29 ก.ค. เวลา 07:41 • การเมือง

ทรัพยากรมนุษย์ สินทรัพย์ที่ประเมินค่ามิได้ หรือเครื่องมือสนองตัณหาผู้นำ

ทรัพยากรมนุษย์ (Human Capital) ในมิติของรัฐชาติ ไม่ได้หมายถึงเพียงจำนวนแรงงาน แต่คือผลรวมของสติปัญญา, ทักษะ, ความคิดสร้างสรรค์, สุขภาพกายและใจ, และศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่ในประชากรทุกคน แนวทางที่รัฐบาลและผู้นำเลือกปฏิบัติต่อ "สินทรัพย์" ที่มีชีวิตนี้ คือตัวแปรสำคัญที่สุดที่กำหนดชะตากรรมของประเทศ เราสามารถแบ่งแนวทางดังกล่าวออกเป็น 2 โมเดลหลักที่ให้ผลลัพธ์แตกต่างกันราวสวรรค์กับนรก
โมเดลที่ 1: รัฐแห่งการลงทุน (The Investment State) - ส่งเสริมนวัตกรรมและความกินดีอยู่ดี
ในโมเดลนี้ รัฐมองประชากรเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด (The Most Valuable Asset) ปรัชญาหลักคือ "การลงทุนในมนุษย์ คือการลงทุนในอนาคตของชาติ" ซึ่งเป็นวงจรเชิงบวก (Virtuous Cycle) ที่สร้างผลตอบแทนทบต้นอย่างมหาศาล
-- กลไกหลัก --
1. การศึกษาเป็นรากฐาน (Education as Foundation)
  • นโยบาย: รัฐทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อสร้างระบบการศึกษาที่มีคุณภาพตั้งแต่ระดับปฐมวัยจนถึงอุดมศึกษา ไม่เพียงเน้นการอ่านออกเขียนได้ แต่มุ่งสร้างทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking), การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน (Complex Problem-Solving), และความคิดสร้างสรรค์ ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) และสนับสนุนทุนวิจัยอย่างจริงจัง
  • ผลลัพธ์: ประชากรมีคุณภาพสูง สามารถต่อยอดความรู้ สร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge-based Economy) ตัวอย่างที่ชัดเจนคือประเทศอย่างฟินแลนด์, เกาหลีใต้, หรือสิงคโปร์ ที่เปลี่ยนสถานะจากประเทศยากจนสู่ประเทศพัฒนาแล้วได้ด้วยการปฏิรูปการศึกษาอย่างจริงจัง
2. ระบบสาธารณสุขและสวัสดิการที่ครอบคลุม (Comprehensive Healthcare & Social Safety Net)
  • นโยบาย: การสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าทำให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพได้โดยไม่ล้มละลาย สุขภาพจิตถูกให้ความสำคัญเทียบเท่าสุขภาพกาย นอกจากนี้ยังมีระบบสวัสดิการสังคม (Social Safety Net) เช่น ประกันการว่างงาน, บำนาญชราภาพ ที่ช่วยลดความเปราะบางและสร้างความมั่นคงในชีวิต
  • ผลลัพธ์: ประชากรที่มีสุขภาพดีและมีความมั่นคงในชีวิต ย่อมมีผลิตภาพ (Productivity) สูงขึ้น เมื่อไม่ต้องกังวลกับปัญหาปากท้องหรือค่ารักษาพยาบาล พวกเขากล้าที่จะเสี่ยงทำธุรกิจ, คิดค้นสิ่งใหม่ หรือทุ่มเทให้กับงานได้อย่างเต็มศักยภาพ
3. หลักนิติธรรมและโอกาสที่เท่าเทียม (Rule of Law & Equal Opportunity)
  • นโยบาย: รัฐที่ยึดมั่นในหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด สร้างความเชื่อมั่นว่าทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ระบบคุณธรรม (Meritocracy) ถูกนำมาใช้ในการคัดเลือกบุคลากรภาครัฐและการให้โอกาสทางเศรษฐกิจ ไม่มีการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติ, ศาสนา, หรือความเห็นทางการเมือง
  • ผลลัพธ์: เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรม คนที่มีความสามารถจะได้รับการส่งเสริมให้ก้าวหน้า "ภาวะสมองไหล" (Brain Drain) เกิดขึ้นน้อยมาก เพราะคนเก่งและดีมองเห็นอนาคตในประเทศของตนเอง ความไว้วางใจในระบบ (Trust in the System) เป็นกาวประสานสังคมให้เป็นหนึ่งเดียว
ผลลัพธ์โดยรวม: ประเทศในโมเดลนี้จะมีนวัตกรรมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง, เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน, ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี (ความกินดีอยู่ดี), และสังคมโดยรวมมีเสถียรภาพและความยืดหยุ่น (Resilience) สูง สามารถรับมือกับวิกฤตการณ์ต่างๆ ได้ดีกว่า
โมเดลที่ 2: รัฐแห่งการแสวงประโยชน์ (The Exploitative State) - ประชาชนคือหมากใช้แล้วทิ้ง
ตรงกันข้ามกับโมเดลแรก รัฐในลักษณะนี้มีผู้นำที่ลุแก่อำนาจและมองประชาชนเป็นเพียงเครื่องมือหรือปัจจัยการผลิตที่ใช้แล้วทิ้ง (Disposable Pawns) เพื่อรักษาอำนาจและแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง ปรัชญาหลักคือ "การควบคุมประชากร คือหัวใจของการรักษาอำนาจ" ซึ่งนำไปสู่วงจรเชิงลบ (Vicious Cycle) และพยาธิสภาพของรัฐ (State Pathology)
-- กลไกหลัก --
1. ทำลายการศึกษาและส่งเสริมโฆษณาชวนเชื่อ (Dismantling Education & Promoting Propaganda)
  • นโยบาย: การศึกษาถูกลดทอนความสำคัญ งบประมาณถูกตัดหรือนำไปใช้ในโครงการอื่นที่เอื้อประโยชน์ต่อผู้นำ หลักสูตรถูกปรับเปลี่ยนเพื่อปลูกฝังความเชื่อฟังมากกว่าการตั้งคำถาม สื่อมวลชนถูกควบคุมเพื่อใช้เป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) สร้างความเกลียดชังต่อศัตรูในจินตนาการ และยกย่องเชิดชูผู้นำ
  • ผลลัพธ์: ประชาชนขาดความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แยกแยะข้อมูลจริงเท็จไม่ได้ ตกเป็นเหยื่อของข่าวปลอมและวาทกรรมที่สร้างความแตกแยกได้ง่าย สังคมโดยรวมโง่เขลาลงและง่ายต่อการควบคุม
2. ละเลยสวัสดิภาพและดูดทรัพยากร (Neglecting Welfare & Extracting Resources)
  • นโยบาย: งบประมาณด้านสาธารณสุข, การศึกษา และสวัสดิการสังคมถูกมองว่าเป็นค่าใช้จ่ายสิ้นเปลือง ทรัพยากรของรัฐจะถูกทุ่มไปยังกองทัพ, หน่วยงานความมั่นคงเพื่อปราบปรามผู้เห็นต่าง หรือโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เอื้อต่อการทุจริตคอร์รัปชันของชนชั้นนำ
  • ผลลัพธ์: ประชาชนมีสุขภาพทรุดโทรม อายุคาดเฉลี่ยลดลง ความเหลื่อมล้ำถ่างกว้างขึ้น คนจนยิ่งจนลง ในขณะที่ชนชั้นปกครองร่ำรวยขึ้นอย่างผิดปกติ เกิดเป็นสภาวะรัฐกาฝาก (Parasitic State) ที่ดูดเลือดเนื้อจากประชาชนของตนเอง
3.ปกครองด้วยความกลัวและระบบอุปถัมภ์ (Rule by Fear & Patronage System)
  • นโยบาย: หลักนิติธรรมถูกทำลายจนสิ้น กลายเป็น "นิติ" ตาม "ประสงค์" ของผู้นำ (Rule by Law, not Rule of Law) ผู้เห็นต่างจะถูกคุกคาม, จับกุม, หรืออุ้มหาย สร้างบรรยากาศแห่งความกลัว (Climate of Fear) ในขณะเดียวกัน ผู้นำจะสร้างระบบอุปถัมภ์ที่แข็งแกร่ง ให้รางวัลเฉพาะผู้ที่ภักดี และลงโทษผู้ที่ไม่สวามิภักดิ์ ความสามารถไม่มีความหมายเท่าความภักดี
  • ผลลัพธ์: สังคมสิ้นหวัง คนดีมีความสามารถถอดใจหรืออพยพหนีออกนอกประเทศ (Brain Drain) เหลือเพียงคนที่ยอมจำนนหรือคนที่ได้ประโยชน์จากระบบที่บิดเบี้ยว นวัตกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจหยุดชะงักโดยสิ้นเชิง
ผลลัพธ์โดยรวม: ประเทศในโมเดลนี้จะเผชิญกับความซบเซาทางเศรษฐกิจ, ความขัดแย้งภายในที่รุนแรง, สังคมล่มสลาย, และกลายเป็นรัฐที่เปราะบางหรือรัฐล้มเหลวในที่สุด ประชาชนถูกกดขี่และใช้ชีวิตอย่างไร้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สมดังคำกล่าวที่ว่า "เป็นหมากใช้แล้วทิ้ง"
บทสรุป
การเปรียบเทียบทั้งสองโมเดลชี้ให้เห็นสัจธรรมที่ว่า ความเจริญหรือความเสื่อมของชาติ มีจุดกำเนิดอยู่ที่ทัศนคติและวิสัยทัศน์ของผู้นำที่มีต่อประชาชน รัฐที่ลงทุนในศักยภาพของมนุษย์จะเก็บเกี่ยวผลเป็นนวัตกรรมและความกินดีอยู่ดี ในขณะที่รัฐที่มองประชาชนเป็นเพียงเครื่องมือก็จะนำพาชาติไปสู่ความมืดมนและการล่มสลาย
ในฐานะพลเมืองและปัญญาชน การตระหนักรู้ถึงกลไกเหล่านี้คือปราการด่านแรกในการปกป้องสังคมจากการถูกชักนำไปในทิศทางที่ผิด และเป็นแรงผลักดันให้เรียกร้องนโยบายที่เห็น "คน" เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาอย่างแท้จริง เพราะท้ายที่สุดแล้ว สมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของชาติ ไม่ใช่สิ่งปลูกสร้างหรือทรัพยากรในดิน แต่คือ "คุณภาพและศักยภาพของประชากร" นั่นเอง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา