Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Wisdom investor
•
ติดตาม
31 ก.ค. เวลา 03:36 • การเมือง
แนวคิด อำนาจนิยม (Authoritarianism): การทำความเข้าใจระบอบการเมืองที่อำนาจอยู่เหนือสิ่งอื่นใด
อำนาจนิยม (Authoritarianism) คือ รูปแบบการปกครองที่อำนาจทางการเมืองถูกรวมศูนย์ไว้ที่ผู้นำหรือกลุ่มบุคคลเพียงไม่กี่คน โดยให้ความสำคัญกับการรักษาอำนาจของผู้ปกครองเป็นเป้าหมายสูงสุด ระบอบนี้มีลักษณะเด่นคือการจำกัดเสรีภาพทางการเมืองของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ และมักจะอยู่ตรงข้ามกับหลักการของประชาธิปไตยและปัจเจกนิยม (Individualism)
แก่นแท้ของระบอบอำนาจนิยมคือการเรียกร้องให้ประชาชนเชื่อฟังและยอมจำนนต่ออำนาจรัฐโดยไม่มีเงื่อนไข การตัดสินใจที่สำคัญทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมมักมาจากผู้นำหรือคณะผู้ปกครอง โดยที่การมีส่วนร่วมของประชาชนอยู่ในวงจำกัดหรือไม่มีเลย
💪 ลักษณะสำคัญของระบอบอำนาจนิยม
นักรัฐศาสตร์ได้จำแนกลักษณะสำคัญของระบอบอำนาจนิยมไว้หลายประการ ซึ่งช่วยให้เห็นภาพความแตกต่างจากระบอบการปกครองอื่น ๆ ได้ชัดเจนขึ้น ดังนี้
■
การรวมศูนย์อำนาจ: อำนาจในการตัดสินใจสูงสุดอยู่ที่บุคคลคนเดียว (เผด็จการ) หรือกลุ่มคนเล็กๆ (คณาธิปไตย) เช่น คณะทหารหรือพรรคการเมืองเดียว
■
การจำกัดพหุนิยมทางการเมือง (Limited Political Pluralism): แม้ในบางครั้งอาจยอมให้มีกลุ่มทางสังคมหรือพรรคการเมืองอื่น ๆ อยู่ได้ แต่กลุ่มเหล่านี้จะถูกควบคุมอย่างเข้มงวดและไม่มีบทบาทในการท้าทายอำนาจของผู้ปกครองได้อย่างแท้จริง ตรงข้ามกับระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ (Totalitarianism) ที่มักจะไม่อนุญาตให้มีองค์กรอิสระใดๆ เลย
■
การขาดความรับผิดชอบต่อประชาชน: ผู้ปกครองในระบอบอำนาจนิยมไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองต่อประชาชน เนื่องจากการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจจากฝ่ายนิติบัญญัติ ตุลาการ หรือสื่อมวลชน มักถูกทำให้ไร้ประสิทธิภาพ
■
การปราบปรามผู้เห็นต่าง: รัฐบาลจะใช้กลไกต่างๆ เช่น กองกำลังความมั่นคง ระบบยุติธรรม และกฎหมาย เพื่อควบคุมและปราบปรามบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่แสดงความคิดเห็นหรือเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล
■
การควบคุมสื่อและข้อมูลข่าวสาร: สื่อมวลชนมักถูกควบคุมโดยรัฐหรืออยู่ภายใต้การเซ็นเซอร์อย่างหนัก เพื่อนำเสนอข้อมูลที่สอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาลและปิดกั้นข้อมูลที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของผู้ปกครอง
■
การสร้างความชอบธรรมผ่านช่องทางที่จำกัด: ผู้นำอาจสร้างความชอบธรรมให้กับการปกครองของตนเองผ่านการกล่าวอ้างถึงความมั่นคงของชาติ การพัฒนาเศรษฐกิจ หรือการรักษาวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม ในบางกรณีอาจมีการจัด "การเลือกตั้ง" ขึ้น แต่ก็มักจะเป็นเพียงพิธีกรรมที่ไม่ได้สะท้อนเจตจำนงที่แท้จริงของประชาชน หรือที่เรียกว่า "ระบอบอำนาจนิยมแบบแข่งขัน" (Competitive Authoritarianism) ซึ่งมีการแข่งขันทางการเมืองอยู่บ้าง แต่สนามแข่งขันไม่เคยมีความเท่าเทียม
📜 รูปแบบและตัวอย่างของระบอบอำนาจนิยม
ระบอบอำนาจนิยมปรากฏในหลายรูปแบบทั่วโลก ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เช่น
■
เผด็จการทหาร (Military Dictatorship): อำนาจการปกครองอยู่ในมือของคณะนายทหารระดับสูงที่ยึดอำนาจมาจากการรัฐประหาร
■
ระบอบพรรคเดียว (One-Party Rule): มีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวที่ถูกกฎหมายและผูกขาดอำนาจทางการเมืองทั้งหมด
■
ราชาธิปไตยแบบสมบูรณ์ (Absolute Monarchy): กษัตริย์มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครองโดยไม่มีรัฐธรรมนูญหรือรัฐสภาคอยจำกัดพระราชอำนาจ
■
ระบอบอำนาจนิยมแบบลูกผสม (Hybrid Regime): เป็นระบอบกึ่งกลางระหว่างประชาธิปไตยและอำนาจนิยม มีองค์ประกอบบางอย่างของประชาธิปไตย เช่น การเลือกตั้ง แต่ในขณะเดียวกันก็มีการบั่นทอนสถาบันประชาธิปไตยอย่างเป็นระบบ
ตัวอย่างของประเทศที่ถูกจัดว่ามีระบอบการปกครองแบบอำนาจนิยมในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ จีน (ระบอบพรรคเดียว), ซาอุดีอาระเบีย (สมบูรณาญาสิทธิราชย์) และประเทศที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของทหารในภูมิภาคต่างๆ
⚖️ ข้อถกเถียง: ข้อดีและข้อเสีย
ผู้สนับสนุนแนวคิดอำนาจนิยมมักให้เหตุผลว่า ระบอบนี้สามารถสร้างเสถียรภาพทางการเมืองและผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้ปกครองสามารถตัดสินใจและดำเนินนโยบายได้อย่างเด็ดขาดโดยไม่มีการคัดค้านที่ยืดเยื้อ
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของระบอบอำนาจนิยมนั้นมีอยู่มากมายและส่งผลกระทบในวงกว้าง
●
การละเมิดสิทธิมนุษยชน: การจำกัดสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ
●
การทุจริตคอร์รัปชัน: การขาดกลไกการตรวจสอบและถ่วงดุลที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพ เอื้อให้เกิดการทุจริตและการใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง
●
การพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน: การตัดสินใจที่รวมศูนย์อยู่ที่คนกลุ่มเล็กๆ อาจนำไปสู่นโยบายที่ผิดพลาดและไม่ตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของประชาชนส่วนใหญ่
●
ความไร้เสถียรภาพในระยะยาว: การกดขี่และปิดกั้นการมีส่วนร่วมทางการเมืองอาจนำไปสู่ความไม่พอใจที่สะสมและอาจปะทุขึ้นเป็นความขัดแย้งรุนแรงในอนาคต
👍 กลุ่มประเทศที่ "เจริญรุ่งเรือง" ภายใต้ระบอบอำนาจนิยม
ประเทศเหล่านี้มักถูกเรียกว่า "รัฐอำนาจนิยมเพื่อการพัฒนา" (Developmental Authoritarian States) ซึ่งผู้นำใช้พระเดชในการควบคุมเสถียรภาพทางการเมืองอย่างเข้มงวด เพื่อทุ่มสรรพกำลังทั้งหมดไปที่การพัฒนาเศรษฐกิจ
🇸🇬 สิงคโปร์ (ภายใต้การนำของ ลี กวน ยู และพรรค PAP)
-- กลไกสู่ความสำเร็จ --
●
ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และปราศจากการคอร์รัปชัน (Visionary & Incorruptible Leadership): ลี กวน ยู และผู้นำรุ่นแรกมุ่งมั่นที่จะสร้างชาติ โดยให้ความสำคัญกับการวางแผนระยะยาว, การสร้างหลักนิติธรรม (Rule of Law) ที่แข็งแกร่ง (โดยเฉพาะในกฎหมายพาณิชย์) และการปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินและการค้าที่น่าเชื่อถือ
●
เทคโนแครตและการยึดหลักคุณธรรม (Technocracy & Meritocracy): รัฐบาลดึงดูดและส่งเสริมผู้มีความสามารถให้เข้ามาบริหารประเทศ (เทคโนแครต) โดยไม่เกี่ยงเชื้อชาติหรือสถานะทางสังคม การตัดสินใจเชิงนโยบายเศรษฐกิจอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลและประสิทธิภาพ ไม่ใช่บนฐานเสียงทางการเมือง
●
การลงทุนในทุนมนุษย์และโครงสร้างพื้นฐาน: รัฐทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อพัฒนาการศึกษา, สาธารณสุข และที่อยู่อาศัย (ผ่าน HDB) ควบคู่ไปกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ
●
เสถียรภาพทางการเมืองที่คาดการณ์ได้: การควบคุมทางการเมืองที่เข้มงวดช่วยลดความไม่แน่นอนและความขัดแย้งภายในประเทศ ทำให้นักลงทุนมั่นใจและสามารถวางแผนธุรกิจระยะยาวได้
🇨🇳 จีน (หลังยุคเหมา เจ๋อตุง ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์)
-- กลไกสู่ความสำเร็จ --
●
ลัทธิอำนาจนิยมเชิงปฏิบัติ (Pragmatic Authoritarianism): หลังยุคเหมา เติ้ง เสี่ยวผิง ได้เปลี่ยนแนวทางจากอุดมการณ์คอมมิวนิสต์สุดโต่งมาสู่แนวทางที่เรียกว่า "สังคมนิยมอันมีอัตลักษณ์จีน" ซึ่งในทางปฏิบัติคือการเปิดรับระบบเศรษฐกิจแบบตลาด (Market Economy) ภายใต้การควบคุมของพรรคคอมมิวนิสต์พรรคเดียว
●
การทดลองและขยายผลจากส่วนกลาง: รัฐบาลจีนใช้วิธีสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zones - SEZ) เช่น ที่เซินเจิ้น เพื่อทดลองนโยบายเศรษฐกิจแบบเปิด เมื่อเห็นผลสำเร็จจึงค่อยๆ ขยายผลไปทั่วประเทศ เป็นการปฏิรูปจากบนลงล่าง (Top-down reform) ที่มีลำดับขั้นตอนชัดเจน
●
การระดมทุนและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่: รัฐสามารถสั่งการให้ธนาคารของรัฐปล่อยกู้และระดมทรัพยากรเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดมหึมา (เช่น รถไฟความเร็วสูง, เขื่อน, สนามบิน) ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นไปได้ยากในระบอบประชาธิปไตยที่มีกระบวนการตรวจสอบและคัดค้านที่ซับซ้อน
●
การควบคุมค่าเงินและนโยบายอุตสาหกรรม: รัฐบาลเข้าแทรกแซงเพื่อรักษาความได้เปรียบในการส่งออกและกำหนดทิศทางอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทำให้จีนกลายเป็น "โรงงานของโลก"
ตัวอย่างอื่นๆ: เกาหลีใต้ (ในยุคเผด็จการทหาร พัค จอง-ฮี), ไต้หวัน (ในยุคพรรคก๊กมินตั๋ง) ต่างก็เคยใช้โมเดลรัฐอำนาจนิยมเพื่อการพัฒนาในการวางรากฐานทางอุตสาหกรรม ก่อนจะเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตยในภายหลัง
👎 กลุ่มประเทศที่ "ล้มเหลว" ภายใต้ระบอบอำนาจนิยม
ประเทศในกลุ่มนี้มักตกอยู่ภายใต้การปกครองของ "รัฐนักล่า" (Predatory State) ซึ่งผู้นำและกลุ่มอำนาจใช้ระบอบอำนาจนิยมเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง (Kleptocracy) โดยไม่สนใจความเป็นอยู่ของประชาชน
🇨🇩 ซาอีร์ หรือสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกในปัจจุบัน (ภายใต้การปกครองของ โมบูตู เซเซ เซโก)
-- กลไกสู่ความล้มเหลว --
●
คณาธิปไตยเชิงปล้นสะดม (Kleptocracy): โมบูตูและคนใกล้ชิดทุจริตและยักยอกทรัพย์สินของรัฐอย่างเป็นระบบ มีการประเมินว่าเขายักยอกเงินจากคลังไปกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเท่าๆ กับหนี้ต่างประเทศของประเทศในขณะนั้น
●
นโยบายที่ทำลายเศรษฐกิจ (Disastrous Economic Policies): นโยบาย "Zairianization" ในปี 1973 ที่ทำการยึดธุรกิจของชาวต่างชาติมาเป็นของรัฐ แล้วมอบให้คนสนิทที่ไม่มีความสามารถในการบริหารจัดการดูแล ส่งผลให้อุตสาหกรรมและภาคการผลิตของประเทศล่มสลาย
●
การทำลายสถาบันของรัฐ: โมบูตูจงใจทำลายระบบราชการและสถาบันต่างๆ เพื่อไม่ให้มีองค์กรใดสามารถท้าทายอำนาจของเขาได้ ส่งผลให้รัฐไร้ประสิทธิภาพในการให้บริการสาธารณะและค้ำจุนเศรษฐกิจ
●
การเมืองอยู่เหนือเศรษฐกิจ: การตัดสินใจทั้งหมดมุ่งเน้นไปที่การรักษาอำนาจของโมบูตู แม้ว่านโยบายนั้นจะสร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อเศรษฐกิจของประเทศก็ตาม
🇿🇼 ซิมบับเว (ภายใต้การปกครองของ โรเบิร์ต มูกาเบ)
-- กลไกสู่ความล้มเหลว --
●
นโยบายปฏิรูปที่ดินที่ล้มเหลว: ในช่วงปี 2000 รัฐบาลมูกาเบดำเนินนโยบายยึดที่ดินทำกินของเกษตรกรผิวขาว แล้วนำไปแจกจ่ายให้ทหารผ่านศึกและผู้สนับสนุนทางการเมืองซึ่งส่วนใหญ่ขาดความรู้ด้านการเกษตร ทำให้ซิมบับเวซึ่งเคยถูกเรียกว่า "ตะกร้าขนมปังแห่งแอฟริกา" ต้องเผชิญภาวะขาดแคลนอาหารและต้องนำเข้าสินค้าเกษตร
●
ภาวะเงินเฟ้อมหันต์ (Hyperinflation): เมื่อภาคการผลิตล่มสลายและรัฐบาลขาดรายได้ จึงใช้วิธีพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง จนเกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โลกครั้งหนึ่ง (ในช่วงปลายปี 2008 อัตราเงินเฟ้อสูงจนต้องยกเลิกสกุลเงินของตนเอง)
●
การปราบปรามผู้เห็นต่างและการโดดเดี่ยวจากนานาชาติ: การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงและการเลือกตั้งที่ไม่โปร่งใส ทำให้ซิมบับเวถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากชาติตะวันตก ตัดขาดจากแหล่งเงินทุนและความช่วยเหลือ
ตัวอย่างอื่นๆ: เวเนซุเอลา (การบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดโดยพึ่งพาน้ำมันเป็นหลักและการทำลายนโยบายตลาด), เกาหลีเหนือ (อุดมการณ์ "จูเช่" ที่เน้นการพึ่งพาตนเองอย่างสุดโต่งจนโดดเดี่ยวและอดอยาก), เมียนมาร์ (ภายใต้ระบอบเผด็จการทหารที่ยาวนานซึ่งทำให้เศรษฐกิจชะงักงันและขาดการพัฒนา)
จะเห็นได้ว่า "อำนาจนิยม" เป็นเพียงโครงสร้างหรือเครื่องมือทางการเมือง แต่ไม่ใช่ปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จหรือล้มเหลวโดยตัวของมันเอง หากแต่เป็น "พฤติกรรมของผู้กุมอำนาจ" และ "นโยบายที่พวกเขานำมาใช้" ต่างหาก ที่เป็นตัวกำหนดชะตากรรมของประเทศนั้นๆ
🧐 เหตุผลที่สิงคโปร์ถูกมองว่ามีลักษณะของ "อำนาจนิยม"
สิงคโปร์ถูกจัดว่ามีระบบการปกครองที่ซับซ้อนและไม่สามารถจัดประเภทได้อย่างชัดเจนว่าเป็นประชาธิปไตยเต็มใบหรืออำนาจนิยมเต็มรูปแบบ แต่โดยทั่วไปแล้ว นักวิชาการส่วนใหญ่มักจะจัดสิงคโปร์อยู่ในกลุ่ม "ระบอบอำนาจนิยมแบบนุ่มนวล" (Soft Authoritarianism) หรือ "ประชาธิปไตยที่ไม่เสรี" (Illiberal Democracy)
1. การผูกขาดอำนาจโดยพรรคการเมืองเดียว (Dominant-Party System)
■
พรรคกิจประชาชน (People's Action Party - PAP) ครองอำนาจทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่สิงคโปร์ได้รับเอกราชในปี 1965 แม้ในทางทฤษฎีสิงคโปร์จะมีระบบหลายพรรค (Multi-party system) และมีการเลือกตั้งสม่ำเสมอ แต่ในทางปฏิบัติ พรรคฝ่ายค้านมีโอกาสน้อยมากที่จะชนะการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลได้
■
โครงสร้างของระบบเลือกตั้งแบบแบ่งเขตคะแนนเสียงกลุ่ม (Group Representation Constituency - GRC) เอื้อประโยชน์ให้พรรคขนาดใหญ่อย่าง PAP ซึ่งสามารถส่งผู้สมัครที่มีคุณภาพและหลากหลาย (รวมถึงชนกลุ่มน้อย) ลงในเขตเดียวได้ ทำให้พรรคเล็กเสียเปรียบอย่างมาก
2. การจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกและสื่อ (Restriction on Freedoms of Expression and the Press)
■
รัฐบาลสิงคโปร์มีกฎหมายที่เข้มงวดในการควบคุมสื่อและเสรีภาพในการพูด เช่น กฎหมายป้องกันการให้ร้ายทางออนไลน์และป้องกันการแทรกแซงจากต่างประเทศ (POFMA) และกฎหมายการหมิ่นประมาท (Defamation laws) ซึ่งถูกใช้ฟ้องร้องนักการเมืองฝ่ายค้านและนักวิจารณ์รัฐบาลอยู่บ่อยครั้ง สิ่งนี้สร้าง "ผลกระทบให้เกิดความเย็นยะเยือก" (Chilling Effect) ทำให้ประชาชนและสื่อไม่กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา
■
ดัชนีเสรีภาพสื่อโลก (World Press Freedom Index) โดยองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (Reporters Without Borders) มักจัดให้สิงคโปร์อยู่ในอันดับที่ค่อนข้างต่ำ สื่อกระแสหลักส่วนใหญ่อยู่ภายใต้บริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาล
3. การควบคุมองค์กรภาคประชาสังคมและการชุมนุม
■
การจัดตั้งสมาคม การชุมนุมสาธารณะ และกิจกรรมทางการเมืองต่างๆ อยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวด การขออนุญาตจัดการชุมนุมเป็นเรื่องยาก และพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต (เช่น Speakers' Corner) ก็มีข้อจำกัดมากมาย
4. สถาบันทางการเมืองที่เอื้อต่อผู้มีอำนาจ
■
มีการวิจารณ์ว่าฝ่ายบริหารมีอำนาจเหนือฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการอย่างมีนัยสำคัญ แม้ในทางทฤษฎีจะมีการแบ่งแยกอำนาจ แต่ในทางปฏิบัติ การแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญๆ ในองค์กรอิสระและฝ่ายตุลาการมักถูกมองว่ามีความเชื่อมโยงกับพรรครัฐบาล ทำให้การตรวจสอบและถ่วงดุลไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร
🧐 เหตุผลที่สิงคโปร์ "ไม่ใช่" ระบอบอำนาจนิยมแบบดั้งเดิม (Hard Authoritarianism)
อย่างไรก็ตาม การจะเรียกสิงคโปร์ว่าเป็นระบอบอำนาจนิยมแบบเดียวกับจีนหรือเกาหลีเหนือก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะมีลักษณะสำคัญที่แตกต่างออกไป ดังนี้
1. การเลือกตั้งที่โปร่งใสในเชิงเทคนิค
■
กระบวนการจัดการเลือกตั้ง การนับคะแนน และการประกาศผล เป็นไปอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ ไม่มีการโกงคะแนนเลือกตั้งอย่างชัดเจน พรรคฝ่ายค้านสามารถชนะที่นั่งในรัฐสภาได้จริง แม้จะเป็นส่วนน้อยก็ตาม
2. หลักนิติธรรมที่แข็งแกร่ง (Strong Rule of Law)
■
ด้านกฎหมายพาณิชย์และกฎหมายแพ่ง สิงคโปร์มีชื่อเสียงระดับโลกด้านหลักนิติธรรม ความยุติธรรมในการทำสัญญา และการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันที่ได้ผลอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จทางเศรษฐกิจ
3. การสร้างความชอบธรรมผ่านประสิทธิภาพ (Legitimacy through Performance)
■
รัฐบาล PAP สร้างความชอบธรรมและได้รับการยอมรับจากประชาชนผ่านผลงานที่จับต้องได้ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจที่ก้าวกระโดด การศึกษาที่มีคุณภาพ ระบบสาธารณสุขที่ยอดเยี่ยม ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และความมีเสถียรภาพของประเทศ ประชาชนจำนวนมากยอมแลกเสรีภาพทางการเมืองบางส่วนกับความกินดีอยู่ดีและความมั่นคง
📝 การจำแนกประเภทเชิงวิชาการ
จากเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมา นักรัฐศาสตร์จึงมักใช้คำศัพท์เฉพาะเพื่ออธิบาย "กรณีศึกษาของสิงคโปร์" ดังนี้
✓
Soft Authoritarianism (อำนาจนิยมแบบนุ่มนวล): มีการใช้อำนาจควบคุม แต่ไม่ใช่ด้วยการใช้กำลังหรือความรุนแรงเป็นหลัก แต่ใช้กลไกทางกฎหมาย เศรษฐกิจ และสังคมในการรักษาอำนาจ
✓
Illiberal Democracy (ประชาธิปไตยที่ไม่เสรี) / Procedural Democracy (ประชาธิปไตยในเชิงกระบวนการ): มีรูปแบบและกระบวนการของประชาธิปไตย (เช่น การเลือกตั้ง) แต่เนื้อหาหรือแก่นแท้ของเสรีภาพ (เช่น เสรีภาพสื่อ, การตรวจสอบถ่วงดุล) ถูกจำกัดอย่างมาก
✓
Competitive Authoritarianism (อำนาจนิยมแบบแข่งขัน): มีการแข่งขันทางการเมืองเกิดขึ้นจริง แต่สนามแข่งขันไม่ยุติธรรม (Uneven playing field) ทำให้ฝ่ายรัฐบาลได้เปรียบฝ่ายค้านอย่างมหาศาล
สิงคโปร์จัดว่าเป็นระบอบที่มีลักษณะอำนาจนิยมอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในการควบคุมพื้นที่ทางการเมืองและสังคม แต่ในขณะเดียวกันก็มีองค์ประกอบของประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมที่แข็งแกร่งในมิติอื่นๆ ซึ่งทำให้ระบบนี้ประสบความสำเร็จและมีเสถียรภาพสูงจนถึงปัจจุบัน
การเมือง
แนวคิด
ความรู้รอบตัว
บันทึก
1
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
Wisdom journal
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย