24 ก.ค. เวลา 10:00 • กีฬา

เบื้องหลังนักขับ F1 ที่คุณอาจไม่เคยรู้ จากคนธรรมดา สู่ปีศาจความเร็ว โหดกว่าที่คุณเคยคิด

มีใครไปดูหนังเรื่อง F1 The Movie หรือเคยมีโอกาสไปดูการแข่งขัน Formula 1 จริงๆแบบติดขอบสนามกันแล้วบ้างไหม? แล้วรู้สึกว่า “ก็แค่ขับรถวนๆในสนามเนี่ยนะจะไปยากตรงไหน?”
ต้องบอกเลยว่านั่นอาจจะเป็นความคิดของคนธรรมดาอย่างเราๆที่มองจากมุมมองของเราเอง แต่นักขับ F1 เขาไม่ธรรมดาเหมือนที่เรามองเลยนะ
เบื้องหลังพวงมาลัยที่ซิ่งด้วยความเร็วกว่า 300+ กม./ชม. ยิ่งกว่าตอนเครื่องบินกำลังจะเทคออฟ มันคือผลลัพธ์จากการฝึกที่สุดแสนจะทรหดที่ต้องใช้ทั้งพลังของร่างกาย จิตใจที่นิ่งเหมือนหินผา วินัยที่เข้มข้นและสมองในการตัดสินใจแบบเสี้ยววิ
มาเลยเดี๋ยวบทความนี้จะพาทุกคนไปดูว่ากว่าจะได้มาเป็นนักแข่ง F1 เนี่ยไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และทำไมพวกเขาถึงได้ถูกขนานนามว่า “สุดยอดนักกีฬาแห่งความเร็วแห่งยุค” ถ้าพร้อมแล้วจับพวงมาลัยให้มั่นแล้วเหยียบคันเร่งตามมาเลย
  • 🏁จุดเริ่มต้นของนักแข่ง F1 ต้องเริ่มจากสนามโกคาร์ท
เชื่อหรือไม่ว่านักขับ F1 ระดับตำนานอย่าง Michael Schumacher, Lewis Hamilton หรือ Max Verstappen ต่างก็มีจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่เหมือนกันนั่นคือ "สนามโกคาร์ท" ที่นี่คือลานประลองพื้นฐานของเด็กๆ ที่อยากเข้าเส้นทางนี้
โกคาร์ทจะสอนอะไร? มันสอนให้เด็กๆได้รู้จักกับการบังคับควบคุมรถ การเบรก การเข้าโค้ง การผ่อนการเร่งความเร็ว และสมาธิการตัดสินใจ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสั่งสมประสบการณ์ แล้วค่อยๆขยับสู่รถฟอร์มูลาที่ขนาดใหญ่ขึ้น เครื่องแรงขึ้น เช่น Formula 4, Formula 3, Formula 2 จนถึงจุดสูงสุดอย่าง Formula 1
เชื่อหรือไม่ว่านักขับ F1 ระดับตำนานอย่าง Michael Schumacher, Lewis Hamilton หรือ Max Verstappen ต่างก็มีจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่เหมือนกันนั่นคือ "สนามโกคาร์ท"
  • 💪 ร่างกายต้องฟิตยิ่งกว่านักกล้าม เพราะต้องแบกรับแรง G มหาศาล
1
ถ้าคิดว่านักแข่ง F1 แค่นั่งขับวนรอบสนามไปแบบสบายๆ คุณคิดผิดอย่างแรง
ถ้านักฟุตบอลยังต้องมีกล้ามเนื้อขาที่แข็งแรงไว้วิ่งได้ตลอดทั้งเกม หรือ นักบาสที่ต้องมีกล้ามเนื้อแขนที่ทรงพลังไว้ชู้ตบาสระยะไกล นักแข่ง F1 ก็ต้องมี “กล้ามเนื้อคอ” ที่แข็งแรงมากพอที่จะทนแรง G ได้
2
ลองนึกดูนะขับรถมาด้วยความเร็วสูง 200-300 กม./ชม. แล้วเข้าโค้งด้วยความเร็วขนาดนั้น แรงเหวี่ยงที่เกิดขึ้นคือแรง G (G-Force) ที่มหาศาลมาก นักแข่งต้องแบกรับแรง G ตอนเข้าโค้งระดับ 5-6G หรือเท่ากับน้ำหนัก 5-6 เท่าของหัวและหมวกกันน็อคของนักแข่ง
2
บอกเลยว่าถ้าคอไม่แข็งแรงจริง อาจทำให้กล้ามเนื้อคอได้รับบาดเจ็บรุนแรงได้เลย นักแข่ง F1 เลยต้องฝึกทั้งคาร์ดิโอ กล้ามคอ อย่างหนัก นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนักขับ F1 หลายคนถึงมีคอที่ใหญ่กว่าคนทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด
