24 ก.ค. เวลา 13:50 • การศึกษา
Network By Shoper Gamer

วิธีคำนวณ FLSM เบื้องต้น Part 2/2 (หา Host)

โดย
ในการออกแบบเครือข่าย บางครั้งเราไม่ได้เริ่มต้นจากการรู้ว่าอยากได้กี่ Subnet แต่เรารู้ว่าแต่ละแผนกหรือแต่ละกลุ่มอุปกรณ์ของเราต้องการ จำนวนคอมพิวเตอร์ (Host) สูงสุดเท่าไหร่ เช่น แผนกบัญชีต้องการ 20 เครื่อง, แผนกการตลาดต้องการ 50 เครื่อง เป็นต้น
ในบริบทของ FLSM ที่ทุก Subnet ต้องมีขนาดเท่ากัน เราจะต้องหา "ขนาดบ้าน" (ขนาด Subnet) ที่ใหญ่พอสำหรับ "ครอบครัวที่ใหญ่ที่สุด" (จำนวน Host ที่มากที่สุดที่ต้องการ) นั่นหมายความว่า หากแผนกการตลาดต้องการ 50 เครื่อง แต่แผนกบัญชีต้องการแค่ 20 เครื่อง เราก็ยังต้องจัดสรร Subnet ที่ใหญ่พอสำหรับ 50 เครื่อง ให้กับทั้งสองแผนก เพราะนี่คือหลักการของ FLSM ครับ
2
การคำนวณแบบนี้ช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าทุก Subnet ที่สร้างขึ้นจะรองรับจำนวนอุปกรณ์ที่ต้องการได้ และ ยังเป็นพื้นฐานที่ดีในการทำความเข้าใจว่า Subnet Mask เกี่ยวข้องกับจำนวน Host อย่างไร
  • ​หลักการสำคัญในการหาจำนวน Host
สิ่งที่เราต้องจำให้ขึ้นใจคือ IP Address (IPv4) มีทั้งหมด 32 บิต ซึ่งแบ่งเป็นส่วน Network ID (บอกว่าเป็นเครือข่ายไหน) และส่วน Host ID (บอกว่าเป็นอุปกรณ์ตัวไหนในเครือข่ายนั้น)
จำนวนบิตของ Host ID (h): ยิ่งมีจำนวนบิตสำหรับ Host ID มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งรองรับจำนวน Host ได้มากเท่านั้น
สูตรคำนวณจำนวน Host ที่ใช้งานได้จริง
_________ 2^h - 2 ___________
○ `h` คือ จำนวนบิตที่เรากันไว้สำหรับ Host ID
○ `-2` คือ การหักออกสำหรับ Network ID (IP แรกของ Subnet) และ Broadcast ID (IP สุดท้ายของ Subnet) ซึ่งทั้งสอง IP นี้ไม่สามารถนำไปกำหนดให้กับอุปกรณ์จริงได้
  • ​ขั้นตอนการคำนวณ FLSM โดยเริ่มจาก Host
☆ สมมติโจทย์: คุณได้รับเครือข่าย IP `192.168.1.0/24` และต้องการแบ่งเป็นหลาย Subnet โดยที่แต่ละ Subnet ต้องรองรับคอมพิวเตอร์ได้สูงสุด 60 เครื่อง (ต้องการ 60 Host)
☆ เรามาเริ่มคำนวณกันเลย!
■ ขั้นตอนที่ 1: กำหนดจำนวน Host ที่ต้องการสูงสุด และหาจำนวนบิตของ Host ID (h) ที่เพียงพอ
○ เราต้องการรองรับ Host สูงสุด 60 เครื่อง
○ เราจะใช้สูตร
2^h - 2 >= จำนวน Host ที่ต้องการ เพื่อหาค่า `h` (จำนวนบิตของ Host ID) ที่น้อยที่สุดที่เพียงพอ:
○ ถ้า
h=4: 2^4 - 2 = 16 - 2 = 14
(ไม่พอสำหรับ 60 Hosts)
○ ถ้า
h=5: 2^5 - 2 = 32 - 2 = 30
(ไม่พอสำหรับ 60 Hosts)
○ ถ้า
h=6: 2^6 - 2 = 64 - 2 = 62 (พอ! เพราะ 62 มากกว่า 60)
ดังนั้น เราต้องกันไว้ 6 บิต สำหรับ Host ID (`h = 6`)
■ ขั้นตอนที่ 2: คำนวณหา Prefix Length (CIDR Notation) ใหม่
○ IP Address (IPv4) มีทั้งหมด 32 บิต
○ เรากันไว้ 6 บิตสำหรับ Host ID
○ ดังนั้น จำนวนบิตที่เหลือจะเป็นส่วนของ Network ID (รวม Subnet ID) = `32 - 6 = 26` บิต
Prefix Length ใหม่คือ `/26`
☆ ขั้นตอนที่ 3: แปลง Prefix Length เป็น Subnet Mask แบบ Decimal
○ `/26` หมายความว่ามีบิตที่เป็น Network ID ทั้งหมด 26 บิต โดยนับจากซ้ายไปขวา
○ ใน 4 Octet ของ IP Address:
- Octet ที่ 1: 8 บิตเป็น Network ID (ค่า 255)
- Octet ที่ 2: 8 บิตเป็น Network ID (ค่า 255)
- Octet ที่ 3: 8 บิตเป็น Network ID (ค่า 255)
- รวมแล้ว 24 บิต (255.255.255.0)
เหลืออีก `26 - 24 = 2` บิต ที่ต้องไปอยู่ใน Octet ที่ 4
○ บิตใน Octet ที่ 4 มี 8 บิต (เรียงจากซ้ายไปขวา: 128, 64, 32, 16, 8, 4, 2, 1)
○ เราต้องใช้ 2 บิตแรกของ Octet ที่ 4 เป็น Network ID: `11000000`
○ แปลง `11000000` ฐานสองเป็นฐานสิบ: `(1 * 128) + (1 * 64) + (0 * 32) + ... + (0 1) = 128 + 64 = 192`
ดังนั้น Subnet Mask ใหม่คือ `255.255.255.192`
■ ขั้นตอนที่ 4: คำนวณจำนวน Subnet ที่สามารถสร้างได้
○ เครือข่ายตั้งต้นคือ `192.168.1.0/24` (มี Network ID 24 บิต)
○ Subnet Mask ใหม่คือ `/26` (มี Network ID 26 บิต)
○ แสดงว่าเรา "ยืม" บิตจากส่วน Host ID เดิมมา `26 - 24 = 2` บิต เพื่อใช้เป็น Subnet ID
○ จำนวน Subnet ที่สามารถสร้างได้
= 2^ จำนวนบิตที่ยืมมา
= 2^2 = 4 Subnet
■ ขั้นตอนที่ 5: แบ่ง Subnet และ กำหนด IP Address Range (เหมือนการคำนวณ FLSM ทั่วไป)
เมื่อได้ Subnet Mask คือ `255.255.255.192` หรือ `/26` แล้ว เราก็จะใช้ Magic Number หรือ Block Size เพื่อหาช่วง IP ของแต่ละ Subnet
○ Magic Number =
`256 - Subnet Mask ใน Octet สุดท้ายที่เปลี่ยนไป`
○ Magic Number =
`256 - 192 = 64` (หมายความว่าแต่ละ Subnet จะมีขนาด 64 IP Address)
☆ Subnet ที่ 1
Network ID:
`192.168.1.0`
Subnet Mask: `255.255.255.192` (/26)
Usable IP Range: `192.168.1.1` - `192.168.1.62` (รวม 62 Hosts)
Broadcast ID: `192.168.1.63`
☆ Subnet ที่ 2
Network ID:
`192.168.1.64` (`0 + 64`)
Subnet Mask: `255.255.255.192` (/26)
Usable IP Range: `192.168.1.65` - `192.168.1.126` (รวม 62 Hosts)
Broadcast ID: `192.168.1.127`
☆ Subnet ที่ 3
Network ID:
`192.168.1.128` (`64 + 64`)
Subnet Mask: `255.255.255.192` (/26)
Usable IP Range: `192.168.1.129` - `192.168.1.190` (รวม 62 Hosts)
Broadcast ID: `192.168.1.191`
☆ Subnet ที่ 4:
Network ID:
`192.168.1.192` (`128 + 64`)
Subnet Mask: `255.255.255.192` (/26)
Usable IP Range: `192.168.1.193` - `192.168.1.254` (รวม 62 Hosts)
Broadcast ID: `192.168.1.255`
แม้ FLSM จะมีข้อเสียเรื่องการสิ้นเปลือง IP Address เมื่อความต้องการ Host ในแต่ละ Subnet ไม่เท่ากัน แต่ก็เป็นพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งในการทำความเข้าใจแนวคิดของ Subnetting ก่อนจะก้าวไปสู่ VLSM ที่ยืดหยุ่นกว่า
✏️ Shoper Gamer
  • ​วิธีคำนวณ FLSM เบื้องต้น Part 1/2 (หา Subnet) 👇
  • ​FLSM คืออะไร 👇
  • ​Subnetting เบื้องต้น 👇
Credit :
👇
  • ​https://m.pantip.com/topic/34959163
  • ​https://www.studocu.com/row/messages/question/3054107/how-to-subnet-flsm-vlsm
  • ​https://ithomemini.blogspot.com/2010/12/subnet-mask-flsm.html?m=1

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา