19 ก.ค. เวลา 00:19 • หนังสือ
antiqueline

ความบังเอิญ: เรื่องจริงหรือแค่สิ่งที่เราคิดไปเอง?

คำกล่าวที่ว่า "ความบังเอิญไม่มีจริง" เป็นแนวคิดที่ชวนให้ขบคิดและถกเถียงกันมานานในหลากหลายแง่มุม ทั้งในเชิงปรัชญา วิทยาศาสตร์ และความเชื่อส่วนบุคคล การจะตอบคำถามนี้จึงไม่อาจฟันธงได้ง่ายๆ ว่า "ใช่" หรือ "ไม่ใช่" แต่ขึ้นอยู่กับมุมมองที่เราเลือกใช้ในการตีความปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
ในมุมมองทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยา ความบังเอิญ (Coincidence) คือเหตุการณ์ตั้งแต่สองเหตุการณ์ขึ้นไปที่เกิดขึ้นพร้อมกันหรือต่อเนื่องกัน โดยไม่มีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุและผลที่ชัดเจน นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่มองว่าความบังเอิญเป็นสิ่งที่ "มีอยู่จริง" แต่เป็นผลมาจากกฎแห่งความน่าจะเป็นและกลไกการทำงานของสมองมนุษย์
*
กฎของจำนวนมาก (The Law of Large Numbers): ทฤษฎีนี้อธิบายว่า เมื่อมีโอกาสหรือจำนวนครั้งที่มากพอ แม้แต่เหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นได้ยากมาก ก็สามารถเกิดขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น การที่คนสองคนในงานเลี้ยงมีวันเกิดวันเดียวกันอาจดูน่าประหลาดใจ แต่เมื่อพิจารณาว่าในห้องมีคนอยู่หลายสิบคน ความน่าจะเป็นที่จะมีคนเกิดวันเดียวกันก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
* อคติทางการรับรู้ (Cognitive Biases): สมองของมนุษย์มีแนวโน้มที่จะมองหารูปแบบและสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งต่างๆ เพื่อทำความเข้าใจโลกรอบตัว เรามักจะจดจำและให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ที่ "บังเอิญ" ตรงกับความคิดหรือความรู้สึกของเราในขณะนั้นเป็นพิเศษ (Confirmation Bias) และมองข้ามเหตุการณ์ที่ไม่เข้าพวกอีกนับไม่ถ้วนไป
* อคติจากการมองย้อนกลับ (Hindsight Bias): หลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว เราม.ักจะมองว่ามันเป็นสิ่งที่คาดเดาได้หรือมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นมากกว่าความเป็นจริง ทำให้ความบังเอิญนั้นดูมีความหมายพิเศษเกินจริง
ในมุมมองทางปรัชญาและความเชื่อ แนวคิดที่ว่า "ความบังเอิญไม่มีจริง" มักผูกโยงกับแนวคิดเรื่อง "ทุกสิ่งถูกกำหนดไว้แล้ว" หรือ "พรหมลิขิต"
* เหตุและผลที่เชื่อมโยงกัน (Interconnected Causality): บางปรัชญาเชื่อว่าทุกเหตุการณ์ในจักรวาลล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสายใยแห่งเหตุและผลที่ซับซ้อนและต่อเนื่องกัน แม้เราจะไม่สามารถมองเห็นความเชื่อมโยงของเหตุการณ์สองอย่างได้โดยตรง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าไม่มีความเชื่อมโยงอยู่เลยในระดับที่เราอาจยังไม่เข้าใจ
* ซิงโครนิซิตี้ (Synchronicity): คาร์ล ยุง (Carl Jung) นักจิตวิเคราะห์ชื่อดัง ได้เสนอแนวคิดนี้ขึ้นมาเพื่ออธิบาย "ความบังเอิญที่มีความหมาย" (Meaningful Coincidence) ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ดูเหมือนไม่มีความสัมพันธ์กันในเชิงสาเหตุ แต่กลับมีความเชื่อมโยงกันในเชิงความหมายสำหรับผู้ที่ประสบเหตุการณ์นั้นๆ เช่น
การที่คุณกำลังคิดถึงเพื่อนเก่าที่ไม่เจอกันมานาน แล้วจู่ๆ เพื่อนคนนั้นก็โทรศัพท์เข้ามา ยุงมองว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญทางสถิติ แต่เป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างโลกภายนอกและสภาวะจิตใจภายใน
* ความเชื่อและวัฒนธรรมไทย: ในสังคมไทย ความคิดเรื่อง "บุพเพสันนิวาส" หรือ "กรรมลิขิต" มีอิทธิพลอย่างมาก เหตุการณ์บังเอิญหลายอย่างจึงมักถูกตีความว่าเป็นการกระทำของอำนาจเหนือธรรมชาติหรือเป็นผลมาจากกรรมที่เคยทำร่วมกันมาในอดีตชาติ คำกล่าวที่ว่า "ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ" จึงเป็นการให้ความหมายและคุณค่าแก่เหตุการณ์นั้นๆ ว่าเป็นสิ่งที่มีเจตนาหรือถูกจัดสรรมาแล้ว
สรุปแล้ว "ความบังเอิญ" ใช่หรือไม่จริง?
คำตอบนั้นอยู่ตรงกลางระหว่างสองมุมมองนี้
* ในทางกายภาพ เหตุการณ์ที่เราเรียกว่า "ความบังเอิญ" นั้นเกิดขึ้นได้จริงตามหลักความน่าจะเป็นและสถิติ มันคือการมาบรรจบกันของสายเหตุการณ์ที่เป็นอิสระต่อกัน
* ในทางประสบการณ์ของมนุษย์ การรับรู้และตีความว่าเหตุการณ์นั้นเป็น "แค่เรื่องบังเอิญ" หรือ "มีความหมายพิเศษ" เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเรา สมองที่ถูกสร้างมาเพื่อค้นหารูปแบบและความหมาย จะพยายามทำความเข้าใจปรากฏการณ์ที่น่าทึ่งเหล่านั้น
ดังนั้น การกล่าวว่า "ความบังเอิญไม่มีจริง" อาจเป็นการสะท้อนความต้องการของมนุษย์ที่จะเชื่อว่าชีวิตและเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมาย แต่มีความหมายหรือมีระเบียบแบบแผนบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าระเบียบนั้นจะมาจากกฎแห่งกรรม, พรหมลิขิต, หรือพลังงานลึกลับใดๆ ก็ตาม ขณะที่การยอมรับว่าความบังเอิญมีอยู่จริง ก็คือการยอมรับในบทบาทของความน่าจะเป็นและธรรมชาติของการรับรู้ของมนุษย์นั่นเอง
โฆษณา