Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
“วันละเรื่องสองเรื่อง”
•
ติดตาม
27 ก.ค. เวลา 09:34 • ข่าวรอบโลก
🌹 สันติภาพ...หรือกับดักที่หอมหวาน?
🕊️ เมื่อ 'การหยุดยิง' กลายเป็น 'หมากลวง' บนกระดานผลประโยชน์โลก
(หมายเหตุ - บทความนี้เป็นการคาดเดา หรือจินตนาการล้วนๆ ของผู้เขียน แต่มีพื้นฐานจากพฤติกรรมของมหาอำนาจและนักการเมืองที่เคยเกิดขึ้น และข้อมูลการเขียนมาจากสถานการณ์ถึงวันที่ 27 กรกฏาคม 2568 เท่านั้น)
=====
สันติภาพปลอมๆ เพื่อกำไรจริงจัง? (ที่ใครได้ประโยชน์?)
ลองจินตนาการถึงฉากหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ — หากวันหนึ่ง Donald Trump อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีแนวทางการเจรจาเชิงธุรกิจมากกว่าทูต เกิดเสนอว่า
“จะลดภาษีนำเข้าให้ไทยและกัมพูชาเหลือ 19% ถ้าทั้งสองยอม 'หยุดยิง' — ใครไม่หยุด โดนภาษี 50%!”
แม้จะดูเหมือนฉากตลกในการประชุมสุดยอดผู้นำโลก แต่หากพินิจให้ลึก มันอาจไม่ใช่เพียงเรื่องเพ้อฝัน แต่สะท้อน แนวคิดจริง ของโลกการทูตยุคใหม่ที่ “สันติภาพ” กลายเป็น สินค้าต่อรอง ที่อัดแน่นไปด้วยแรงจูงใจเชิงยุทธศาสตร์
* แนวคิดที่เรียกว่า "Peace-for-Profit Strategy" ไม่ได้ใหม่ และถูกนำมาใช้หลายครั้งในประวัติศาสตร์ — เมื่อประเทศมหาอำนาจใช้ 'ฉากหน้าของสันติภาพ' เพื่อซื้อความชอบธรรมทางเศรษฐกิจ หรือขยายอิทธิพลทางการเมืองอย่างเงียบๆ
* ในเชิงตรรกะ หากเราพิจารณาพฤติกรรมที่ผ่านมาของ Trump ที่เคยเจรจากับเกาหลีเหนือ จีน และพันธมิตร NATO จะเห็นว่าการใช้ "ดีล" และ "ภาษี" เป็นเครื่องมือต่อรองเชิงยุทธศาสตร์เป็นสไตล์ที่เขาเชี่ยวชาญ การนำรูปแบบนั้นมาใช้ในบริบทเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย
* ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์นี้อาจไม่ได้อยู่ในรูปของข้อเสนอทางภาษีโดยตรง แต่อาจมาในรูปของ "แพ็คเกจการค้า" ที่ผูกกับความมั่นคงชายแดน หรือการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานแบบพหุภาคี ซึ่งสามารถแฝงเจตนาทางการเมืองได้โดยไม่ต้องประกาศตรงๆ
นอกจากนี้ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่มักมีประเด็นระหว่างกัน — ทั้งในเชิงความมั่นคง เศรษฐกิจชายแดน หรือสิทธิในพื้นที่ทับซ้อน — อาจกลายเป็น "จุดยุทธศาสตร์" ที่มหาอำนาจสามารถใช้กระตุ้นหรือหยุดการปะทะเล็กๆ แล้วอ้างการเจรจาเพื่อสันติภาพเป็นทางออก ซึ่งจริงๆ แล้วอาจเป็นแค่กลไกหนึ่งของการแบ่งเค้กผลประโยชน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาค
====
1️⃣ Trump : โฉมหน้าของสันติภาพ...ในคราบนักขายดีล?
Donald Trump ไม่ใช่นักการทูตเชิงอุดมคติ เขาคือ 'พ่อค้าแห่งดีล' ที่เชื่อว่าทุกอย่างต่อรองได้ หากรู้จักตั้งราคาให้ถูกจังหวะ — โดยเฉพาะในช่วงที่โลกกำลังโหยหาความสงบและความมั่นคง
ข้อเสนอแบบนี้หากเกิดขึ้นจริง อาจถูกมองว่าเป็นการสร้างสันติภาพ แต่แท้จริงแล้ว...
(1) การยกระดับตนเองสู่ผู้ชี้ชะตาโลก
* Trump มอง "โนเบลสันติภาพ" ไม่ใช่เพราะเขาเชื่อในสันติภาพ แต่เพราะมันคือเครื่องมือสร้างแบรนด์และลบภาพผู้นำขวาจัดในเวทีโลก
* เขาเคยพยายามหลายครั้ง เช่น การพบคิมจองอึน การเดินข้ามเขตปลอดทหาร และการพูดคุยกับผู้นำตะวันออกกลางเพื่อเซ็นสัญญาสันติภาพแบบ Abraham Accords — ทั้งหมดนี้คือการสร้าง 'ภาพจำ' ว่าเขาคือผู้ไกล่เกลี่ยคนสำคัญของโลก
(2) จัดโครงสร้างภาษีใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
* ในมุมหนึ่ง การลดภาษีให้อีกฟากหนึ่งที่มีพฤติกรรมเชื่อฟัง หรือการลงโทษทางภาษีกับอีกฝั่งที่ไม่ทำตามเงื่อนไข อาจเป็นวิธีที่ Trump ใช้เพื่อแทรกตัวเข้าไปในเศรษฐกิจภูมิภาคอย่างนุ่มนวลแต่ทรงพลัง
* และยังเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจจากการโจมตีในประเทศ เช่น ปัญหาคดีความ หรือศึกเลือกตั้ง ด้วยการสร้าง 'ชัยชนะทางนโยบายต่างประเทศ' มาโชว์
(3) จูงใจประเทศเล็กเพื่อดึงออกจากอิทธิพลจีน
* ในสงครามเย็นใหม่ สหรัฐฯ ไม่ได้ต้องการยิงกระสุน แต่ใช้ข้อเสนอแบบนี้เป็น 'เหยื่อล่อ' เพื่อแย่งชิงพันธมิตรในภูมิภาคให้ห่างจากจีน
* เช่นเดียวกับที่เขาเคยพยายามดึงเกาหลีเหนือให้หันหลังให้จีน หรือชักชวนเวียดนามให้เป็นพันธมิตรการค้า — ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนวิธีคิดแบบ Transactional Geopolitics ที่ Trump ยึดถือ
(4) ความน่าจะเป็นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
* แม้แนวคิดนี้จะดูเป็นนิยาย แต่หากพิจารณาจากแนวทางของ Trump ในอดีตที่มัก 'คิดนอกกรอบ' และ 'สร้างฉากดราม่า' ทางการเมืองเพื่อเปลี่ยนเกม
* การยื่นข้อเสนอแปลกใหม่ เช่น Deal for Peace ในภูมิภาคที่ตึงเครียดอย่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงมีความเป็นไปได้มากกว่าที่คิด โดยเฉพาะหากเขาต้องการสร้างความแตกต่างจากนโยบายของรัฐบาลเดโมแครต
(5) ข้อสงสัยจากฝ่ายต่อต้าน
* ในอีกฟากหนึ่ง นักวิชาการบางคนอาจมองว่ากลยุทธ์เช่นนี้เป็นการซ่อน 'สงครามรูปแบบใหม่' ภายใต้ชื่อของ 'สันติภาพ' และอาจเป็นการชักนำให้ประเทศเป้าหมายยอมรับข้อผูกพันที่ไม่สมดุล โดยไม่ทันได้ตั้งคำถามถึงเจตนาแท้จริง
* นี่จึงไม่ใช่ดีลหยุดยิงธรรมดา แต่นี่คือแผนแทรกแซงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยไม่ต้องตั้งฐานทัพสักแห่งเดียว — ใช้เพียงเศรษฐกิจ สื่อ และการเจรจา เพื่อควบคุม Narrative และกำหนดอนาคตของภูมิภาคให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของตนเอง
====
2️⃣ ฮุนเซน: 'ผู้นำเผด็จการ' ที่ใช้ชาติเป็นเครื่องมือ?
ฮุนเซน ผู้นำกัมพูชาผู้ครองอำนาจยาวนานเกือบ 4 ทศวรรษ ไม่ได้ขึ้นชื่อเพราะความอ่อนโยนในเชิงสันติภาพ แต่คือ 'นักวางกลยุทธ์ทางการเมืองแบบสายแข็ง' ที่เชี่ยวชาญการใช้กลไกการเมือง เศรษฐกิจ และพันธมิตรระหว่างประเทศเพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ส่วนตน
(1) สันติภาพในแบบที่ควบคุมได้
* การตอบรับ "ดีลสันติภาพ" ไม่ใช่เพราะรักสันติ แต่เพราะมันสร้างโอกาสให้ฮุนเซนควบคุม Narrative ทางการเมือง สร้างภาพให้ประชาคมโลกเข้าใจผิดว่าเขาคือผู้ไกล่เกลี่ย
* ทั้งที่ในความจริงอาจเป็นผู้มีส่วนร่วมในการปั่นสถานการณ์ให้ร้อนขึ้นก่อนจะเสนอ 'วิธีดับไฟแบบเลือกข้าง'
(2) เสริมพลังต่อรองในภูมิภาค
* การแสดงบทผู้นำอาเซียนผู้ประสานสันติ ไม่เพียงเรียกคะแนนนิยมในเวทีโลก แต่ยังเปิดทางให้กัมพูชากลายเป็นศูนย์กลางการเจรจา ดึงดูดการลงทุน สร้างแต้มต่อในการต่อรองกับจีน เวียดนาม และแม้แต่ไทยในเรื่องชายแดนหรือโครงสร้างพื้นฐาน
(3) ใช้ไทยเป็นหมากรองรับแรงกระแทก
* หากไทยปฏิเสธดีลหรือไม่ร่วมมือ ฮุนเซนสามารถกล่าวโทษไทยว่าเป็นตัวป่วนในภูมิภาค
* ดึงชาติมหาอำนาจและสื่อระหว่างประเทศมาสร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลไทยโดยอ้างเหตุผล 'สันติภาพ' ทั้งที่เกมจริงคือแผนกดดันคู่แข่งให้หมดความชอบธรรม
(4) ตระกูลชินวัตร กับ ตระกูลฮุน
* ความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่แค่ส่วนตัว แต่กระทบชาติ…สายสัมพันธ์ระหว่างตระกูลฮุนและตระกูลชินวัตรไม่ได้เป็นเพียงมิตรภาพระดับครอบครัว หากแต่มาพร้อมการสนับสนุนทางธุรกิจ เครือข่ายทุน และอิทธิพลเชิงนโยบาย
* การที่ผู้นำกัมพูชาออกมาเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์หรือแสดงท่าทีที่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งในไทย อาจไม่ใช่เพียงการทูตส่วนบุคคล แต่กลายเป็น 'ชนวน' ที่ลากประเทศเข้าสู่ความขัดแย้งเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตระกูลตน
(5) ความน่าจะเป็นและแรงจูงใจที่ชัดเจน
* ด้วยพื้นฐานของฮุนเซนที่เคยเป็นผู้นำกองกำลังคอมมิวนิสต์ มีบทบาทสำคัญในสงครามกลางเมือง และเคยใช้เล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองในการกำจัดคู่แข่งภายในพรรค
* ความสามารถในการ 'แกล้งยอม' เพื่อ 'ปิดเกม' จึงเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ที่เขาใช้มาโดยตลอด การรับลูกข้อเสนอของ Trump จึงอาจเป็นแค่ฉากหนึ่งในเกมยืดเวลาครองอำนาจ โดยไม่สนว่าสันติภาพจะยั่งยืนหรือไม่ ตราบใดที่ตัวเองยังได้ประโยชน์
“นี่จึงไม่ใช่แค่ดีลทางภาษี...แต่มันคือฉากหน้าที่ซ่อนแผนการควบรวมอิทธิพลในอาเซียนโดยใช้ 'สันติภาพ' เป็นเครื่องมือ และใช้ 'ปัญหาภายในของเพื่อนบ้าน' เป็นทางลัดสู่ความมั่นคงทางอำนาจของตัวเอง”
====
3️⃣ ไทย: มีกลยุทธ์ หรือกำลังจะกลายเป็นเบี้ย?
สำหรับประเทศไทย นี่อาจไม่ใช่แค่บททดสอบทางการทูต แต่คือเส้นแบ่งระหว่าง 'อธิปไตย' กับ 'การถูกชักใย' ว่าจะเลือกเป็น “ผู้ร่วมโต๊ะเจรจา” หรือ “เบี้ยล่อในเกมคนอื่น”
(1) ภาวะเศรษฐกิจที่ล่อแหลม
* แม้ดีลลดภาษีอาจดูน่าดึงดูดในภาวะที่เศรษฐกิจเปราะบาง และความต้องการเร่งฟื้นตัวหลังโควิดยังคงตกค้างอยู่มาก
* แต่ถ้าข้อเสนอทางเศรษฐกิจแฝงมาด้วยเงื่อนไขทางยุทธศาสตร์ เช่น ความร่วมมือทางทหาร หรือการจำกัดเสรีภาพในการเลือกพันธมิตรในอนาคต
* ประเทศไทยอาจถูกผูกมัดในความสัมพันธ์ที่เสียเปรียบในระยะยาว โดยเฉพาะหากขาดการประเมินผลกระทบแบบรอบด้าน
(2) โครงสร้างการเมืองที่ไร้เอกภาพ
* รัฐบาลที่ไม่มั่นคง การเปลี่ยนขั้วบ่อยครั้ง ความเห็นต่างในระดับนโยบาย และการบริหารที่ขาดเสถียรภาพ ทำให้ขาด "เสียงเดียว" ในการตอบสนองต่อสถานการณ์ระหว่างประเทศ
* นี่คือช่องโหว่ที่นักการทูตจากมหาอำนาจสามารถเจาะเข้าโจมตี ใช้เกมจิตวิทยา สร้างภาพให้ไทยกลายเป็นประเทศที่ 'ขาดภาวะผู้นำ' ในเวทีภูมิภาค และอาจถูกกันออกจากการเจรจาสำคัญในอนาคต
(3) ขาดนโยบายต่างประเทศเชิงรุก
* ในขณะที่เวียดนามใช้ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้ต่อรอง และสิงคโปร์วางตัวเป็นศูนย์กลางของอำนาจอัจฉริยะ (Smart Power Hub)
* “ไทยกลับมีบทบาทเชิงรับมากกว่าเชิงรุก” นโยบายต่างประเทศของไทยยังไม่ชัดเจนในประเด็นสำคัญ
* เช่น บทบาทในข้อพิพาทในภูมิภาค ASEAN, ความสัมพันธ์กับมหาอำนาจใหม่อย่างอินเดีย หรือการใช้เศรษฐกิจดิจิทัลเป็นเครื่องมือสร้างอำนาจต่อรอง เป็นต้น
* การไม่มีทิศทางเชิงรุกแบบนี้ ทำให้ไทยตกอยู่ในสถานะ "รอให้คนอื่นชี้เกม" มากกว่ากำหนดเอง
(4) ความเสี่ยงของการกลายเป็น "Soft Proxy"
* เมื่อสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ร้อนแรงมากขึ้น ประเทศเล็กที่ไม่มีจุดยืนชัด อาจถูกเลือกให้เป็นฐานเสียง สนามทดสอบ หรือแม้แต่พื้นที่ส่งผ่านผลประโยชน์ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด โดยไม่รู้ตัว
* การปะทะกันของ Narrative ระหว่างจีน-สหรัฐ หรือไทย-กัมพูชา อาจทำให้ไทยกลายเป็นเหยื่อของข้อมูลบิดเบือน หรือการแทรกแซงที่มาในรูปแบบซับซ้อน เช่น การใช้ NGOs, การลงทุนจากรัฐวิสาหกิจต่างชาติ หรือการเสนอความช่วยเหลือที่มีเงื่อนไขแอบแฝง
“หากไทยยังไม่มี Strategic Voice ที่กล้าพูดในเวทีโลกว่าเรายืนอยู่ตรงไหน เราก็มีโอกาสสูงที่จะถูกบีบให้ต้องเลือกข้างในเกมที่เราไม่ได้ตั้งโต๊ะ และต้องจ่ายราคาจากการตัดสินใจที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนเขียนสคริปต์”
====
🔍 ข้อสังเกตสุดท้าย “เมื่อการทูตกลายเป็น Reality Show?”
ข้อเสนอ Peace-for-Profit ของทรัมป์ (แม้จะสมมติ) ไม่ใช่เรื่องตลก หากพิจารณาจากรูปแบบการเมืองยุคใหม่ที่เล่นกับภาพจำ ใช้คำสวยหรูเป็นฉากหน้า และแฝงเกมเศรษฐกิจไว้เบื้องหลัง
"การทูตในยุคนี้ อาจไม่ต่างจาก Reality Show — มีบท มีคนดู มีเป้าหมายทางการเมือง และมีคนตัดสินจากภาพ ไม่ใช่ข้อเท็จจริง"
ในเกมนี้...ใครมองไม่ออกว่า 'กลิ่นดอกไม้' บางครั้งอาจเป็น 'กลิ่นกับดัก' จะตกเป็นเหยื่อของเกมที่ตนไม่ได้กำหนดกติกา
"คำว่า 'สันติภาพ' อาจหอมหวาน...แต่ในเวทีโลก มันมักซ่อน 'วัตถุระเบิดเชิงผลประโยชน์' ไว้เสมอ ใครไม่มองให้ลึกพอ...ย่อมเดินพลาดในเกมที่ตัวเองไม่รู้แม้แต่กติกา"
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#PeaceForProfit
#TrumpStrategy
#Geopolitics
#CambodiaThailandConflict
#StrategicDiplomacy
#SoutheastAsia
#PoliticalTheater
politic
การเมือง
สงคราม
1 บันทึก
5
1
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย