19 ก.ค. เวลา 14:29 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เข้าใจ เหตุผล ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ขึ้นภาษีกับทั่วโลก

ในที่สุดวันแห่งอิสรภาพ หรือ Liberation day ก็มาถึงเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศที่จะเก็บ ภาษีนําเข้า เพิ่มเติมกับสินค้าที่ส่งไปขายในสหรัฐจากทุกประเทศ
เริ่มวันที่ 5 และ 9 เม.ย.ในอัตราร้อยละ 10 ถึงร้อยละ 50 แล้วแต่ประเทศ ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงระนาวและเป็นนโยบายที่จะทําให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย
แต่ที่ทุกคนมองข้ามคือ ทําไมสหรัฐเลือกที่จะตัดสินใจดังกล่าว อะไรคือเหตุผลหรือเบื้องลึกของการตัดสินใจ และสหรัฐต้องการอะไรจากการทําแบบนี้แม้จะสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจทั่วโลก นี่คือสิ่งที่ต้องเข้าใจ และนี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้
การตัดสินใจทุกอย่างมีเหตุผล แม้จะดีหรือไม่ดีในสายตาผู้คน แต่ก็มีเหตุผลที่นําไปสู่การตัดสินใจ คราวนี้ก็เช่นกัน ในความคิดของทรัมป์ การขาดดุลการค้าที่สหรัฐมีมาต่อเนื่องและนับวันจะรุนแรง
หากย้อนกลับไปดูในล่าสุดปี 2567 ตัวเลขสูงถึง 918 พันล้านดอลลาร์ คือ ปัจจัยที่ทําให้เศรษฐกิจสหรัฐอ่อนแอ ซึ่งเป็นผลจากระเบียบการค้าโลกและการจับขั้วของประเทศต่างๆ หลังสงครามโลกครั้งที่สองที่สหรัฐอเมริกาเหมือนถูกหลอกหรือหลอกตัวเองให้ยอมรับ
มีความไม่พึงพอใจต่อนโยบายของประธานาธิบดี โดนัล-ทรัมป์
ระเบียบการค้าที่ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐ รวมถึงการใช้จ่ายด้านการทหารเพื่อความปลอดภัยของประเทศอื่นนี่คือดีลที่ไม่ดีกับสหรัฐในสายตาของทรัมป์ และการขาดดุลได้มาถึงจุดที่จะทําลายความมั่นคงของสหรัฐถ้าไม่มีการแก้ไขในคําสั่งบริหารที่ทรัมป์ลงนามเมื่อวันที่ 2 เม.ย.โดยใช้อํานาจประธานาธิบดี เอกสารคำสั่งระบุเรื่องราวและเหตุผลที่นำไปสู่การขึ้นภาษีนําเข้ากับทุกประเทศ สรุปได้ดังนี้
1. การขาดดุลการค้าที่เกิดขึ้น รวมถึงพัฒนาการที่นําไปสู่การขาดดุล คือ ภัยต่อความมั่นคงของประเทศสหรัฐ จึงใช้อำนาจประธานาธิบดีประกาศเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินของชาติที่ต้องแก้ไข
2. ในอดีต สหรัฐยึดหลักการค้าแบบ Reciprocity คือตอบแทนซึ่งกันและกัน หมายถึงสหรัฐและประเทศที่สหรัฐค้าขายด้วยจะกําหนดอัตราภาษีระหว่างกันแบบเท่าเทียมแต่หลังสงครามโลกครั้งสอง ข้อตกลงการค้าภายใต้องค์การการค้าโลกเพื่อส่งเสริมการค้าเสรีไม่ได้ให้ผลอย่างที่หวัง คือ อัตราภาษีนําเข้าของสหรัฐตํ่าสุดเทียบกับประเทศอื่นๆ ทำให้สหรัฐเสียเปรียบ ไม่มีการตอบแทนซึ่งกันและกันแบบเท่าเทียม
รวมถึงมีการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีและการแทรกแซงค่าเงินที่กระทบการส่งออกของสหรัฐ สิ่งเหล่านี้ทําให้การค้าโลกไม่สมดุล และนำไปสู่การขาดดุลการค้าของสหรัฐที่รุนแรงและต่อเนื่อง กระทบการผลิตในสหรัฐ ซึ่งก็คือความมั่นคงของประเทศ
3. การผลิตภาคอุตสาหกรรมสหรัฐที่ลดลงจากร้อยละ 28.4 ของโลกปี 2544 เหลือร้อยละ 17.4 ปี 2566 มีผลต่อการจ้างงาน ซึ่งกว่าห้าล้านตำแหน่งงานหายไปเพราะการขาดดุลการค้าขณะที่สมรรถนะในภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงจากการขาดดุลการค้าก็กระทบความสามารถในการแข่งขัน นวัตกรรม ความสามารถในการผลิตอาวุธ และความพร้อมทางการทหาร
นอกจากนี้ การพึ่งพาสินค้านำเข้ามากเกินไปก็เป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคง ทั้งหมดเป็นผลจากการค้าที่ไม่สมดุล
ประชาชนจำนวนมากออกมาเรียกร้องในเเคมเปญ NO-KING
4. นโยบายรัฐบาลสหรัฐ คือปรับการค้าโลกให้สมดุลโดยขึ้นภาษีสินค้านําเข้าประเทศสหรัฐร้อยละ 10 ตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย. จากนั้นปรับขึ้นตามอัตราที่กําหนดไว้ในภาคผนวกสําหรับแต่ละประเทศเริ่มวันที่ 9 เม.ย.จนกว่าจะได้ผลที่น่าพอใจ อัตราเหล่านี้เป็นอัตราเพิ่มเติมจากสิ่งที่มีอยู่ยกเว้นแคนาดาและเม็กซิโก และอาจมีมาตรการเพิ่มเติมถ้าผลที่ออกมาไม่น่าพอใจหรือประเทศคู่ค้ามีมาตรการตอบโต้
และถ้าประเทศยอมแก้ไข (remedy) ความไม่เท่าเทียมและตรงกับสหรัฐในเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคง ประธานาธิบดีก็อาจลดหรือจำกัดขอบเขตของภาษีที่ระบุไว้ในคําสั่งนี้ คือ สิ่งที่ทรัมป์ลงนามในคําสั่งบริหาร ซึ่งชัดเจนว่าเป้าหมายคือการแก้ดุลการค้าขาดดุลตามที่ได้หาเสียงไว้ โดยให้เหตุผลว่าการขาดดุลเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
สะท้อนถึง Elonmas เช่นกัน LET THEM EAT TESLAS
แต่เพราะสหรัฐเป็นเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลก การขึ้นภาษีกับทุกประเทศในอัตราที่แตกต่างกันหมายถึงการสิ้นสุดของระบบการค้าเสรีที่มีกฎเกณฑ์ภายใต้ระบบพหุภาคี ที่เป็นพื้นฐานของการค้าโลกมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งจะสร้างผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลก
ผมคิดว่าทรัมป์และทีมงานเข้าใจผลกระทบเหล่านี้เป็นอย่างดี แต่ก็เลือกที่จะทําเพราะมั่นใจว่าเศรษฐกิจสหรัฐเข้มแข็งพอที่จะเผชิญกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นและสามารถกลับมาเป็นผู้ชนะได้ในที่สุด
ที่สําคัญ สหรัฐจะได้ประโยชน์จากอีกสองเรื่องที่ซ่อนอยู่ในการตัดสินใจ ที่อาจเป็นเบื้องลึกจริงๆ ของการขึ้นภาษีคราวนี้ อย่างแรก ภูมิรัฐศาสตร์ การประกาศขึ้นภาษีกับทุกประเทศในอัตราแตกต่างกัน และสามารถลดได้ถ้าประเทศพร้อมแก้ไข คือการบังคับให้ทุกประเทศต้องเจรจากับสหรัฐเพื่อขอลดอัตราภาษีเพื่อลดผลกระทบ
ซึ่งในการเจรจา สหรัฐอาจต้องการมากกว่าความเท่าเทียมเรื่องภาษีหรือลดการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี แต่อาจขยายไปถึงสิ่งที่สหรัฐต้องการให้ประเทศ “แก้ไข" ที่ตรงกับสหรัฐในเรื่องเศรษฐกิจและความมั่นคง ซึ่งอาจเป็นอะไรก็ได้ที่สหรัฐต้องการ คือ การใช้อํานาจ ผ่านการบีบบังคับและเจรจาที่ทรัมป์ทีมถนัดที่สุด เป็นประเด็นที่ต้องระวังและคงเกิดขึ้นแน่ๆ
เเคมเปญ STOP THE MADMAN
สอง หนี้สาธารณะ ที่เป็นจุดอ่อนและอาจเป็นจุดตาย (Achilles' heel) ของเศรษฐกิจสหรัฐ เพราะแต่ละปีสหรัฐมีภาระดอกเบี้ยที่ต้องชําระมากถึง 800-900 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งสูงมาก
เงินเหล่านี้จําเป็นต้องมีเพื่อไม่ให้เศรษฐกิจสหรัฐสะดุดหรือเกิดปัญหาผิดนัดชําระหนี้ ซึ่งการหาเงินทําได้สองทาง คือ ลดการใช้จ่ายหรือขึ้นภาษี
ตัวเลขชี้ว่าการขึ้นอัตราภาษีสินค้านําเข้าเป็นเฉลี่ยร้อยละ 20 จะสามารถสร้างรายได้ให้รัฐบาลสหรัฐในวงเงินใกล้เคียงกับภาระดอกเบี้ยที่ต้องชำระในแต่ละปี
จึงไม่แน่ใจว่าการขึ้นภาษีเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะของรัฐบาลสหรัฐหรือไม่ เพราะดูสหรัฐจะไม่มีทางเลือกอื่น แต่เงินภาษีเหล่านี้ในที่สุดแม้ไม่ทั้งหมด ประชาชนสหรัฐจะเป็นผู้จ่ายจากราคาสินค้าในประเทศที่จะสูงขึ้น กระทบความเป็นอยู่ของประชาชนสหรัฐ
ภาพ : การประทั้ง ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
ดังนั้น เมื่อรัฐบาลทรัมป์ได้ประกาศขึ้นภาษีแล้ว รัฐบาลก็คงต้องพร้อมดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนสหรัฐที่จะลําบากมากขึ้นจากนี้ไป
สาเหตุสำคัญการประกาศขึ้นกำเเพงภาษี
สาเหตุที่ทรัมป์คิดว่า ‘นโยบายกำแพงภาษี’ จำเป็นต่อสหรัฐ:
ทรัมป์เชื่อในสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ เรียกกันว่า Triffin Dilemma ที่ระบุว่า แม้สถานะของเงินดอลลาร์จะมีความเป็นพิเศษหรือที่เรียกกันว่า สถานภาพ exorbitant privilege แห่งเงินดอลลาร์ โดยเป็นเงินสกุลที่เป็นธนาคารกลางทั่วโลกนิยมนำมาใช้เป็นสำรองเงินตราระหว่างประเทศ (Reserve Currency) เสมือนเป็นการส่งออกเงินดอลลาร์ไปทั่วโลก ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งนั่นทำให้การส่งออกของสหรัฐลดลง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อจีดีพีสหรัฐมีสัดส่วนที่ลดลงมาเรื่อย ๆ เมื่อเทียบต่อจีดีพีโลกในช่วงหลัง ยิ่งทำให้ค่าเงินดอลลาร์ในโลกแห่งความเป็นจริงซึ่งมีสถานะ exorbitant privilege แข็งค่ากว่าค่าเงินดอลลาร์ในกรณีที่ดอลลาร์ไม่ได้มีสถานะเช่นนั้นมากขึ้นไปอีก ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสหรัฐยิ่งลดลงกว่าระดับที่ควรจะเป็นมากขึ้นไปอีก
ทั้งนี้ ทางออกที่ทรัมป์มองว่าจะช่วยให้สหรัฐสามารถเลิกถูกโดนเอาเปรียบทางการค้าจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก คือการตั้งกำแพงภาษีต่อสินค้านำเข้าจากทั่วโลกที่จะเข้ามาขายในสหรัฐ
คำถามคือ หากตั้ง Tariff แบบสุดโต่งนี้แล้ว ทรัมป์ไม่กลัวหรือว่าเงินดอลลาร์จะถูกเงินสกุลอื่น ๆ แซงหน้าเป็นเงินสกุลหลักของโลกหรือ?
คำตอบคือ ทรัมป์ไม่กลัว แต่ก็ออกโรงเตือนว่าจะลงโทษประเทศที่คิดจะสร้างเงินสกุลตนเองหรือจะร่วมกับสกุลเงินพันธมิตรให้เป็นเงินสกุลหลักของโลก
โดยที่ทรัมป์ไม่กลัว เพราะมี 2 ปัจจัยที่จำเป็นต้องมีในการเป็นเงินสกุลหลักของโลก ได้แก่ 1. ต้องสามารถแปลงเป็นเงินสกุลอื่นได้แบบเต็มที่ 100% และ 2. ต้องมีคุณลักษณะการรักษามูลค่าที่มีเสถียรภาพ ซึ่งเงินหยวนของจีนไม่สามารถมีทั้ง 2 สิ่งนี้ ณ ตอนนี้ในขณะที่เงินยูโรของยุโรปก็ถือว่ามีจีดีพีเป็นสัดส่วนต่อจีดีพีโลกน้อยเกินไป
นอกจากแนวคิดเศรษฐศาสตร์ของ Triffin ทรัมป์ยังเชื่อว่าสหรัฐยังต้องแบกรับภาระด้านความมั่นคงทางทหารต่อประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยสิ่งที่ทำให้ทรัมป์ชี้ว่าสหรัฐต้องแบกภาระนี้ได้แก่ดุลการค้าที่ขาดดุลมากขึ้น และสัดส่วนของจีดีพีสหรัฐต่อจีดีพีโลกที่ลดลงเรื่อย ๆ
เป้าหมายเเละเหตุผลของ โดนัล-ทรัมป์
อย่างไรก็ดี ในมุมที่ดีของสหรัฐจากสิ่งนี้ คือ การที่แทบทุกประเทศใช้เงินดอลลาร์ในการค้า ทำให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรของสหรัฐลดลงจนต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ โดยส่วนใหญ่ จึงทำให้ต้นทุนทางการเงินของเศรษฐกิจสหรัฐไม่ได้เพิ่มขึ้นแม้ว่าจะกู้เงินมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ตามที
นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐยังสามารถทำการห้ามไม่ให้เงินสำรองของประเทศที่สหรัฐต้องการเล่นงานถอนเงินนี้ออกไป รวมถึงห้ามไม่ให้ถอนเงินจากบัญชีของธนาคารสหรัฐ ซึ่งถือเป็นอำนาจของรัฐบาลสหรัฐที่ประเทศอื่น ๆ ไม่มีอยู่ในมือ
คำถามถัดไปคือ แล้วทำไมทรัมป์จึงคิดว่านโยบาย Tariff จะไม่กระทบหรือกระทบน้อยต่อสหรัฐเอง แม้จะสามารถเก็บรายได้จากกำแพงภาษีต่อสินค้านำเข้า?
คำตอบคือ ทรัมป์ประเมินว่านโยบาย Tariff จะกระทบต่อเงินเฟ้อสำหรับชาวสหรัฐไม่มากนัก โดยในส่วนของผลกระทบจากการขึ้น Tariff ต่อเงินเฟ้อสหรัฐ ทีมงานของทรัมป์ประเมินว่าการขึ้น Tariff ขนาด 10% ที่ทรัมป์ประกาศต่อทุกประเทศ จะทำให้อัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐ เพิ่มขึ้น 1% ในขณะที่การแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ 10% เพื่อตอบสนองต่อ Tariff จะทำให้ CPI สหรัฐ ลดลง 0.4-0.7% ซึ่งโดยสุทธิแล้ว จะทำให้อัตราเงินเฟ้อสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 0.3-0.6%
37 เปอร์เซ็นท่าที่อเมริกาต่อไทยในภาษี
อย่างไรก็ดี ในโลกแห่งความเป็นจริง การตั้ง Tariff ของทรัมป์ ที่เกิดขึ้นแล้ว สถานการณ์ในช็อตถัดไปจะแบ่งเป็น 2 ขั้ว ได้แก่
ขั้วแรก ค่าเงินของประเทศส่งออกไปสหรัฐ จะถูกทำให้อ่อนค่าลง เพื่อให้ราคาสินค้าส่งออกของประเทศตนเองที่ไปสู่สหรัฐในรูปของค่าเงินดอลลาร์ยังคงเท่าเดิม ทำให้รัฐบาลสหรัฐสามารถเก็บภาษีจาก Tariff ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยไม่มีเงินเฟ้อในสกุลเงินของดอลลาร์ ซึ่งตัวเลขรวมของมูลค่าการค้าของโลกยังคงเท่าเดิม
ขั้วที่สอง ไม่มีการปรับค่าเงินในการทำให้ราคาสินค้าในรูปของสกุลเงินดอลลาร์ที่นำเข้ามาสหรัฐลดลง หากเป็นเช่นนี้ จะเกิดเงินเฟ้อในสหรัฐจากราคาสินค้านำเข้าสหรัฐที่สูงขึ้น ผ่านการซื้อสินค้านำเข้าที่ต้องจ่ายแพงขึ้นโดยชาวสหรัฐ ซึ่งจะทำให้มูลค่าสินค้านำเข้าสหรัฐลดลง โดยหันมาบริโภคสินค้าที่ทำการผลิตในประเทศสหรัฐแทน และนั่นเป็นสิ่งที่ทรัมป์ต้องการให้เกิดขึ้น นั่นคือ การเข้ามาตั้งโรงงานผลิตสินค้าต่าง ๆ ในสหรัฐให้มากขึ้นกว่าเดิมไปเรื่อย ๆ แม้จะทำให้รัฐบาลสหรัฐสามารถทำการเก็บภาษีนำเข้าได้น้อยลง
เเนวนโยบายไทยต่ออเมริกา
โดยในโลกแห่งความเป็นจริง จะเป็นการส่วนผสมระหว่างทั้ง 2 ขั้วดังกล่าว
ทั้งนี้ ทรัมป์เชื่อว่านโยบายกำแพงภาษีของตนเอง จะช่วยให้เกิดการปรับตัวของ Supply Chain ทั่วโลก โดยเฉพาะการย้ายฐานการผลิตของประเทศต่าง ๆ ให้เข้ามาในสหรัฐ นั่นคือ จะเกิดการตั้งโรงงานผลิตสินค้าต่าง ๆ ในสหรัฐให้มากขึ้นกว่าเดิมไปเรื่อย ๆ
รู้เขา อเมริกา รู้เราประเทศไทย
เรียบเรียงโดย อาจารย์ต้นสัก สนิทนาม
#สหรัฐอเมริกา #USA #Thailand #TAX #ภาษี #กำเเพงภาษี #ข่าวเศรษฐกิจ
โฆษณา