ลองนึกดูนะขับรถมาด้วยความเร็วสูง 200-300 กม./ชม. แล้วเข้าโค้งด้วยความเร็วขนาดนั้น แรงเหวี่ยงที่เกิดขึ้นคือแรง G (G-Force) ที่มหาศาลมาก
ยังไม่หมดแค่นั้น ตลอดระยะเวลาการแข่งขันเกือบ 2 ชั่วโมง หัวใจของนักขับ F1 จะเต้นด้วยอัตราเฉลี่ยสูงถึง 170-190 ครั้ง/นาที ซึ่งเทียบเท่ากับการวิ่งมาราธอนเลยทีเดียว แถมยังต้องอยู่ในห้องเล็กๆ ที่มีอุณหภูมิสูงถึง 50-60 องศาเซลเซียส ทำให้พวกเขาต้องสูญเสียน้ำหนักจากการขับประมาณ 3-4 กิโลกรัมต่อหนึ่งการแข่งขัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมความฟิตของร่างกายจึงสำคัญมากๆ
  • 🧠สมองก็ต้องไว ไม่แพ้ล้อรถ
การตัดสินใจและปฎิกิริยาการตอบสนองของร่างกาย (reaction time) ที่ต้องรวดเร็วระดับ “เสี้ยววินาที” เพราะถ้าพลาดขึ้นมารถอาจชน หรือ แซงไม่ทัน หรือเสียอันดับในการแข่ง เหมือนการเล่นหมากรุกตอนรถวิ่ง 300 กม./ชม. ที่ต้องคิดอยู่ตลอดเวลา และต้องคิดให้เร็วด้วย การฝึกจึงมีการใช้ Simulator มาช่วยฝึกซ้อม
การฝึกจึงมีการใช้ Simulator มาช่วยฝึกซ้อม
  • 🛞ทักษะการขับรถที่มีความเร็วสูง
นอกจากร่างกายจะต้องฟิตแข็งแรงแล้ว ทักษะการขับขี่ของนักแข่ง F1 ก็สำคัญไม่แพ้กัน
ทักษะการเบรก : การเบรกไม่ใช่แค่เหยียบแป้นเบรกให้สุด แต่คือการควบคุมน้ำหนักและจังหวะการเบรกที่แม่นยำระดับมิลลิเมตร เพื่อให้รถชะลอตัวในจุดที่พอดีที่สุดก่อนเข้าโค้ง การเบรกผิดแม้แต่นิดเดียวก็หมายถึงการเสียเวลา หรือหนักกว่านั้นคือชนกำแพงได้
1
ทักษะการมองไลน์ : นักขับ F1 ต้องจดจำ "Racing Line" หรือไลน์การขับขี่ที่เร็วที่สุดในสนามได้อย่างแม่นยำทุกโค้ง และปรับเปลี่ยนไลน์ได้ทันทีตามสภาพยาง สภาพสนาม หรือคู่แข่ง ที่สำคัญคือการออกโค้งด้วยความเร็วที่ถูกต้อง เพื่อส่งผลต่อความเร็วในทางตรงถัดไป
ทักษะการควบคุมคันเร่ง : รถ F1 มีแรงม้าสูงมาก การเหยียบคันเร่งผิดจังหวะนิดเดียวก็อาจทำให้ล้อฟรีจนรถเสียการควบคุมได้ นักขับต้องควบคุมคันเร่งอย่างละเอียดอ่อน เพื่อให้รถมีแรงยึดเกาะถนนสูงสุดและพุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ
ทักษะการเข้าใจพฤติกรรมของรถ : ในสนามแข็งนักแข่งต้องพูดคุยกับวิศวกรที่อยู่ข้างสนามผ่านวิทยุตลอดเวลา เพื่อคอยเช็กเรื่องยาง เบรก อุณหภูมิ และการเซ็ตรถให้เกิดประสิทธิภาพต่อการแข่งสูงสุด ยิ่งเรารู้จักรถมากแค่ไหน รู้ว่ารถอาการแบบนี้เราต้องทำอะไร ก็จะยิ่งสามารถแก้ไขปัญหาเพื่อดึงศักยภาพรถแข่งได้อย่างเต็มที่
  • 🍽️ชีวิตนอกสนามที่ต้องทุ่มเทในทุกวัน
โปรแกรมการฝึกซ้อมสุดโหด ที่จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับนักแข่ง F1 ทั้งร่างกายและจิตใจในทุกๆวัน การควบคุมอาหารโภชนาการและการดูแลตัวเอง เพื่อรักษาน้ำหนักและสภาพร่างกายให้แข็งแรงมีความพร้อมมากที่สุด เพราะต้องเดินทางไปแข่งขันทั่วโลกทั้งฤดูกาล การนอนหลับให้พอและปรับตัวกับ jet lag ก็สำคัญ ชีวิตคือระเบียบเป๊ะ ไม่ใช่นอนไถเล่น TikTok ยันตี 3 แล้วตื่นเที่ยงแบบเรานะครับ
6
  • 🔧การทำงานร่วมกับทีมงาน
ถึงนักแข่งจะมีเพียง 1 คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย แต่ทีมงานเบื้องหลังมีเป็น 100 คนเลยนะ ตั้งแต่ Pit Crew ที่นักแข่งต้องแวะเข้ามาเปลี่ยนล้อยาง ก็จะมีทีมเหล่านี้ที่ทำงานหนักไม่แพ้กัน เพราะต้องเปลี่ยนล้อด้วยความรวดเร็ว เพื่อให้นักแข่งยังคงรักษาอันดับการแข่งได้เป็นอย่างดี นักขับต้องคอยทำงานอย่างใกล้ชิดกับวิศวกรและทีมงาน เพื่อให้ฟีดแบ็กเกี่ยวกับรถและปรับแต่งรถให้มีประสิทธิภาพสูงสุด การสื่อสารทำงานร่วมกับทีมงานคือหัวใจสำคัญ
🌟 เราลองแวะมาดูตัวอย่างนักแข่ง F1 ที่ประสบความสำเร็จกันหน่อยมีใครบ้าง
1
1. Lewis Hamilton – ราชาแห่งยุคใหม่
แชมป์โลก 7 สมัย (เทียบเท่า Michael Schumacher) ที่จุดเริ่มต้นจากครอบครัวฐานะธรรมดา พ่อทำงานหลายอาชีพเพื่อส่งลูกแข่งโกคาร์ท มีจุดเด่นคือสมาธิและการขับแบบนิ่งเฉียบ การสื่อสารกับทีมที่เก่งมาก เป็นนักขับผิวดำคนแรกใน F1 และเป็นแรงบันดาลใจให้คนมากมายทั่วโลก เขาเป็นที่รู้จักในการขับขี่ที่ดุดันแต่ก็ฉลาดหลักแหลม
2. Max Verstappen – นักแข่งสายดุรุ่นใหม่
เป็นแชมป์โลกปี 2021 ตั้งแต่อายุ 24 ปี เป็นแชมป์โลกที่อายุน้อยมากๆ ขับทีม Red Bull Racing สไตล์การขับดุดัน กล้าแซง ตัดสินใจเร็ว ทำให้แฟนๆ ชอบเรียกว่า “Mad Max” เพราะขับดุสะใจ แม้จะยังเด็ก แต่มีความเป็นผู้นำสูง จัดการอารมณ์ดีขึ้นทุกปี
3. Michael Schumacher – ตำนานผู้ยิ่งใหญ่
อดีตแชมป์โลก 7 สมัย (ก่อน Hamilton จะตามทัน) ขึ้นมาจากการแข่งโกคาร์ทในเยอรมนี เขาถูกพัฒนาและมาสร้างตำนานกับทีม Ferrari สไตล์การขับที่เป๊ะ ความแม่นยำในการขับขี่สูง มีความทุ่มเทในการทำงานกับทีมเพื่อพัฒนารถ มีความแข็งแกร่งทางจิตใจที่ไม่ยอมแพ้แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ถือว่าเป็นที่รู้จักในเรื่องความฟิตของร่างกายอย่างบ้าคลั่ง และความสามารถในการดึงประสิทธิภาพสูงสุดจากรถและยางได้อย่างน่าทึ่ง
Lewis Hamilton – ราชาแห่งยุคใหม่ แชมป์โลก 7 สมัย (เทียบเท่า Michael Schumacher)
และนี่แหละคือโลกเบื้องหลังพวงมาลัย Formula 1 ที่ไม่ได้มีแค่การเหยียบคันเร่งให้มิด แต่คือการหล่อหลอมรวมของ วิทยาศาสตร์ ศิลปะ และจิตวิญญาณของนักสู้
นักขับ F1 คือมนุษย์ที่ถูกหล่อหลอมให้เป็นสุดยอดในทุกมิติ ครั้งหน้าที่คุณได้ดูการแข่งขัน F1 ลองมองพวกเขาด้วยสายตาที่ต่างไปจากเดิม คุณจะเห็นมากกว่านักแข่งรถ แต่คือ "นักสู้ชีวิต" ที่แท้จริง
แล้วคุณล่ะ? แม้เราอาจไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นนักขับ F1 แต่เรื่องราวของพวกเขาสอนอะไรเราได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นความมุ่งมั่น การไม่ยอมแพ้ การพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง และการทำงานร่วมกับทีมเพื่อเป้าหมายเดียวกัน
ถ้าชอบบทความนี้ ฝากแชร์ต่อให้เพื่อนที่ชอบความเร็ว หรือคนที่หลงใหลโลกของ F1 ด้วยนะ ช่วยคอมเมนต์บอกเราหน่อยก็ได้ว่า... นักแข่งในดวงใจของคุณคือใคร?
📊ชวนตอบแบบสำรวจประสบการณ์การใช้งานแอปฯ Blockdit
ใช้เวลาไม่นาน 1 - 2 นาทีเท่านั้นเอง
📌 ทำแบบสำรวจ 👉 https://bit.ly/4iTuZtx
⭐️โปรโมตแบรนด์ให้ตรงเป้า เข้าถึงคนจริง แบบมีคุณภาพ บนแพลตฟอร์ม Blockdit
สนใจกรอกฟอร์ม 📲 https://bit.ly/497KSYM

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา