผม**
- น้ำทับทิมสามารถใช้เป็นมาสก์หน้าเพื่อลดรอยสิวและกระชับรูขุมขน (ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน)
- ใบทับทิมสามารถใช้พอกศีรษะเพื่อลดการหลุดร่วงของเส้นผม
10. **ประโยชน์อื่นๆ**
- ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องในหญิงตั้งครรภ์
- อาจช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในวัยทอง
- รักษาอาการเจ็บคอ (ใช้เปลือกต้ม) และป้องกันเลือดออกตามเหงือก
- ใช้เป็นยาพื้นบ้านในการขับพยาธิ (รากและลำต้น) และหยุดเลือด (ดอก)
ข้อควรระวังและข้อแนะนำ
- **น้ำตาลสูง**: น้ำทับทิมในท้องตลาดมีน้ำตาลธรรมชาติ 11-12% ตามข้อมูลจาก Rama.mahidol.ac.th ดังนั้นควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเบาหวานหรือควบคุมน้ำหนัก
- **การบริโภคอย่างสมดุล**: แนะนำให้กินทับทิมเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่หลากหลายและสมดุล รวมถึงออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อสุขภาพที่ดี
- **การใช้เป็นยาพื้นบ้าน**: การใช้ส่วนต่างๆ ของทับทิม เช่น เปลือก ราก หรือดอก ควรทำตามคำแนะนำจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และปรึกษาแพทย์หากมีโรคประจำตัว
ข้อมูลเพิ่มเติมจากงานวิจัย
- จาก Pobpad.com ระบุว่าทับทิมถูกใช้ในยาโบราณหลายประเทศ และมีงานวิจัยที่ศึกษาการใช้ทับทิมกับโรคต่างๆ เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคในช่องปาก และโรคผิวหนัง แต่ยังมีหลักฐานจำกัด
- มีการอ้างอิงจาก Wikipedia และ Office of Herbal Information, Mahidol University ถึงคุณค่าทางโภชนาการและการใช้ประโยชน์
 
ที่มา กรมวิชาการเกษตร, สสส ,Medthai.com, Rama.mahidol.ac.th, Pobpad.com, Sanook.com, และ Dokbuaku.com โดยอ้างอิงจากงานวิจัยและข้อมูลทางการแพทย์ ณ วันที่ 19 กรกฎาคม 2568
โฆษณา